“แนท อนิพรณ์” ตื่นเต้นหนักมาก เตรียมตัวเป็นบัณฑิตรั้วธรรมศาสตร์ ใช้เวลาเรียน 7 ปี หลังดร็อปไปทำหน้าที่มิสยูนิเวิร์ส ไม่หวั่นจบช้า ลั่นอยากได้ความรู้ มั่นใจทำงานเป็น พับแพลนเรียนต่อขอโฟกัสงาน เปรยงานสังคมสงเคราะห์ทำได้ทุกวันอยู่แล้ว ยังไม่คิดตั้งมูลนิธิของตัวเอง เพราะยังไม่มั่นคงพอ ขอช่วยในสิ่งที่พอทำได้ไปก่อน
เตรียมเป็นว่าที่บัณฑิตอีกคนหนึ่งแล้ว สำหรับสาว “แนท อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์” ที่ตอนนี้มีชื่อเป็นผู้สำเร็จการศึกษา จากคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ โทผู้สูงอายุและเด็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันนี้ในงานแถลงข่าวความสำเร็จของการสร้างทัวร์นาเมนต์เจ็ตสกี อันดับที่ 1 ของโลก “การบินไทย เจ็ตสกีเวิลด์คัพ2019” เจ้าตัวก็ได้เผยว่ากว่าจะเรียนจบได้ ใช้เวลาไปถึง 7 ปีเลยทีเดียว เพราะดร็อปมาทำหน้าที่มิสยูนิเวิร์ส
“ก็จบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ โทผู้สูงอายุและเด็ก เพราะว่าเราเรียนสองตัวเลย เราเลือกไม่ได้ค่ะ เพราะเราชอบทั้งผู้สูงอายุและเด็ก ซึ่งจริงๆ แนทจบตั้งแต่ต้นปีแล้ว หลังจากฝึกงาน แต่ด้วยความที่เราตื่นเต้นว่าเราจะจบไหม ก็ไปเช็กในระบบก็จบแล้ว แต่กำหนดการยังไม่ออกมาค่ะ ต้องรอจากสำนักพระราชวัง”
จบช้า แต่จบชัวร์ หลังดร็อปเรียนไปประกวดมิสยูนิเวิร์ส จนเพื่อนๆ จบไปก่อนแล้ว 3 ปี
“คือเพื่อนของแนท จบไปแล้วน่าจะ 3 ปี เพราะว่าเราดร็อปครั้งแรกปีที่ประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ อีกปีหนึ่งคือกลับมาได้รับตำแหน่ง ก็ต้องทำงานดำรงตำแหน่ง อีกปีหนึ่งถ่ายละคร ตอนนั้นเครียดมาก ไม่สามารถเรียนและถ่ายละครในเวลาเดียวกันได้ หัวสมองมันแยกไม่ได้ค่ะ ก็เลยดร็อปไป”
รวมทั้งหมด เท่ากับเรียน 7 ปี
“ก็เพิ่งนึกออกว่าตัวเองเรียน 7 ปี เพื่อนก็มีแซวว่าเป็นปีที่ 7 แล้วนะ แล้วคณะนี้มีฝึกงาน 2 ครั้ง ครั้งแรกฝึกที่ศูนย์พัฒนาการสวัสดิการผู้สูงอายุปทุมธานี ครั้งที่สองฝึกที่ชุมชน แล้วเราค่อนข้างจริงจังกับการฝึกงานมากๆ ก็ไม่ได้อยากให้ผ่านไปค่ะ 3 เดือนที่เราหายไป คือ เราไปฝึกงานค่ะ จริงๆ อาจารย์ก็ช่วยนะ แต่เรารู้สึกว่าถ้าคณะนี้อาจารย์ช่วยแล้วจบมา มันจะไม่มีคุณภาพ ถ้าเรามีโอกาสได้ทำงานกับผู้เปราะบางทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่ถูกกระทำ เด็ก หรือผู้สูงอายุต่างๆ พอถึงโมเมนต์นั้นแล้วเราจะทำงานไม่ได้ ทำงานไม่เป็น และยิ่งทำให้เคสของเราหรือผู้เปราะบางทางสังคมยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก”
“ก็เลยเลือกที่จะบอกอาจารย์ว่าจบช้าแต่ว่าเอาความรู้ด้วย ช่วงเวลาที่ฝึกงานเป็นช่วงที่มีความสุขมากๆ เหมือนกลับไปเป็นเด็กต่างจังหวัดอีกครั้งหนึ่ง คือ เราไปแบบไม่มีตัวตน ไปเรียนรู้จากคนในชุมชน เด็กที่เวลาเราเห็นคุณภาพเขาดีขึ้นอะไรหลายๆ อย่างมันทำให้เรามีความสุข ก็มีพี่หมาก (ปริญ สุภารัตน์) ได้โอนเงินมาให้สำหรับหาเครื่องออกกำลังกายสำหรับชุมชน”
ยังไม่มีแพลนเรียนต่อ ขอพักทำงานก่อน
”พักก่อนค่ะ คือเราทุ่มเท ก็ขอพักก่อน ขอทำงานก่อนคะ’”
บอกงานสังคมสงเคราะห์ ทำได้ทุกวัน เลยได้ใช้ความรู้ที่เรียน มาต่อยอดตลอดอยู่แล้ว
“งานสังคมสงเคราะห์ สามารถทำได้ในทุกๆ วัน เราไม่จำเป็นที่ต้องจัดโครงการใหญ่โต คือเริ่มต้นได้จากตัวเราเอง อยากเราเวลาเราเจอเคสบางเคส เราก็ปรึกษาเพื่อนเลย ว่า กรณีแบบนี้เราช่วยอะไรได้บ้าง ล่าสุด ก็มีคนอินบ็อกซ์มาบอกเรื่องของความต้องการ ความช่วยเหลือค่ะ ก็ได้ส่งเคสนี้ต่อไปที่รุ่นพี่ ก็ให้เขาหาสวัสดิการ ทางโรงพยาบาลจุฬาฯ เขาก็รับเคสนี้ต่อ และดำเนินการต่อไปยังไง ก็มีแนวโน้มไปทิศทางไหนบ้าง อันนี้คือสิ่งที่เราทำอยู่แล้ว”
“ถามว่าต่อยอดยังไง ก็เป็นเรื่องของโอกาสในการหาความรู้ หรือไปเป็นวิทยากร ทำงานต่างๆ อย่างตอนนี้ก็เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์มูลนิธิที่อยู่อาศัยแห่งประเทศไทย ล่าสุด ก็ได้ไปที่ต่างจังหวัด ไปทาสีโรงเรียน และไปสร้างสนามเด็กเล่นให้กับเด็กๆ ทางเรากับทีมมูลนิธิก็ลงทุนซื้อสี และทำลายที่เป็นพื้นทั้งหมด เป็นตารางค่ะ ให้เด็กๆ ได้เล่น เป็นตารางเพื่อส่งเสริมพัฒนาการให้กับเด็กค่ะ”
ยังไม่ถึงขั้นอยากตั้งมูลนิธิในนามตัวเอง เพราะยังไม่ได้มีรากฐานที่มั่นคงขนาดนั้น ตอนนี้มีโอกาสช่วยในเรื่องไหนได้ ก็ทำไปก่อน
“โห จริงๆ ตรงนั้นเราต้องมีรากฐานมั่นคง ทำชีวิตที่มั่งคง แข็งแรงพอสมควรก่อน ซึ่งตอนนี้ถามว่าเรายังเด็กอยู่ไหม ก็ยังเด็กอยู่ประมาณหนึ่ง ยังไม่สามารถทำได้ถึงตรงนั้น แต่สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้ เราทำทุกอย่างที่เราว่าง ถ้ามีโอกาสจะทำตลอดค่ะ เมื่อต้นปีก็ได้ไปที่โรงเรียนวนาประชารัฐบำรุง ที่นครราชสีมา ระหว่างทางที่ไปเราก็ดูว่ามีความพร้อมทั้งหมดนะ”
“แต่พอนั่งๆ ไป ทำไมไม่ถึงๆ เพราะเป็นโรงเรียนที่ค่อนข้างจะห่างไกลความเจริญมาก และพอไปถึงที่โรงเรียน โรงเรียนมีพื้นที่กว้างมาก แต่ว่าอาคารเรียนเอนเหมือนจะล้มแล้ว เราก็ตกใจมาก แล้วอาจารย์ทำอาหารต้อนรับพวกเรา เด็กๆ ไม่กี่คนนะ แต่ไม่มีรองเท้าใส่กันเลย ก็มีคนบอกว่าแนท ช่วยระดมทุนหน่อย เขาอยากให้เด็กได้รองเท้าคนละ 1 คู่ เด็กมี 80-90 คน ก็ระดมทุนในไอจี และก็หาเองด้วยเวลาไปตามกองถ่ายก็ไปเล่าให้ทุกๆ คนฟัง เขาก็บริจาคเงินมา ก็ได้รองเท้าให้น้องๆ ครบทุกคนเลย และซื้อถุงเท้าให้ด้วย”
“น้องๆ ดีใจมาก เรื่องที่เราเล่า อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ ของใครบางคน แต่มันเป็นเรื่องใหญ่ของเด็กๆ จริงๆ เอาขนมไปแจกบางคนดีใจมาก น้ำตาไหล เราก็งง แล้วคนที่ไม่มีเขาไม่มีจริงๆ แล้วเขาก็ถามเราว่าจะกลับมาอีกไหม เราก็เลยจัดเป็นกิจกรรมกับแฟนคลับ ว่าถ้ามีเวลาว่าง แนทจะไปซื้อลูกปัดมาร้อยเป็นที่มัดผม ส่วนผู้ชายก็ใส่เป็นเครื่องประดับที่แขนได้ ก็เอาไว้เป็นของไว้ให้กับคนที่บริจาคเงินให้กับเรา แต่ว่าจะส่งให้ตอนสิ้นปี เปิดยอดบริจาคอยู่ที่ 15,000 บาท ค่ะ สิ้นปีคิดว่าจะเปิดอีกรอบหนึ่ง แล้วก็จะส่งของให้ แล้วจะเอาเงินไปให้กับที่โรงเรียนเดิมเลย เด็กๆ ก็ฝากข้อความกับมาว่าคิดถึงค่ะ”
บอกส่วนตัวชอบเด็กอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะเป็นนางงาม ขอบคุณทุกคนที่ช่วยสนับสนุน เงินทุกบาทมีค่ามากกับการช่วยน้องๆ
“บางคนชอบคิดว่านางงามชอบเด็กแต่ส่วนตัวเราชอบเด็กอยู่แล้ว ชอบมากก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เขาน่ารักดี เขาตรง ใสๆ ก็บอกทางทีมว่าถ้าเก็บภาพได้ก็เก็บ แต่เราจะไม่ละเมิดสิทธิเด็กมากเกินไป หรือเขาอาจจะอยากให้ถ่าย แล้วเราก็ถ่ายรูปมาให้ดูว่า เรามาแล้วนะ และเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ทุกคนให้มา ได้ใช้หมดนะ ซื้อของให้เด็กหมด ส่วนเงินค่าน้ำมัน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เราเป็นคนออกเองทั้งหมดค่ะ อยากจะขอบคุณมากกว่า ที่ได้ให้เงินบริจาคมา บางคนมีแค่ 50 บาท แต่ก็ให้เรามา อยากจะบอกว่า เงิน 50 บาท โคตรมีค่าเลยค่ะ อยากขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนมากกว่าค่ะ”