ในขณะที่ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลส่วนใหญ่ ยังคงอยู่ในอาการจิตตก ว่าจะก้าวผ่านช่วงวิกฤต เพื่อนำพาธุรกิจให้ไปต่อได้ตลอดรอดฝั่ง ท่ามกลางกระแสการแข่งขันที่ห้ำหั่นกันสุดฤทธิ์ ขณะที่รายได้ที่ไหลเข้ามาจุนเจือกลับลดน้อยถอยลงจนบางทีถึงขนาดติดลบตัวแดง
ไม่ต้องพูดถึงช่องเล็กช่องน้อย ที่ไม่เคยติดอยู่ในอันดับ Top 10
แม้กระทั่งบิ๊กเนมอย่างช่อง 3 ก็ไม่อาจหายใจได้ทั่วท้อง !!!
หลังจากหมดผลบุญของละครปรากฏการณ์แห่งชาติ อย่าง “บุพเพสันนิวาส” ก็ดูเหมือนจะกลับมาอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเอามือก่ายหน้าผากกันอีกแล้ว
โดยล่าสุด มีรายงานว่าหุ้นของช่อง 3 ในขณะนี้นั้นร่วงดิ่งลงชนิดต่ำสุดในรอบ 22 ปี นับเนื่องจากแรกที่จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2539
จะไม่ให้ร่วงดิ่งอย่างไรได้ ในเมื่อเรตติ้งของละครหลังข่าวล็อตล่าสุด พร้อมใจกันต่ำเตี้ยแบบพลิกความคาดหมาย
ขนาดโปรแกรมวันจันทร์-อังคาร ที่ได้คู่จิ้นอันดับหนึ่งอย่าง “ณเดชน์-ญาญ่า” มาแสดงนำ แต่ “ลิขิตรัก” ก็กลับต้องพ่ายแพ้แก่ละครฟอร์มเล็ก และคู่พระ-นางเบอร์รอง อย่าง “พันธกานต์รัก” ของช่องคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่น
หรือแม้แต่โปรแกรมวันพุธ-พฤหัส ละครฟอร์มยักษ์อย่าง “หนึ่งด้าวฟ้าเดียว” ก็ต้องมาแพ้ทางละครบู๊แอ็คชั่น อย่าง “เล็บครุฑ” ที่ช่อง 7 ตั้งใจส่งมารุกฆาตโดยเฉพาะ
แต่ช่อง 3 ก็ยังคงไม่หมดความหวังเสียทีเดียว
เพราะถ้าไม่มีอะไรคลาดเคลื่อน ในโปรแกรมถัดไป จะเป็นการเปิดโอกาสให้พระ-นาง อย่าง “เจมส์-จิรายุ” กับ “แต้ว- ณฐพร” กลับมาแก้มืออีกครั้ง ในละคร “เกมเสน่หา” ละครแนวน้ำเน่าในเงาจันทร์ สไตล์ดอกฟ้ากับหมาวัด ที่หวังว่าจะถูกใจคอละคร ก็หวังว่าประวัติศาสตร์คงไม่ซ้ำรอย “ณเดชน์-ญาญ่า” ที่หวังจะใช้ “ลิขิตรัก” แก้มือจาก “เล่ห์ลับสลับร่าง” แต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงฝันพอกัน
และอีกหนึ่งหมากเด็ด ที่หวังใจว่าจะสามารถกลับมากอบกู้ทั้งเรตติ้ง และหุ้นที่ร่วงดิ่ง ก็คือละครรีเมก “ข้ามสีทันดร” ซึ่งฝากความหวังไว้ว่า ขื่อชั้นของ “โป๊ป-ธนวรรธน์” หรือพี่หมื่นของบรรดาออเจ้า อาจจะทำให้ช่อง 3 สามารถกลับมาผงาดได้อีกครั้ง แต่ก็ยังอุ่นใจไม่ได้มากนัก เพราะแว่วมาว่า ช่อง 7 ก็เตรียมงัดไม้เด็ดด้วยการส่ง “ลูกไม้ลายสนธยา” มาปะทะ ด้วยหน้าละครที่ได้พระเอกต่างช่องอย่าง “ฌอห์น จินดาโชติ” ที่เคยขึ้นชื่อว่าเป็นสามีแห่งชาติเหมือนกัน ข้ามมาเล่นให้เป็นครั้งแรก
ว่าไปแล้ว ระยะหลังมานี่ ดูเหมือนช่อง 3 จะอยู่ในช่วงพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก มีเหตุปัจจัยที่สะเทือนต่อความเชื่อมั่นไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการประกาศเทขายหุ้นแบบเกลี้ยงพอร์ตของอดีตผู้นำ และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ อย่าง “ประวิทย์ มาลีนนท์” พร้อมๆ กับข่าวรอยร้าวในตระกูล ที่แม้จะไม่หนักหนาถึงขนาดเป็นศึกสายเลือด แต่ก็กระทบต่อเสถียรภาพของช่องเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
และแน่นอนว่าผลกระทบดังกล่าว ย่อมกระเทือนมาถึงเรื่องของรายได้ค่าโฆษณา ที่ไม่เป็นไปตามเป้า ถึงขนาดต้องมีการปรับลดราคาลง เพื่อดึงดูดใจลูกค้า
แถมความหวังที่จะคืนช่อง 13 Family เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ก็ดูเหมือนจะเป็นหมัน
“ตอนนี้เขาไม่ให้คืนแล้ว คือเราประมูลมาแล้ว เราก็ต้องทำครับ แต่ถ้าทางรัฐมีช่องทางที่จะให้คืน ก็ต้องมาดูเงื่อนไขก่อนครับ คืนกับไม่คืน มันจะเป็นยังไง ยังไม่เห็นเงื่อนไขก็ยังพูดอะไรไม่ได้ แต่ตอนนี้คือยังคืนไม่ได้ครับ และถ้าถามไปว่าถ้าเปลี่ยนมือไป จะมีคนมาซื้อเหรอ แต่ตอนนี้ถ้าเปิดโอกาสจะมีคนมา ก็น่าจะโอเค ส่วนในเรื่องของการลงทุนเองนั้น BEC ของเราก็หาพันธมิตรมาร่วมลงทุน เราเปิดทุกแชนแนลอยู่แล้ว สมัยนี้เราทำคนเดียวไม่ได้หรอกครับ เราต้องมีเพื่อนเยอะๆ เพราะมันเป็นการสร้างความแข็งแกร่งแต่ละด้าน เพราะไม่มีใครจะแข็งแกร่งไปทุกด้าน”
จากคำสัมภาษณ์ของ “คุณประชุม มาลีนนท์” บอสส์ใหญ่ของช่อง 3 ในขณะนี้ ที่พูดถึงการหาพันธมิตรมาร่วมลงทุนในช่อง 3 ก็มีความเป็นไปได้ว่า อาจจะหมายถึง บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) ของ “แอน-จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” สตรีข้ามเพศ ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
แหละ....ถ้าเป็นจริงตามนั้น ก็หมายถึงเป็นการก้าวย่างครั้งสำคัญของเจเคเอ็นเลยทีเดียว
ชื่อของเจเคเอ็น เริ่มเป็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในฐานะที่เป็นเอเยนต์รายใหญ่ที่นำเข้าคอนเทนต์จากต่างประเทศเข้ามาในบ้านเรา
โดยเฉพาะที่พีคสุดๆ ก็คือซิรี่ส์อินเดีย ที่เป็นคู่แข่งตัวฉกาจในการช่วงชิงเรตติ้งของละครไทย ส่งผลให้ไตรมาสแรกของปีนี้ เจเคเอ็นสามารถฟาดกำไรไปได้ถึง 70.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.37% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 46.01 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมทำได้ 345.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.63% เทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีรายได้รวม 258.76 ล้านบาท
ประเด็นที่น่าสนใจ ก็คือโมเดลทางธุรกิจของเจเคเอ็น ที่ไม่ได้ผูกขาดช่องหนึ่งช่องใด แต่สามารถดีลได้กับทุกช่อง และทุกแพลตฟอร์ม แม้ว่าจะเปิดหัวแหวนด้วยช่อง 8 ก็ตามที
ที่สำคัญไม่ได้เป็นผู้จัดจำหน่ายเพียงเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น หากยังตั้งเป้าที่จะเปิดตลาดสู่การเป็นเวิลด์ เอเยนต์ ทั่วเอเชียและยุโรปอีกด้วย
พูดง่ายๆ ว่าเป็นโมเดลธุรกิจที่ปิดประตูขาดทุนได้เลย แค่รู้จักการบริหารจัดการกับคอนเนกชั่นในมือตัวเอง และรู้จักเลือกสรรคอนเทนต์ที่เหมาะกับผู้บริโภคของแต่ละที่
แน่นอนว่ากว่าจะได้คอนเนกชันระดับนี้มา ก็ต้องอาศัยระยะเวลา และการสั่งสมความไว้เนื้อเชื่อใจกันมานานเนิ่น กระทั่งสามารถเป็นบริษัทที่มีคอนเทนต์ระดับโลกอยู่ในมือมากที่สุดในวงการอย่างนี้
ขณะเดียวกัน จากบทบาทในฐานะผู้ “นำเข้า” คอนเทนต์จากต่างประเทศเข้ามาในบ้านเรา เจเคเอ็นก็ยังสยายปีกสู่การเป็นผู้ “ส่งออก” คอนเทนต์ละครไทยออกไปตีตลาดต่างประเทศ ได้แก่กลุ่มประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, บรูไน, สิงคโปร์ และไต้หวัน เป็นต้น รวมถึงยังมองไปอีกหลายประเทศ อย่างลาตินอเมริกา และตะวันออกกลาง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตลาดใหม่ที่คอนเทนต์ของช่อง 3 ยังเข้าไปไม่ถึง โดยประเดิมด้วยละครของช่อง 3 จำนวน 70 เรื่อง อาทิเช่น สามีตีตรา , ทรายสีเพลิง, รอยฝันตะวันเดือด, ลมซ่อนรัก, สองหัวใจนี้เพื่อเธอ, กำไลมาศ, เพลิงนรี และ นาคี ซึ่งถือเป็นความหวังใหม่ของวงการละครบ้านเรา ที่จะมีโอกาสได้ออกไปอวดสายตาของคนทั่วโลกอย่างเป็นทางการ โดยอาศัยคอนเนกชั่นระดับโลกของเจ้าแม่คอนเทนต์ อย่างแอน-จักรพงษ์
ก็ไม่แน่ว่าละครเด็ดๆ หลายๆ เรื่องในจำนวนนี้ โดยเฉพาะเรื่อง “นาคี” อาจจะเป็นที่ถูกตาต้องใจของคนต่างประเทศ เหมือนอย่างที่เราๆ ท่านๆ หลงใหลคลั่งไคล้ซิรี่ย์เกาหลีกันแบบหัวปักหัวปำ
“อย่างนาคีนี่เป็นยูนิเวอร์แซลนะ เป็นแฟนตาซีอะไรอย่างนี้ดี อยู่ที่บทค่ะ ละครผี ละครตลกบางเรื่องอาจจะคลิกแค่บางประเทศ แต่อย่างนาคีนี่ยูนิเวอร์เซิล คือไปได้ทุกที่เลย เห็นทั้งสัตว์ประหลาด เห็นทั้งบทละครที่มันฟังง่าย พูดง่าย มีความเป็น แฟนตาซี มันเลยไม่ยากสำหรับการที่จะไป
ทุกสิ่งทุกอย่างเราเริ่มขายกันตั้งแต่ปีนี้แล้ว แต่พอเวลาลูกค้าซื้อไปก็แน่นอนว่าอาจจะเริ่มฉายกันปลายปีหรือต้นปีหน้า โดยที่งานปีนี้ของเราจะมี Internationnal content markets จะมี 3-4 ที่ เริ่มจากเวียดนาม เราก็จะไปต่อที่เมืองคานส์ ฝรั่งเศส เดี๋ยวเราจะเห็นศิลปินจากทางช่องบางท่านที่หล่อสวยเหลือเกินหลายๆ ท่าน ไปเดินเมืองคานส์เพิ่มเติมเพื่อทำการโรดโชว์ แล้วก็ไปที่สิงคโปร์ ตลอดจนงานต่างๆ ที่เราวางกันไว้ถึงปลายปีหน้าแล้วด้วยซ้ำค่ะ”
อย่างไรก็ตาม การร่วมมือกันครั้งนี้ ช่อง 3 และเจเคเอ็น ตั้งเป้าไว้ว่าจะสามารถสร้างรายได้อย่างต่ำๆ ไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท
มองในมุมของช่อง 3 ก็ถือว่าสามารถต่อลมหายใจไปได้อีกหลายเฮือก แทนที่จะปักธงสู้อยู่แต่ที่เมืองไทย ซึ่งโอกาสที่จะเบียดแซงช่อง 7 เหมือนตอน “บุพเพสันนิวาส”นั้น ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นอีกทีเมื่อไหร่ ?
และด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวมานี่เอง จึงทำให้หลายคนจับตามองว่า มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่เจเคเอ็น จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของช่อง 3 ด้วยต่างก็มีผลประโยชน์ที่เกื้อกูลกันมากขึ้นจากแต่ก่อน
โดยเฉพาะการที่ช่อง 3 ก็เปิดโอกาสให้เจเคเอเอ็น ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรายการป้อนช่อง 28 SD กับรายการ “First Class Thailand by JKN CNBC” ซึ่งเป็นรายการระดับโลกมาตรฐาน CNBC สถานีโทรทัศน์ข่าวธุรกิจอันดับ 1 ของโลก ที่ทาง เจเคเอ็นซื้อลิขสิทธิ์มาผลิตในประเทศไทย โดยมี “แหวนแหวน-ปวริศา เพ็ญชาติ” ผู้บริหารบริษัท คลาวด์ นายน์ ครีเอชั่น จำกัด รับหน้าที่พิธีกรหลัก และ “กึ้ง-เฉลิมชัย มหากิจศิริ” นักธุรกิจชื่อดังเป็นพิธีกรร่วม โดยรูปแบบรายการ เป็นการนำเสนอไลฟ์สไตล์ และเคล็ดลับในการประกอบธุรกิจของอภิมหาเศรษฐีในไทย เพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ชม ที่อยากประสบความสำเร็จแบบนี้บ้าง
ว่ากันว่าเจเคเอ็นลงทุนไปกับการซื้อลิขสิทธิ์ของ CNBC เป็นหลักร้ายล้านในหลายๆ รายการ ภายในระยะเวลาที่เซ็นสัญญานานถึง 10 ปี ซึ่งลงทุนหนักขนาดนี้ เจเคเอ็นคงไม่ได้วางสถานะของตัวเองเป็นแค่ผู้ผลิตแน่นอน แต่อาจจะมองไกลไปถึงการเป็นเจ้าของช่องทีวีด้วยซ้ำ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ต้องเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งประเมินจากรูปการแล้ว ก็น่าจะไม่หนีช่องหนึ่งช่องใดในช่อง 3 แน่นอน
แหละ ถ้าหากว่าบทสรุปออกมาเต็มไปดังที่คาดการไว้ ก็ถือว่าเป็นการต่อจิ๊กซอว์ที่ลงตัวมากที่สุดในขณะนี้เลยทีเดียว เพราะนาทีนี้บริษัทบันเทิงที่มีภาษีดีสุด เห็นทีจะไม่มีใครเกินเจเคเอ็น ที่ถึงพร้อมทั้งในเรื่องของเงินทุน และคอนเนกชันระดับ World Wide ซึ่งสามารถนำพาให้ช่อง 3 ก้าวไกลไปสู่ระดับอินเตอร์ได้ไม่ยาก
ในขณะที่เจเคเอ็นเอง ก็สามารถพาตัวเองก้าวกระโดดจากการเป็นเจ้าของคอนเทนต์ มาสู่การเป็นเจ้าของช่องทีวี ด้วยราคาซื้อ-ขายที่จับต้องได้
ก็ถือว่าเป็นสมประโยชน์แบบ Win- Win ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
และแน่นอนว่าจะเป็นช่องทีวีที่น่าจับตามอง และน่ากลัวมากที่สุด เพราะเป็นการสมานความร่วมมือของ 2 ยักษ์ใหญ่ที่ต่างก็มีศักยภาพที่โดดเด่นคนละด้าน
ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ บัลลังก์ของช่องทีวีอันดับ 1 อาจจะเปลี่ยนมือมาอยู่ที่ช่อง 3 อย่างถาวรก็เป็นได้
นิตยสาร ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 446 9-15 มิถุนายน 2561