“เลดี้ กาก้า” นักร้องสาวชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์ข้อความหลังทราบข่าวการเสียชีวิตของ “ริค เจเนส” หรือที่รู้จักในนาม “ซอมบี้ บอย” ผู้มีรอยสักเต็มตัวรวมถึงใบหน้าและหนังศีรษะ ที่คาดว่าจบชีวิตตนเองลงเมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา
รายงานระบุว่า ริค เจเนส ถูกพบร่างไร้วิญญาณอยู่ที่บ้านพักในมอนทรีอัล ประเทศแคนาดา และสันนิษฐานเบื้องต้นว่าสาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากการฆ่าตัวตาย
โดย เลดี้ กาก้า ที่เคยมีโอกาสร่วมงานกับ ซอมบี้ บอย นายแบบวัย 32 ปี ตอนที่เขาร่วมเล่นมิวสิกวิดีโอ Born This Way เมื่อปี 2011 ซึ่งทำให้เขาโด่งดังมีชื่อเสียงและเป็นที่สนใจไปทั่วโลก ก็ได้โพสต์ข้อความหลังทราบข่าวการเสียชีวิตด้วยว่า
“เสียใจอย่างที่สุด เราทำงานด้วยกันหนักมากเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม ดึงเอาปัญหาทางด้านจิตใจออกมาสู่ภายนอกแล้วกำจัดมลทินที่เราไม่สามารถพูดออกมาได้นั้นออกไป ถ้าพวกคุณกำลังเจ็บปวดหรือเผชิญกับอะไรอยู่ ให้คุยกับเพื่อนหรือครอบครัวตั้งแต่วันนี้ เราต้องช่วยเหลือกันและกัน”
ด้านต้นสังกัดที่ดูแล ริค เจเนส ก็ได้ออกมายืนยันข่าวการเสียชีวิต พร้อมระบุว่าทุกคนที่ทราบข่าวรู้สึกช็อกและเจ็บปวดเป็นอย่างมาก “ริคเป็นที่รักของพวกเราทุกคนที่เคยมีโอกาสได้ร่วมงาน ได้เจอหรือได้รู้จักกับเขา เราได้รับข่าวร้ายเมื่อช่วงบ่าย ทีมงานเราจึงรีบไปให้กำลังใจครอบครัวและญาติๆ ของเขาในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ เราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง...และขอบคุณ ซอมบี้ บอย สำหรับช่วงเวลาที่สวยงามที่เข้ามาอยู่ในบริษัทเราและขอบคุณสำหรับรอยยิ้มที่แสนงดงามของนายด้วย”
ก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิต ในเฟซบุ๊กที่คาดว่าเป็นของ ริค เจเนส ได้เคยเผยความนัยเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า หลายๆ โพสต์ล่าสุดของเขาเมื่อไม่นานนี้ มีภาพที่เขานั่งอยู่บนเตียงคนไข้ใส่เสื้อที่เขียนคำว่า Kill Me (ฆ่าฉัน) ซึ่งเป็นเสื้อที่เขามักสวมใส่ประจำขณะให้สัมภาษณ์และถ่ายรูปพร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาอยู่ตลอด
เมื่อปีที่แล้วเขาก็เคยขึ้นพูดบนเวที TedX ในหัวข้อที่ว่า “ความธรรมดาคือภาพลวงตา” โดยเขากล่าวว่า เป็นคนที่เติบโตมาในเมืองควิเบก ที่เต็มไปด้วยปัญหาด้านความขัดแย้งทางศาสนาและการเมือง โดยพ่อแม่ของเขาก็ค่อนข้างเคร่งศาสนาและมักจะบังคับให้เขาร่วมกิจกรรมทางศาสนาทุกครั้งเมื่อถึงเทศกาลต่างๆ
นอกจากนั้นยังระบุด้วยว่าสถานที่ที่เขาชอบน้อยที่สุดก็คือโรงเรียน “ทุกๆ วันเหมือนการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ต้องทรมานดิ้นรนกับการโดนเมินและเสียงหัวเราะ ถูกแกล้งเสียส่วนมาก และโดนผูกมิตรเป็นส่วนน้อย”
พร้อมกันนั้นเขาก็เคยผ่านวิกฤตความเป็นความตายในช่วงวัยรุ่น หลังถูกวินิจฉัยว่ามีเนื้องอกในสมอง ซึ่งแพทย์ได้เตือนเขาว่า เขาต้องผ่าตัดเอาก้อนเนื้อออก และอาจหลงเหลือบาดแผลบนใบหน้าไปตลอดชีวิต แต่ 6 เดือนต่อมาหลังจากรอการเรียกตัวผ่าตัด แพทย์ก็ได้แจ้งข่าวดีว่ามีเทคโนโลยีใหม่ในการรักษาด้วยการใช้เลเซอร์ที่จะไม่ทำให้เขาเสียโฉม แต่ก็เหมือนการเดิมพัน เพราะเพิ่งมีผู้ป่วยรายเดียวที่ประสบความสำเร็จจากการใช้เทคโนโลยีนี้ และไม่นานหลังจากวันเกิดอายุครบ 15 ปี เขาก็เดินออกจากโรงพยาบาลในฐานะคนที่ 2 ของอเมริกาเหนือที่ประสบความสำเร็จจากการผ่าตัดเนื้องอกสมองด้วยเลเซอร์
ปีต่อมาเจ้าตัวก็ออกจากบ้านมาใช้ชีวิตลำพังที่มอนทรีอัล และใช้ชีวิต 5-6 ปี ด้วยการเช็ดกระจกรถ และคอยหลบตำรวจขณะพ่นสีตามกำแพง และนั่นเป็นช่วงแรกที่เขาเริ่มหลงใหลรอยสัก และเริ่มต้นสักตามร่างกาย และจากนั้นเขาก็เปลี่ยนร่างกายให้เป็นเหมือนกระดานสำหรับสักรูป โดยในวัย 21 ปีเขาก็มีรอยสักเต็มตัว ก่อนจะเริ่มลามเข้าสู่ใบหน้าตอนอายุ 22 ปี โดยเขายอมโกนผมทรงโมฮวอกสูง 2 ฟุตสไตล์พังก์ออกไป และสักรูปสมองบนหนังศีรษะแทน
เขาได้เคยเผยถึงการสักซอมบี้บนตัวด้วยว่า “แนวคิดซอมบี้มักใช้เป็นคำเปรียบเปรยกับพวกที่ชอบวิ่งหนีการยึดติดกับคุณค่าทางวัตถุหรือทรัพย์สิน การขบถต่อแนวความคิดพวกนี้มันมีความหมายมากกับพวกชาวพังก์ ต้นกำเนิดของการกำเนิดซอมบี้มันมาจากเรื่องที่คนถูกฝังในช่วงที่เกิดโรคระบาด, ภัยพิบัติ หรือวิกฤตการณ์ต่างๆ แล้วก็โผล่ออกมาเมื่อสภาพร่างกายถูกเปลี่ยนแปลงไป และมีหลายครั้งที่ซอมบี้ ถูกเรียกแทนพวกกลัวการแพร่กระจายของชาวต่างชาติ เช่นเดียวกับในชีวิตผม ผมมักจะโดนมองเป็นพวกนอกคอก โดนเกลียด หรือโดนเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ”
ความโด่งดังของซอมบี้ บอย เริ่มต้นขึ้นเมื่อคนจากนิตยสาร Bizarre ของอังกฤษเห็นภาพเขาใน MySpace จึงได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาเจอเขาที่มอนทรีอัล จนกระทั่งรูปภาพของเขาเริ่มเป็นที่สนใจและเข้าตาเลดี้ กาก้าในที่สุด ก่อนถูกทาบทามให้เข้าสู่วงการแฟชั่น ซึ่งเขายังเคยเป็นนายแบบให้กับดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสอย่าง เธียร์รี มักเลอร์ และเคยเป็นนายแบบให้กับแบรนด์เสื้อผ้าของเจย์ ซี อย่าง Rock-A-Wear และยังเคยขึ้นปกนิตยสาร Vogue ของญี่ปุ่น ส่วนการเสียชีวิตครั้งนี้ก็คาดว่ามาจากความเครียดและโรคซึมเศร้าที่เจ้าตัวกำลังต่อสู่กับมันอย่างหนักนั่นเอง