“อเล็กซ์” ภูมิใจ เป็นตัวแทนประเทศไทยขึ้นเวทีสหประชาชาติ บอกไม่ใช่สิ่งที่ฝัน อนาคตมีโอกาสก็จะทำอีก แจงดรามาไม่มองหน้า “อาเล็ก ธีรเดช” ยันโลกความจริงไม่มีอะไรต้องเขม่นกันขนาดนั้น เข้าใจคนสนใจข่าวแง่ลบมากกว่า รับไม่สนิท ไม่ค่อยได้คุย วอนอย่าขุดประเด็นไม่จำเป็น เคลียร์กันไปหมดแล้ว
ได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก สำหรับ “อเล็กซ์ เรนเดล” ที่มีโอกาสได้เป็นตัวแทนประเทศไทยขึ้นเวทีสหประชาชาติพูดคุยเรื่องมลพิษทางอากาศ ซึ่งเจ้าตัวเผยระหว่างมาร่วมกิจกรรมชมละคร “คมแฝก” ตอนแรกสุด exclusive พร้อมนักแสดงนำ ณ.ร้านอัลปาก้า ลาดพร้าว-วังหิน71 ว่าเป็นงานที่ภูมิใจ โชคดีที่ตนได้รับเกียรตินี้จากยูเอ็น ทั้งที่ไม่เคยใฝ่ฝันมาก่อน
“มันเป็นงานที่ทางยูเอ็นเขาติดต่อเข้ามาว่าเราสนใจมั้ย สนใจที่จะไปพูดที่ยูเอ็นมั้ย เป็นหัวข้อเรื่องของมลพิษทางอากาศ เราก็ตอบตกลงไปเพราะมาถึงขนาดนี้แล้วไม่ไปก็ไม่ได้แล้ว เราเองก็อยากที่จะไปอยู่แล้ว เพราะเราเองก็ไม่เคยคิดว่าทางยูเอ็นจะชวนเราไป ก็รู้สึกดีใจ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะต้องไปเจออะไร เขาก็บอกว่าเขาจะให้เราได้ขึ้นไปพูดเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เราก็ไม่เคยขึ้นเวทีนานาชาติในระดับนี้และพูดถึงเรื่องของสิ่งแวดล้อมในเวทีนานาชาติมาก่อนซึ่งก็เป็นเรื่องดี”
“เราก็ไม่รู้ว่าทางยูเอ็นหรือทางใครจะมองว่าเราเป็นตัวแทนของประเทศหรือเปล่า เราก็มองว่าเราได้ขึ้นไปพูดอย่างน้อยสิ่งที่เราทำลงไปทำให้เห็นว่าเมืองไทยเรามีแบบนี้อยู่นะเมืองไทยมีวิธีการแบบนี้อยู่ รู้สึกเป็นเกียรติมากๆ ที่เราได้ขึ้นไป และได้พูดถึงสิ่งที่เราทำอยู่ขั้นตอนในการทำของเราและเรื่องของการให้ความรู้แก่เยาวชน แล้วได้มีเวทีตรงนี้ผมดีใจมากครับ”
ให้ความสำคัญโดยไม่รู้ตัว บอกอยากทำสิ่งดีๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่ใช่ความฝัน
“ใช่ครับ ก็ไม่รู้ตัวเราทำมันมาด้วยความอยากที่จะทำแล้วก็ทำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้ทำอะไรดีๆ ออกมามีคนชวนไปทำโปรเจกต์ดีๆ เยอะเรารู้สึกว่าเราโชคดีที่เราได้ขึ้นไปพูดได้ไปเป็นตัวแทน ผมเชื่อว่าอย่างนักเรียนที่ผมถามอยู่ชีวิตเขาฝันอยากที่จะทำงานกับยูเอ็น รู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นความฝันของเราตั้งแต่เด็กแต่เรากลับได้รับเกียรตินี้มาเราโชคดีขนาดไหน”
“สิ่งที่ได้รับกลับมา เขาก็บอกว่าเขาชอบ ถ้าชวนเรามาอีกเราจะมามั้ย เราก็บอกเขากลับไปทันทีว่ามาอยู่แล้ว เขาก็บอกว่าประเด็นเรื่องของมลพิษทางอากาศอาจจะไม่ใช่ประเด็นที่ผมเชี่ยวชาญสักเท่าไหร่ แต่เราก็พูดในความสำคัญของการให้ความรู้ เขาก็บอกว่าถ้าให้มาพูดตรงหัวข้อที่ตรงกับอเล็กซ์มากกว่าจะมามั้ย ผมก็บอกเขาไปว่าถ้าให้ผมมาผมก็มาหมดนั่นแหละ ถ้าผมมาแล้วผมสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรได้ผมก็มาให้ผมมาเถอะผมมาได้”
“เขาเลือกเรา เขาบอกอย่างแรกเลยว่าเขาชอบชอบที่เราทำจริงๆ และเราก็สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ก็ประมาณนี้แหละครับเอาจริงๆ ช่วงนั้นผมงานยุ่งมากผมไม่รู้ว่าเราจะไปเจออะไรข้างหน้า เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะไปอยู่ในห้องยูเอ็นใหญ่ๆ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีป้ายชื่อเรา ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากแล้วเขาก็พาผมไป รู้จักกับคนประเทศนั้นประเทศนี้ แล้วเขาก็แนะนำว่าผมคือเล็กซ์จากไทยแลนด์ จริงๆ วันนั้นผมก็จะดูนิ่งๆ แต่ความจริงแล้วผมประทับใจอยู่ลึกๆ”
ย้ำประสบความสำเร็จแค่ระดับหนึ่ง ที่สำคัญคือเราต้องทำต่อไป
“ก็ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่งครับ แต่ผมคิดว่าทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้อยู่ที่ว่าเราไปพูดที่ไหนหรือเราไปขึ้นเวทีไหนแต่การอนุรักษ์มันต้องเริ่มจากคอมมิทเมนท์ เริ่มจากการทำจริงๆ อย่างถ้าเขาชวนผมไปผมก็ไป แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นคือเรายังต้องทำต่อไป เรายังต้องสร้างคนสร้างอะไรต่อไปให้ได้มากที่สุดให้ต่อเนื่องหลายปี ให้ประชาชนในประเทศของเราเป็นนักอนุรักษ์มากกว่านี้ถ้าเขามองว่าเราทำได้ผมก็ต้องทำมันต่อ”
“อนาคตผมก็คงทำต่อไป eec ที่เราทำอยู่ ก็ยังทำอยู่แบ่งเวลาละครไปทำตรงนั้นด้วยทั้งเรื่องของการสอนเด็กให้เป็นนักอนุรักษ์เราก็ยังทำอยู่แล้วก็พยายามที่จะขยายให้มันมากขึ้นให้ไปสู่คนที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าค่ายของเราที่เขาใหญ่ไปหาเด็กตามชุมชน และก็อยากจะชวนคนเข้ามาให้มีส่วนร่วม ในเรื่องของการอนุรักษ์หรือเป็นศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษาเวลาใครที่นึกถึงเรื่องของการศึกษาสิ่งแวดล้อมให้เขานึกถึง eec อยากให้เป็นพันธมิตรระหว่างประเทศ อยากจะทำงานกับพวกทูตหรือตัวแทนของประเทศอะไรแบบนี้ ผมมองว่าตัวองค์กรไปได้ แต่อาจจะต้องทำงานหนักอีกนิดหนึ่งกว่าที่จะไปถึงจุดนั้นซึ่งผมเห็นแล้วว่ามันไปได้แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะขยันแค่ไหนเท่านั้น”
แจงดรามา ไม่มองหน้า “อาเล็ก ธีรเดช” ยันโลกความจริงไม่จำเป็นต้องเขม่นแบบนั้น เข้าใจคนสนใจข่าวแง่ลบมากกว่า
“จริงๆ ก็ไม่ถึงขนาดนั้นอย่างที่บอกว่าตอนนั้นมันเป็นประเด็นแล้วเราก็เคลียร์กันไปหมดแล้ว ไม่อยากปลุกประเด็นที่มันไม่จำเป็นขึ้นมาเพราะตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้เราก็ไม่ค่อยได้เจอกันก็ไม่ได้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด จริงๆ แล้วมันก็มีข่าวอีกที่ผมเห็นที่เขาแท็กกันมาที่บอกว่าถ่ายรูปตอนเราซ้อมแล้วเขาเห็นว่าเราก็ยังเป็นเพื่อนกันซึ่งคนก็ไม่ค่อยไปสนใจ คนก็สนใจในข่าวที่เป็นในแง่ลบ ผมก็ทำใจได้เพราะมันก็เป็นโลกแห่งความจริง แต่ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ได้เป็นอะไรอยู่แล้ว”
“เรื่องมีปัญหาจนไม่มองหน้ากันไม่มี แต่ก็คงไม่ได้เข้าไปพูดคุยอะไรกันขนาดนั้น ก่อนเรื่องทั้งหมดที่เป็นข่าวออกมาก่อนหน้านั้นมันก็เป็นแบบนั้น วันนั้นเป็นแบบนั้นวันนี้ก็เป็นแบบนั้น ถ้าสมมติว่าเราได้ร่วมงานกันถ่ายละครด้วยกัน 7-8 เดือน เราก็อาจสนิทกันมากขึ้นด้วยความที่เราเป็นผู้ชายนะถ้าใครที่เราไม่ได้สนิทมากๆ แล้วเรามีกลุ่มเพื่อนที่เราสนิทมากกว่าหรือถ้าเกิดวันหนึ่งเราสนิทกัน มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรไม่ได้มีถึงขั้นเขม่น โลกความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นคือผมอยากให้ทุกอย่างมันจบนานแล้วไม่ต้องเอามันขึ้นมาอีกก็ได้ ต่อไปนี้ผมจะดีกับใครผมจะคุยกับใครก็เป็นเรื่องของธรรมชาติเป็นเรื่องของคนที่เราต้องเจออยู่แล้วไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องราวที่มันเกิดมามันไม่มี”
(ติดตามทุกข่าวสารในแวดวงบันเทิงทั้งหมดได้ที่ https://mgronline.com/entertainment)