ถ้าพูดถึงชื่อนักแสดง “ไมเคิล เปนญ่า” ( Michael Peña ) หรือที่ส่วนมากจะเรียกเขาง่าย ๆ ด้วยภาษาอังกฤษแบบอเมริกันว่า “ไมเคิล พีนา” หลายคนคงจะเกาหัวว่าคือใคร?
แต่เชื่อเถอะว่าถ้าได้เห็นหน้าปุ๊บแทบทุกคนจะต้องร้องอ๋อปั๊บไปตาม ๆ กัน เพราะแม้จะเป็นเสมือนตัวประกอบหรือตัวละครลับแต่กระนั้นเจ้าตัวก็มักจะมีบทเด่นคอยขโมยซีนอยู่เสมอ ๆ
หากยังนึกไม่ออกอีกก็ให้นึกถึงตัวละครจอมพล่านในหนังแอ็คชันยอดฮิต Ant Man นั่นแหละเขาละ
คนมีพรสวรรค์
"ไมเคิล เปนญ่า" (13 มกราคม 1976) เกิดและโตที่ชิคาโก มีพ่อและแม่ทำงานในโรงงาน แต่เดิมพ่อแม่ของเขาเป็นเพียงชาวนาชาวไร่ในเม็กซิโก ก่อนอพยพไปใช้ชีวิตที่อเมริกาเพราะหวังจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่สุดท้ายพ่อและแม่ของเขาก็ต้องโดนส่งตัวกลับ
ทำให้ไมเคิล เปนญ่า และพี่ชายที่เกิดที่นั่นถูกครอบครัวอื่นรับอุปการะเป็นการชั่วคราว ก่อนที่พ่อและแม่ของเขาจะกลับมารับลูก ๆ อีกครั้งหลังจำต้องกลับไปเม็กซิโกและทนทำงานอย่างหนักเพื่อเก็บเงินนานนับปี เพื่อจะได้กลับไปหาลูก ๆ และใช้ชีวิตต่อแบบพร้อมหน้าพร้อมตาในอเมริกาอีกครั้ง
หลังจบการศึกษาในชั้นมัธยมปลาย ไมเคิล เปนญ่า ในวัย 17 ปี ฝันที่จะเป็นทหาร เขาจึงเตรียมตัวที่จะไปสมัครรับใช้ชาติ แต่แม่ของเพื่อนสนิทได้ห้ามเขาเอาไว้ ด้วยเหตุผลที่ว่า เห็นแววนักแสดงในตัวเขา
เพราะเขามักจะเลียนแบบท่าทางและบุคลิกของคนอื่นได้เหมือนเป๊ะ จึงอยากให้เขาใช้ความสามารถด้านนี้ไปทางการแสดงจะดีกว่า
ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้เขาเริ่มลังเลและเริ่มมองหางานในวงการบันเทิง โดยหวังจะให้งานในวงการเป็นอาชีพเสริมของเขา พร้อมกับที่มองหางานอื่นไปด้วย และดูเหมือนความสามารถด้านการแสดงของเขาจะโดดเด่นเกินเรื่องจริงๆ เพราะทันทีที่เขาตัดสินใจลองเข้าแคสติง ก็สามารถเบียดแซงเด็กหนุ่มคนอื่นๆได้ร่วมแสดงใน Rebelión en las aulas 2 (1996) หรือ To Sir, with Love II
แล้วเขาก็เริ่มสนุกกับการแสดง ก่อนจะมีผลงานอื่น ๆ ตามมาอีกเรื่อย ๆ หลังจากนั้นทั้ง My Fellow Americans (1996) , La cucaracha (1998) ( ได้รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์ Austin Film), Bellyfruit (1999) และ Gone In 60 Seconds (2000)
บนเส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
อาจจะได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มที่มีพรรสวรรค์คนหนึ่งแต่ แต่เส้นทางฮอลลีวูดในช่วง 10 ปีแรกของ "ไมเคิล เปนญ่า" ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่อย่างใด
เพราะถึงแม้จะมีพ่อแม่เป็นชาวละตินแท้ ๆ แต่เขาเกิดและโตที่ชิคาโก พูดได้แต่ภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน สิ่งที่เขาต้องทำเพื่อให้ได้งานแสดงแม้จะเป็นเพียงบทเล็ก ๆ ก็คือ ต้องไปเรียนภาษาละติน, ศึกษาบุคลิกท่าทางของชาวละติน รวมถึงคำสบถ คำแสลงต่าง ๆ
เนื่องจากบทบาทของคนที่รูปร่างหน้าตาแบบละตินแท้ ๆ อย่างเขามักจะเป็นบทแบบเดิม ๆ ที่ในหนังไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าใดนัก โดยเฉพาะถ้าเป็นเรื่องของแก๊งมาเฟีย บทของคนละตินก็จะเป็นเพียงลูกน้องปลายแถวในแก๊ง หรือไม่ก็เป็นคนงาน ไม่ได้มีบทเด่นอะไร มากสุดก็ได้แค่บทรอง
ดังนั้นการมีบุคลิกและพูดได้แบบคนละตินจึงเป็นสิ่งที่เขาต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อให้ได้งานแสดง ครั้งหนึ่งเขาถึงขั้นสัญญากับแม่ของเขาว่า สักวันเขาจะต้องก้าวขึ้นมารับบทเป็นหัวหน้าแก๊ง หรือรับบทเด่นให้ได้
ความคับแค้นใจที่กลายมาเป็นแรงผลักดันให้กับเขาอย่างหนึ่งด้วยก็คือ ในเวลานั้นแม้ความสามารถด้านการแสดงของเขาจะเป็นที่โดดเด่น จนสามารถสอนการแสดงให้เพื่อน ๆ ที่มาขอคำแนะนำได้ แต่สุดท้ายก็เป็นเพื่อน ๆของเขาเองที่มีผลงานในภาพยนตร์ก่อนเขา
โดย ไมเคิล เปนญ่า ยังต้องทำหน้าที่แอ็คติงโค้ชให้เพื่อนที่ได้ถ่ายทำในกองถ่ายภาพยนตร์ต่อไป ขณะที่ตัวเขาเองได้แค่บทเล็ก ๆ มีประโยคให้พูดแค่ 4 บรรทัดในทีวีซีรีส์เท่านั้น
สูตรลับ "ถ้าตลกต้องเครียด ถ้าเครียดต้องตลก"
สำหรับภาพยนตร์ที่ถือว่าแจ้งเกิดและทำให้หนุ่มคนนี้เป็นที่จดจำในฮอลลีวูดจริง ๆ คือเรื่อง Crash ( 2005 ) ซึ่งเขารับบทเป็น แดเนียล หนุ่มจากครอบครัวชนชั้นแรงงาน
โดยทันทีที่รู้ว่าตนเองแคสงานผ่าน เขาถึงขั้นต้องถามผู้กำกับเลยว่า ในเรื่องนี้เขาจะมีบทพูดมั้ย เพราะเบื่อกับการไปยืนไร้ตัวตนในหนังเต็มทีแล้ว และหลังจากแสดงดรามาในเรื่องนี้ได้อย่างถึงอารมณ์ หลังจากนั้นเขาก็มีผลงานดรามาตามมาอีกมากมายทั้งบทจากเรื่อง Million Dollar Baby, Babel , Shooter, Lions for Lambs และ Fury
อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะแจ้งเกิดจากบทดรามาเข้มข้น แต่ไม่นานจากนั้นเขาก็ให้โลกได้จดจำ ว่าเขาก็เล่นบทตลกได้ดีไม่แพ้กันกับภาพยนตร์เรื่อง Observe and Report
ในเรื่องนี้ เซธ โรเกน รับบทเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ฝันอยากจะเป็นนักสืบ โดยไมเคิล เปนญ่า รับบทเป็นเดนนิส คู่หูที่ซ่อนความบ้าเอาไว้ โดยบทตลกของเขาจะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอภัยที่ทั้งสุขุมและเป็นอันตรายในเวลาเดียวกัน ซึ่งหลังจากบทนี้เอง ทำให้เขาได้รับบทตลกตามมาอีกมากมาย
โดยเคล็ดลับอย่างหนึ่งของนักแสดงคนนี้ในการรับเล่นบทต่าง ๆ ก็คือการพยายามทำอะไรที่ตรงกันข้ามกับบทที่ได้รับ กล่าวคือถ้าได้บทที่เป็นดรามาเขาก็มักจะใส่ความตลกเข้าไปด้วย และในตรงกันข้ามถ้าเป็นบทตลกเขาก็จะใส่ความเป็นดรามาเข้าไปในบทให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้เหตุผลที่ทำเช่นนั้นก็เพราะเขาต้องการที่จะบาลานซ์ทั้งสองสิ่ง และไม่อยากจะแสดงบทใดบทหนึ่งในแบบที่ดูซีเรียสและดูจงใจจนมากเกินไปนั่นเอง
เด่นในหนังแต่คนจำ(ชื่อ)ไม่ได้
หลังจากที่เริ่มได้รับบทเด่น ที่ไม่ใช่บทเล็ก ๆ ทั่วไปที่มักมีให้กับชาวละติน โดยเป็นบทเด่นที่ทั้งดูฉลาด, ตลก และมีงานมีการทำที่ดี "ไมเคิล เปนญ่า" มักจะขอคนเขียนบทให้บอกว่าเขาคือคนเม็กซิกัน-อเมริกัน เพราะเขาไม่อยากลืมรากเหง้าและอยากให้แฟนๆที่เป็นเม็กซิกัน-อเมริกัน ได้ภูมิใจที่ได้ดูหนังที่เขาเล่นด้วย
ที่ผ่านมาแม้เขาจะไม่เคยได้รับบทเป็นนักแสดงนำหลัก แต่ ไมเคิล เปนญ่า ก็เป็นนักแสดงที่มีผลงานปรากฏในภาพยนตร์ที่ได้รางวัลออสการ์มาแล้วหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น Million Dollar Baby (2004), Crash (2005), Babel (2006 ) American Hustle (2013) และ The Martian (2015 ) ซึ่งถือว่าได้ร่วมงานกับผู้กำกับมากฝีมือระดับออสการ์ถึง 4 คนไม่ว่าจะเป็น คลินท์ อีสต์วู้ด, โอลิเวอร์ สโตน, อเลฮานโดร จี. อินญาริตู และ โรเบิร์ต เรดฟอร์ด
อย่างไรก็ตามแม้เจ้าตัวจะเป็นที่รู้จักและมีผลงานภาพยนตร์มากมายเกือบร้อยเรื่องแล้ว แถมมีบทเด่น ๆ ในหนังแอ็กชั่นฟอร์มใหญ่หลายเรื่อง อาทิ "นิค เมมฟิส" รับบทเจ้าหน้าที่พิเศษใน Shooter ร่วมกับ "มาร์ก วอห์ลเบิร์ก" และยังมีคนจำเขาได้ดีจากบท "หลุยส์" ในเรื่อง Ant - Man
แต่นักแสดงในวัย 44 ปีก็บอกว่าเอาเข้าจริง ๆ มีแค่ 2 ใน 5 คนเท่านั้นที่เดินเข้ามาหาเขาแล้วจำชื่อเขาได้ นอกนั้นแค่รู้ว่าเขาเป็นดาราแต่จำชื่อไม่ค่อยได้เลยสักคน...