“ขวัญ อุษามณี” ขึ้นศาลเป็นครั้งแรกในชีวิต ยันอยากให้ผู้รับเหมาเข็ดหลาบ สำนึกผิด และอย่าทำแบบนี้กับใคร เปิดใจคืนดี “พี่ลูกแก้ว” เลือดต้องข้นกว่าน้ำ รับผิดเองที่ไม่หนักแน่นพอที่จับมือไปด้วยกัน ลั่นรู้เรื่องอะไรมากขึ้น เมินกระแสดรามาใส่กางเกงขาสั้นเข้าดูไบ เข้าใจคนพูดอาจไม่เคยไป ไม่ผิดเพราะไม่รู้ แต่กรีดนี่มันยุคสมัยไหน ต่างชาติมาไทยก็ต้องห่มสไบทุกคนมั้ย สะบัดบ๊อบใส่ทุกดรามา
สร้างบ้านผ่านมา 2 ปียังไม่มีโอกาสเข้าอยู่ เพราะเจอปัญหาผู้รับเหมาทำงานชุ่ย ทำให้ซ่อมแซมเกือบทั้งหลัง สูญเงินหลายสิบล้าน สำหรับ “ขวัญ อุษามณี ไวทยานนท์” ล่าสุดเจ้าตัวก็เตรียมขึ้นศาลเบิกความด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต ยันอยากให้คู่กรณีเข็ดหลาบ และอย่าทำแบบนี้กับใคร ขอแค่สำนึกก็พร้อมไกล่เกลี่ย
“เป็นครั้งแรกในชีวิตที่จะได้ขึ้นศาล วันนี้เราจะต้องไปเบิกความด้วยตัวเองเป็นคดีเรื่องบ้านจากครั้งก่อนได้ไปอะไรกันเรียบร้อยเขาก็ต่อสู้ว่าเขาไม่ผิด เราอยากให้เคสนี้เป็นกรณีตัวอย่าง อยากบอกว่ารู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ บางครั้งเราให้เกียรติคนทำงานเราก็ต้องไปเช็กด้วยตัวของเราเอง จริงๆ อย่าไปเชื่อคำพูดว่าเรียบร้อยค่ะ โอเคค่ะ สวยค่ะ อย่าไปเชื่อคำหวานของคนเพราะมันคือคลิปที่รุนแรงมาก”
“มันคาราคาซังก็ไม่รู้สึกอะไรแค่อยากทำให้เข็ด ไม่อยากให้เขาไปทำกับใครอีก สิ่งที่เราทำไป ถ้าในวันที่ไกลเกลี่ย เขาขอโทษหรือว่าสำนึกผิด เราก็จะไม่ดำเนินเรื่องต่อ เรื่องเงินที่เราเสียไปมันก็ส่วนหนึ่งเราก็อยากเดินไปข้างหน้า แต่ถ้าเกิดเขาทำอย่างนี้กับคนอื่น เงินจำนวนนี้มันคือบ้านของคน ไม่ควรทำโดยเอาผลประโยชน์เข้าตัวเอง”
“เราแค่อยากให้เขาสำนึก และไม่อยากให้เขาไปทำกับคนอื่นอีก เงินที่ขวัญเรียกร้องไป ไม่เท่ากับครึ่งหนึ่งที่ขวัญได้สูญเสียไป แต่ไม่ขอพูดถึงจำนวนเงิน ที่รุนแรงมันคือความรู้สึกของเรา ที่เราไว้ใจให้เขามาทำในที่ที่ปลอดภัยของเรานั่นคือบ้าน บวกกับไม่มีความรับผิดชอบใดๆ เลย”
“ก็เป็นคดีแพ่งค่ะ ความรู้สึกในการไปขึ้นเบิกความ ก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้ชีวิตไปเรื่อยๆ วันนี้ตอนเช้าเราเป็นนักแสดง ตอนบ่ายแล้วก็เป็นนักเรียน เรียนรู้การที่เราจะคุ้มครองชีวิตของตัวเราเอง”
“ถามว่ามั่นใจหลักฐานมั้ย ทุกอย่างให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลแล้วกัน เพราะเราได้เตรียมหลักฐานทุกอย่างไปพร้อมหมดแล้ว ขวัญอยากให้คนที่เป็นลูกค้าหลังจากขวัญให้ทุกคนไปดูแลบ้านที่คนผู้นี้เป็นผู้รับเหมา อย่าทำผิดพลาดเหมือนอย่างขวัญ นี่ 2 ปีแล้วยังไม่ได้อยู่บ้านเลย การสร้างใหม่ไม่ยากเท่ากับการซ่อมแซมแล้วช่างก็ไม่มีใครอยากไปทำเพราะมันคืองานแก้”
“วันนี้แม่ไปเป็นเพื่อน ให้แม่อยู่ข้างหลัง วันนี้เราต้องมาเป็นกำบังให้กับคุณแม่ของเราแล้ว หลังจากนี้ก็คงมีการสืบพยานกันต่อไป ถามว่าวันนี้จะจบมั้ย ขวัญว่าเขาคงไปเรื่อยๆ ก็ไม่เป็นไร เราก็ทำทุกอย่างเป็นไปตามเนื้อเรื่องให้มันถูกต้อง”
“มันคือชีวิตไม่มีอะไรประสบความสำเร็จโดยไม่มีอะไรมาขัดขวาง ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ตอนนี้การซ่อมแซมก็คืบหน้าไปเรื่อยๆ แต่ว่าพอซ่อมแซมไปเรื่อยๆ มันก็ไปเจอเรื่อง อย่างล่าสุดเจอสายไฟที่ไม่ตรงสเปกทำเสร็จก็ต้องรื้อใหม่หมดทั้งหลัง มันเป็นเรื่องบันเทิงแล้วค่ะ”
เลือดต้องข้นกว่าน้ำ คืนดี "พี่ลูกแก้ว" ยอมรับผิดเองที่ไม่หนักแน่นพอ
“ก็เลือดค่ะ ยังไงก็เป็นสายเลือดค่ะ อาจจะเคยมีกระทบกระทั่งกันบ้างแต่ว่าก็คือเลือดเนื้อเดียวกัน เลือดเนื้อเชื้อไขเรา ทราบทุกเรื่องแล้วค่ะว่าอะไรผิดอะไรถูก เราเคลียร์กันมาช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา ว่าเรื่องราวทุกสิ่งทุกอย่างก็เข้าใจในเรื่องที่มันถูกต้อง ก็เปิดอกคุยกัน เป็นพี่น้องที่เข้าใจกันเหมือนเดิมค่ะ งานนี้แม่ไม่ยุ่งค่ะ”
“เรื่องประเด็นไหนที่ทำให้กลับมาหันหน้าคุยกัน อันนี้ขวัญไม่ขอพูดแล้วกันค่ะ เพียงแต่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี เราก็เข้าใจพี่เรา แล้วพี่เราก็ไม่ได้ผิด เราคุยกันมาตลอดเรื่อยๆ อยู่แล้วแต่ว่าบางอย่างคนภายนอกอาจไม่ทราบแล้วขวัญไม่สามารถพูดได้ทุกเรื่อง ยังไงเราก็รักกันอยู่แล้ว เพราะว่าเรามีกันแค่ 4 คน แล้วตอนนี้คุณพ่อไม่อยู่ เราผิดเองที่เราไม่ได้หนักแน่นพอที่เราจะจับมือไปด้วยกัน”
“เราก็คุยกับพี่เรา แต่ของขวัญวันเกิดพี่ยังไม่ได้ให้เลย เดี๋ยวค่อยให้ทีเดียวค่ะ ให้ของขวัญใหญ่ทีเดียว แต่ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเป็นอะไร แต่ว่ามีแพลนจะไปหาพี่แก้ว”
เรื่องภายในพูดไม่ได้ เข้าใจพี่สาวเคยถูกแอนตี้ เพราะตนเข้าใจแบบนั้น
“ก็ตอนแรกขวัญก็เข้าใจแบบนั้นเหมือนกัน แต่เรื่องภายในครอบครัวขวัญก็พูดไม่ได้ แต่ว่าเราเข้าใจว่าเรื่องมันไม่มีอะไรข้นไปกว่าเลือด เพียงแต่ว่าเราอาจเข้าใจผิด”
“คุณแม่เป็นคนเดียวที่ไม่เคยแสดงออกไม่ว่าเรื่องลบหรือว่าเรื่องบวก คุณแม่เป็นคนที่นิ่งมากๆ คุณแม่ก็เหมือนเป็นเสาหลักของบ้าน เป็นศาลยุติธรรมเพราะพ่อไม่อยู่แล้วจะเอนเอียงไปไหนก็ไม่ได้ ถามว่าแฮปปี้มั้ยเขาเรียกว่าอะไรล่ะ ต้องเรียกว่าแม่แล้วล่ะค่ะอยู่เป็น ให้ความรักทั้งขวัญและพี่แก้ว เรื่องไปหาพี่แก้ว ขวัญต้องรอให้ละครปิดกล้องก่อนค่ะ ตอนนี้ใกล้ปิดแล้ว คุยกับทางพี่แก้วว่าเราจะรีบไป”
บอกคนวิจารณ์นุ่งสั้นใส่ซีทรูไปดูไบอาจพูดไปเพราะไม่รู้ กรีดนี่มันยุคสมัยไหน คนมาไทยต้องใส่สไบทุกคนมั้ย
“อยากให้คนที่เข้าพูดหรือก่อหวอดลองไปสถานที่ที่นั้นก่อนแล้วเขาจะเข้าใจ ว่าพื้นเพที่นั้น สถานที่ที่นั้น ยุคสมัย ทุกสิ่งอย่าง สิ่งแวดล้อม มันเป็นยังไงแล้วเขาจะแบบ แล้วเขาจะไม่พูดแบบนั้น เขาอาจจะไม่ทราบ แล้วคนที่ไม่ทราบเขาไม่ผิดที่เขาไม่รู้เฉยๆ”
“เราเช็กเรื่องรายละเอียดก่อนไปแล้วค่ะ เหมือนกับว่าทุกคนมาประเทศไทยแล้วต้องใส่สไบทุกคนหรือเปล่า มันอยู่ที่สถานที่ กาลเทศะ ถ้าคนที่เขาไปใช้ชีวิตที่โน่น เห็นที่โน่น เขาจะเห็นว่ามันเป็นยังไง อย่างที่บอกคนไม่ทราบไม่รู้เขาไม่ผิดหรอกค่ะ ขวัญไม่ได้เห็นคอมเมนต์นั้นค่ะ ขวัญไม่ได้ส่องเปิดตลอดเวลาขนาดนั้นแต่ว่าเราก็เป็นคนมีเพื่อนเนอะ เพื่อนก็จะส่งมา”
“ทำอะไรก็ผิดมันก็ทำให้เราสตรองมากขึ้น คือบางอย่างเวลาที่เรารู้สึกเหนื่อยเราก็มีน้ำเย็นที่อยู่ข้างๆ เรา มีเหมือนวันที่เรามืดมน เราก็ยังเห็นดาวที่สุกสว่างกับเราเสมอ”
สะบัดบ๊อบใส่ดรามา วอนทุกคนกลับไปคิด เหยียบย่ำกัน ไม่ให้กำลังใจกัน ไม่ให้เกียรติกัน เป็นสิ่งที่ควรกระทำหรือเปล่า
“มันไม่ได้เข้าไปอยู่ในชีวิตขวัญขนาดนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันคือภายนอก เรารู้ตัวว่าเราทำอะไรอยู่ ขวัญไปขวัญตั้งใจไปทำอะไร เรื่องราวดีๆ ทำไมไม่เห็นมีคนพูด เราเอาเครื่องสำอางเราไปต่างประเทศ ทุกคนน่าจะดีใจ ภูมิใจ ทำไม่ไม่พูด ทุกคนต้องอยู่กับการเหยียบย่ำไม่ใช่จับผิดนะ มันคือการเหยียบย่ำคนอย่างเดียวหรือ ทำไมสังคมคนไทยถึงไม่ให้กำลังใจกัน ไม่เชิดชูกัน ไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เราไปยกย่องคนอื่นประเทศชาติคนอื่น แต่ว่าเรามาเหยียบย่ำกันเอง มันเป็นสิ่งที่ถูกแล้วหรือ ลองกลับไปคิดดูดีกว่า"
“ขวัญไม่สนใจคนที่คอมเมนต์ค่ะ อยู่เงียบๆ ดีกว่า ขวัญว่าสิ่งที่ขวัญทำตรงนั้นขวัญมีประโยชน์มากกว่า สะบัดบ๊อบ (หัวเราะ) ไม่ได้ยิ้มสู้ดรามาหรอกค่ะ ขวัญไม่ได้สบายใจกับการที่คนไม่ได้รักขวัญ ไม่ชอบขวัญหรอก เพียงแต่ว่าขวัญเลือกที่จะตัดรอนว่าอะไรเรื่องไหนควรที่จะเข้ามาอยู่ในชีวิตขวัญมากกว่า”
(ติดตามทุกข่าวสารในแวดวงบันเทิงทั้งหมดได้ที่ https://mgronline.com/entertainment)