“เจมส์ มาร์” ปลื้มเรียนจบปริญญาโท รอรับปริญญาปี 2021 ใช้เวลาเรียนกว่า 4 ปีเต็ม ไม่หวังจะได้เป็นทูตการท่องเที่ยว เผยทุกวันนี้ถ้ามีเวลาก็จะไปล้างศาลพระภูมิบ้าน “เอ ศุภชัย” เสมอ ทำมา 8 ปีแล้ว เหมือนได้สวดมนต์ภาวนา ชีวิตสงบ ร่มเย็น
ในที่สุด 4 ปีกับปริญญาโทใบแรกของพระเอกหนุ่มหน้าตี๋ “เจมส์ มาร์” ก็ใกล้เป็นความจริงแล้ว เพราะเจ้าตัวกำลังจะรับปริญญาในปี 2021 ซึ่งพระเอกหนุ่มเผยถึงเรื่องนี้ในงานแถลงข่าว ประกันมนุษย์เงินเดือน ณ ทีคิวเอ็ม สำนักงานใหญ่ บอกว่า ปีใหม่นี้ไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศเหมือนทุกปี เพราะอยากเที่ยวในเมืองไทยกับครอบครัวมากกว่า และตนก็เรียนเรื่องการท่องเที่ยวมาจนจบอย่างยาวนานไม่มีอะไรกดดันเลย เพราะได้ใช้ในสิ่งที่เรียนมาทุกอย่าง
“ปีนี้ไม่ได้ไปไหนครับ ตั้งใจว่าอยากจะอยู่ไทย ก็รับงานได้นะครับ (หัวเราะ) คือปีนี้รู้สึกอยากเที่ยวเมืองไทย อยากอยู่บ้าน อยู่กับครอบครัว กับเพื่อนๆ มากกว่า อยากจะชิลๆ เพราะปีที่ผ่านมาทำงานค่อนข้างเยอะ เลยอยากนิ่งๆ สบายๆ สโลว์ไลฟ์บ้างแค่นั้นเองครับ ครอบครัวก็จะมีบินมาหาที่ไทยด้วยครับ ยังไงก็อยู่ในเมืองไทย เที่ยวในเมืองไทยนี่แหละครับ แต่ถ้ามีโอกาสก็ทำงาน อีกอย่างเราไปเที่ยวตลอดมันก็เหนื่อย เลยอยากอยู่นิ่งๆ สบายๆ คิดถึงงานปีหน้าบ้าง อายุมากขึ้นด้วย ก็ไม่ค่อยอยากจะไปที่ไหนแล้วครับ อยากอยู่บ้านสบายๆ มากกว่า”
“เรื่องเรียนตอนนี้ใกล้จบแล้วครับ ตอนนี้ก็รอแค่รับปริญญา ยังไม่รู้ว่าจะรับรอบไหน และรอบที่เขาเปิดจะมีเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ คือปี 2020 ไม่ทัน ต้องผลัดไปเป็นปี 2021 ครับ ตอนนี้ทุกอย่างก็เรียบร้อยหมดแล้ว สบายครับ ถามว่าเหมือนยกภูเขาออกจากอกเลยไหม จริงๆ เกือบ 4 ปีเลยครับ แต่ตลอดเวลาที่เรียนป.โท ไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรเลย เพราะมันทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างมาก เราสนุกกับการเรียน สนุกกับการไปโน่นไปนี่ และเราได้เรียนรู้ ได้โตขึ้น ได้เข้าใจในการทำเล่ม มันเป็นโบนัสกับผมทั้งนั้นเลย ไม่ได้รู้สึกกดดัน แต่รู้สึกสนุกมากกว่าครับ”
บอกยังไม่คิดเรียนต่อถึงขั้นด็อกเตอร์ แต่ได้เอาความรู้ที่เรียนมาใช้ในชีวิตแน่นอน
“ด็อกเตอร์เลยเหรอ ตอนนี้คิดว่าไม่น่าจะมีครับ (หัวเราะ) เพราะเรายังไม่รู้ว่าเราจะเรียนต่อไปทางด้านไหน หรือมีอะไรที่ทำให้คิดว่าเราต้องไปเรียนต่อถึงขั้นเป็นด็อกเตอร์ครับ แต่หากวันหนึ่งมีขึ้นมาเราก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ตอนนี้ยังไม่มีนะครับ อย่าเพิ่งคิดว่าผมจะไปเป็นด็อกเตอร์นะ (หัวเราะ) แต่สิ่งที่เรียนจบมาเราสามารถนำเอามาปรับใช้ได้แน่นอนครับ ผมไม่ได้เรียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยว แต่ผมยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับความคิดของคนที่จะเที่ยว และผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับวงการการท่องเที่ยว วงการร้านอาหาร วงการโรงแรม หรือการดูแลนักท่องเที่ยวของบ้านเรา ซึ่งมันก็ไม่แย่ถ้าหากผมจะปรับไปใช้ทำอะไรในอนาคตครับ ถ้าวันหนึ่งจะทำ”
“คือแค่วิธีการคิดก็กว้างขึ้นแล้วครับ สมมติเรามีปัญหา เมื่อก่อนเราอาจจะคิดด้านเดียว เพราะเรายังเด็กด้วย พอเราเรียน ป.โท สอนให้เราคิดหลากหลาย คิดหลายวิธี แก้ไขได้หลายวิธี และที่สำคัญเวลาเราพรีเซนต์หรือพูดคุยก็ดูโตขึ้น เพราะเราจะเก็บข้อมูลให้ดีที่สุด และก็พูดให้คนเข้าใจได้มากที่สุด ถามว่าอนาคตตั้งใจจะทำเป็นธุรกิจในแนวนี้เลยไหม ก็ไม่ถึงขนาดนั้นครับ คือส่วนตัวเป็นคนชอบการท่องเที่ยว และรู้สึกว่าการท่องเที่ยวของประเทศไทยมีเสน่ห์ขึ้น ก็เลยเรียนการท่องเที่ยวครับ เขาเรียกว่าเป็นวงการที่ใหญ่มากๆ อยู่แล้วของประเทศเรา เรียนไว้ก็ไม่เสียหายครับ”
“ตลอดระยะเวลาที่เรียน ป.โท ก็ได้ไปหลายที่เหมือนกันครับ ไปเรื่อยๆ และไม่ว่าจะไปประเทศไทยหรือไปประเทศไหนก็ตาม มันมีมุมมองของการได้เห็นการท่องเที่ยว มันเปิดมุมมองการท่องเที่ยว ไปเรียนปุ๊บก็กลับมาเขียนอะไรเพิ่มเติมให้กับอาจารย์ได้เยอะแยะเลยครับ ยังไม่มีหน่วยงานไหนติดต่อมาให้เป็นทูตการท่องเที่ยวครับ ยังไม่มีครับ เพราะประสบการณ์ยังไม่ถึง จริงๆ ไม่ว่าเราจะได้เป็นหรือไม่ได้เป็น ผมคิดว่าตอนนี้ที่ผมได้เรียนมา ผมก็สามารถพูดเรื่องการท่องเที่ยวในประเทศไทยได้สบายอยู่แล้วครับ เราก็ดีใจที่ได้ไปเรียนมา ถึงแม้ว่าจะได้เป็นทูตหรือไม่ได้เป็นก็ตามครับ”
เผยเรื่องล้างศาลพระภูมิที่บ้าน “เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร” เป็นเรื่องที่ตนทำมาตั้งแต่ก่อนเข้าวงการแล้ว
“จริงๆ แล้วต้องบอกก่อนว่าก่อนที่ผมจะเริ่มทำงานได้ละครติดๆ กัน ผมไปล้างศาลพระภูมิที่บ้านพี่เอทุกอาทิตย์อยู่แล้ว เป็นหน้าที่ที่พี่เอมอบหมายให้ผมทำตั้งแต่เข้ามาอยู่กับพี่เอแล้วครับ พี่เอเขาจะมอบหมายให้คนโน้นคนนี้ทำหน้าที่อะไร ของผมก็จะเป็นการล้างทำศาลพระภูมิให้สะอาดมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และผมก็บอกพี่เอว่าโอเค ช่วงนั้นผมเรียนอยู่ ก็จะได้มาทำทุกอาทิตย์ สมมติผมเรียนอังคารบ่าย ช่วงเช้าผมก็จะมาทำและบ่ายก็ไปเรียน พี่เอก็บอกว่าดีถ้าทำได้ตลอด ให้ลองขอพรท่านดู”
“จริงๆ ถ้ามองอีกมุมคือมันเป็นวิธีการที่พี่เอสอนให้เรามีวินัยในการที่ทำอะไรสม่ำเสมอ และยังเป็นการดูแลบ้านให้พี่เอด้วย เพราะพี่เอก็เพิ่งจะขึ้นบ้านใหม่ด้วยครับ ซึ่งเราก็ยินดีทำ เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ดี หนึ่งเลยคือเราได้ไหว้พระสวดมนต์ตลอดเวลา เรายังได้อยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเรายังได้ทำหน้าที่หนึ่ง ที่เป็นหน้าที่ที่เราสบายใจมากๆ ถ้าเราลองมองมุมปกติมันก็เป็นหน้าที่พ่อบ้านใช่ไหมครับ (หัวเราะ) แต่อีกมุมหนึ่งเราก็มีโอกาสได้ไหว้พระขอพรตลอดเวลาด้วย”
บอกทุกวันนี้ถ้ามีเวลาก็จะไปล้างศาลพระภูมิบ้าน “เอ” เสมอ เพราะทำแล้วรู้สึกสบายใจ
“ทุกวันนี้ยังทำอยู่ไหมเหรอ คือผมบอกกับตัวเองว่าในตอนนี้เราเริ่มทำงานเยอะขึ้นแล้ว แต่ถ้าเกิดมีโอกาสได้กลับไปบ้านพี่เอเมื่อไหร่ ไม่ว่าพี่เอจะนัดตีห้า หรือเรากลับมาถึงตีห้า เราต้องทำ คือทุกครั้งที่กลับไปบ้านพี่เอเราต้องทำเหมือนเดิม มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวและมันก็เป็นหน้าที่ของเราด้วยครับ ถ้าถามว่าเป็นเคล็ดลับไหม ผมก็ไม่กล้าพูดว่าเป็นเคล็ดลับหรือเปล่า แต่บอกได้ว่ามันเป็นหน้าที่ที่เราทำแล้วสบายใจ ทุกครั้งที่ผมได้ทำ มันทำให้รู้สึกว่าผมมีความสุข และร่มเย็นแค่นี้เองครับ เราไม่ได้คิดไปถึงเรื่องอื่น รู้แค่ว่านี่คือหน้าที่ที่เราต้องทำ และเราจะทำให้ได้ไปตลอด”
“ถามว่าทำมากี่ปีแล้ว โห ช่วงปีแรกที่เข้าไปบ้านพี่เอก็ทำทุกอาทิตย์เลยครับ ผมอยู่กับพี่เอมาประมาณ 8 ปีครับ แต่ทำทุกอาทิตย์ตอนช่วง 2-3 ปีแรกนะครับ หลังจากนั้นพอมีโอกาสได้ถ่ายละครก็ไม่ได้กลับไปตลอด แต่เมื่อไหร่ที่ได้กลับไปก็ยังทำอยู่ครับ ปีหนึ่งก็หลายครั้งอยู่ ถามว่าผูกพันกับศาลพระภูมิบ้านพี่เอเลยไหม จริงๆ ผูกพันกับทุกๆ อย่างครับ บ้านพี่เอเป็นเหมือนโรงเรียนอีกที่หนึ่งที่เราเติบโตมา ทำให้เราได้เรียนรู้ตั้งแต่วันแรกที่เราได้เข้าวงการมา หรือก่อนจะเข้าวงการบันเทิงก็มีบ้านพี่เอที่เป็นเหมือนที่ให้เรายึดเหนี่ยวว่านี่คือจุดเริ่มต้นของเรานะ และมีอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นความทรงจำที่ดีครับ”