“ท็อป ดารณีนุช” เผย 2 คืนแล้วที่มาปักหลักนอนริมถนนท้องสนามหลวง สะอื้นเผยเหตุผลที่ต้องมาร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ “ในหลวง รัชกาลที่ ๙” บอกรักพ่อหลวงมาก เป็นพ่อผู้ประเสริฐที่ยอมตายแทนได้ ลั่นไม่มีวันที่จะลืมพระองค์ ขออุทิศผลบุญผลกุศลถวายแด่พ่อหลวงทั้งหมด แม้ว่าจะเป็นแค่เศษบุญเล็กๆ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท บอก “เรามีบุญมากที่ได้เกิดในรัชกาลพระองค์ แต่ไม่เคยสำนึกจนกระทั่งสูญเสีย”
ท่ามกลางประชาชนจำนวนมากที่มารอร่วมเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของไทย ในการร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ชนิดไม่หวั่นว่าฝนจะตกหนัก แดดจะออกเปรี้ยง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือพิธีกรอารมณ์ดี “ท็อป ดารณีนุช ปสุตนาวิน” ที่มารวมตัวกับประชาชนร่วมส่งพ่อหลวงสู่สวรรคาลัยด้วยความรู้สึกจงรัก ภักดีต่อพ่อหลวงอย่างสุดหัวใจ โดยท็อปได้มาจับจองที่นอนริมถนนท้องสนามหลวงเป็นเวลาถึง 2 คืน
ซึ่งทีมข่าวบันเทิง MGR Online ได้เปิดใจสัมภาษณ์เจ้าตัว พิธีกรดังเปิดใจเล่าให้ฟังทั้งน้ำตาถึงเหตุผลที่ต้องมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ในหลวง ร.๙ ในวันที่ 26 ต.ค. นี้
“มาถึงจุดคัดกรองตั้งแต่บ่าย 3 โมง พอดีว่าเช่าโรงแรมไว้ เป็นโรงแรมของฮิวโก้(จุลจักร จักรพงษ์) พอเอารถเข้าไปจอด ก็เลยรีบออกมาหาสถานที่ที่จะอยู่ แล้วก็มานอนที่นี่ ซึ่งก็ได้ตรงข้างกำแพงพระบรมมหาราชวัง ตรงข้ามวัดโพธิ์ เราก็นอนจนถึง 5 ทุ่ม แล้วก็กลับไปอาบน้ำที่โรงแรม เสร็จก็ออกมาเข้าแถวตรงจุดคัดกรองตอนตี 4 ซึ่งคืนแรกก็มีฝนตก”
“เราไม่เคยมานอนแบบนี้มาก่อนค่ะ เคยแต่ไปนอนค้างคืนในป่า หรือเวลาไปปฏิบัติธรรมก็อยู่แบบนี้ มันไม่ยากค่ะ ต้องไปต่อคิวเข้าห้องน้ำก็สบายมาก เป็นความตั้งใจตั้งแต่ต้นว่าจะมาวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ จองโรงแรมไว้ 2 เดือนแล้ว เราก็บอกน้องฮาน่า (ทัศนาวลัย จักรพงษ์) ภรรยาของฮิวโก้ไว้ว่าเราเช่าโรงแรมไว้แต่ก็ไม่ได้นอน เราเช่าไว้อาบน้ำและจอดรถแค่นั้น เรามากัน 5 คน มีลูกชาย 2 คน เพื่อน 1 คน และแฟนลูกอีก 1 คน”
“เรารู้ว่าเราต้องเจออะไร เรารับสภาพอยู่แล้ว เราก็เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้มาด้วย แล้วก็มี ใหญ่ (ฝันดี จรรยาธนากร) ที่ย้ำเตือนตลอดว่าให้เตรียมยาไทลินอลมา หรือเวลาเจอใครเป็นลมต้องทำอย่างไร เพราะใหญ่เป็นจิตอาสาด้วย แล้วเขาจะน่ารัก เราก็ส่งข้อมูลที่ใหญ่บอกเราให้กับลูกๆ และทุกคนก็เตรียมตัวมา พอมาก็เจอเหตุการณ์แบบนั้นจริงๆ”
หลั่งน้ำตาเผยเหตุผลที่ต้องมาในวันนี้ เพราะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ คนไทยมีทุกวันนี้ได้เพราะ ในหลวง ร.๙
“(เสียงสั่น น้ำตาซึม) เรารู้สึกว่าเวลาท่านทำอะไรท่านทำให้ถึงที่สุด ถึงเราไม่เคยได้รับอะไรโดยตรงเหมือนที่บางคนได้ แต่ใจเราก็รู้ว่าทั้งหมดที่เรามีก็เพราะท่านทั้งนั้น (ร้องไห้) ท่านช่วยทุกอย่าง ท่านโอบอุ้มมาจากข้างล่าง เราจะอยู่ตรงกลาง หรือเราจะอยู่ตรงไหน เราก็ได้รับความช่วยเหลือจากท่านหมด เราก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เราจะทดแทนอย่างไร เราก็ทำไม่ได้หมด เราก็เลยรู้สึกว่าการมาส่งท่าน ก็คือที่สุดเหมือนกันในสิ่งที่เราทำได้ ก็มานอนรอสองคืน พี่ที่มาด้วยที่ชื่อมานพ ตอนที่เราถามเขาว่าพี่จะมามั้ย เขาก็บอกเลยว่าเขามา แล้วเราก็ถามลูกเราว่าจะมามั้ย ลูกก็บอกผมมาด้วยครับ”
สะอื้นไห้ วินาที “ในหลวง รัชกาลที่ ๙” เสด็จสวรรคต เหมือนโดนกระชากหัวใจ บอกเคยใช้ชีวิตเกเร ไม่รู้จักคิด แต่อ่านพระมหาชนกแล้วทำให้ได้คิด มีสติและมีเป้าหมาย
“เราก็มีพ่อแม่ แต่พ่อแม่เราเสียหมดแล้ว ตอนที่พ่อแม่เสีย เราก็เสียใจคนละแบบกับพระองค์ท่าน ตอนที่เสียพระองค์ท่าน (สะอื้นไห้) มันจุกเหมือนโดนกระชากหัวใจ ตอนที่พ่อกับแม่เสีย เราก็ไม่ได้ร้องไห้แบบฟูมฟาย เพราะเราก็รับได้ แต่กับท่านเราก็รับได้นะ เพียงแต่เราเสียใจมาก ท่านรักเราแบบไม่มีเงื่อนไขจริงๆ อย่างพ่อแม่รักเราก็ไม่มีเงื่อนไขเหมือนกันเพราะเราเป็นลูก แต่ในหลวงเราไม่ได้เป็นสายเลือดท่าน แต่ท่านก็รักพวกเรามาก”
“อย่างคำสอนของท่านเราชอบมากหลายๆ อันเลย เมื่อก่อนเราเป็นเหมือนเด็กไม่มีสติ ใช้ชีวิตเกเร เรากินเที่ยวเราไม่รู้จักคิด แล้วตอนนั้นเราทำงานแล้ว และมีลูกแล้ว ก็ได้ไปอ่านพระมหาชนก แล้วก็ได้รู้ว่ามันเป็นสิ่งใหม่สำหรับเรามาก แต่ก่อนคำว่าความเพียร ความมานะ เวลาเราเรียนวิชาหน้าที่พลเมืองรู้สึกมันน่าเบื่อ แต่ความเพียรที่ท่านสอนของพระมหาชนก คนว่ายน้ำอยู่ 7 วัน เขาไม่ใช่แค่เพียรไปเรื่อยเปื่อย แต่เป็นการเพียรแบบมีสติและมีเป้าหมาย ทำให้เราได้หันกลับมามองตัวเองอีกมุมหนึ่งว่าเราจะใช้ชีวิตโดยมีเป้าหมายอย่างไรและเพื่ออะไร ก็เลยทำให้เราซาบซึ้งมากเหมือนที่เรารักแม่เรา อย่างเวลาแม่เราดุ แม่เราด่า เราก็รู้ว่าเขารักเรา เหมือนพระองค์ท่าน ที่ท่านทรงแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาเหมือนท่านสอนลูกมันโดนมาก เราก็กลับไปดูคำสอนของท่านหลายๆ เรื่อง”
ชี้พ่อหลวงมีบุญคุณที่ทำให้ตนมีสติและปัญญา ทุกเรื่องที่พระองค์สังเคราะห์ออกมาเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายและจับต้องได้
“การเป็นคนดีมันมีอยู่ในทางของพวกคนอยู่แล้ว แต่มันโดนเบียดบังด้วยอคติหรืออัตตาตัวตนของเรา หรืออะไรหลายๆ อย่าง ทำให้เราไม่มองข้ามมันไป ทำให้เรารู้ว่าจริงๆ แล้วการเป็นคนดีมันอยู่ง่ายกว่าการเป็นคนไม่ดี การเป็นคนดีมันมีความสุขกว่าการเป็นคนไม่ดี เราก็เลยรู้สึกว่าแนวทางของท่านเราก็เลยรู้สึกว่าเป็นแนวทางที่ดี ก็เลยรู้สึกว่าท่านมีบุญคุณกับเรามาก ท่านให้สติและปัญญาเรา ตอนนั้นอายุ 20 กว่า เราก็ไม่ได้ซาบซึ้งศาสนา ที่จะเข้าใจในเรื่องของสติปัญญาได้เท่ากับสิ่งที่ท่านสอน ทุกเรื่องที่ท่านสัมผัสมา ทุกเรื่องที่ท่านสังเคราะห์ออกมามันเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายจับต้องได้ เหมือนเศรษฐกิจพอเพียง ยุคก่อน ยุค 16 ยุค 17 ที่คนกำลังบ้าวัตถุ คนมีกิเลสเป็นยุคที่ไทยกำลังเปลี่ยนไป เศรษฐกิจเข้าสู่ระบบทุนนิยมระดับโลก ทุกคนกำลังถีบตัวเองไป และพระองค์ท่านก็บอกว่า พวกเราอยู่เหนือกลไกเหล่านั้นอีก เราพึ่งตังเองได้นะ สังคมไทยเป็นสังคมเกษตร เราเป็นประเทศเกษตรกรเล็กๆ ถึงไม่ได้ร่ำรวยมาก แต่ทุกคนกลับไปคิดเป็นอุตสาหกรรมเหมือนยุโรป”
“สิ่งที่เรารักและเทิดทูนท่านมากคือท่านไม่เคยมาสอนอย่างครูที่มาบอกว่าเธอว่าต้องทำแบบนี้ เธอต้องทำแบบนั้น แต่ท่านสอนจริงๆ คือให้เราเรียนรู้ ซึ่งสิ่งนี้มันมีค่ามาก มันอยู่ข้างในใจ เราไม่เห็นมีพระมหากษัตริย์ที่ไหน เขาจะทำแบบนี้เลย ท่านมีความละเอียดอ่อนมาก (เสียงสูง) และจิตท่านสูงมากๆ เลยค่ะ คือถ้าจิตท่านไม่สูงมากขนาดนั้น ท่านไม่มีทางมาเห็นรายละเอียด ในความทุกข์ยากของคนรากหญ้า หรือคนธรรมดาชั้นกลางอย่างเราจะเข้าใจ หรือมีมุมมองในการมองโลกผิดทาง ทั้งๆ ที่ชีวิตอย่างท่าน ไม่ต้องมาใช้ชีวิตแบบพวกเราเลย ท่านเหนือกว่าพวกเราทุกสิ่งอย่าง แต่ทำไมท่านเข้าใจเราล่ะ ทำไมท่านรู้ว่าเราหลงทาง ท่านรู้ไปหมดเลย”
เผยตั้งแต่เกิดมีลมหายใจ ไม่เคยเห็นใครทำได้ทุกอย่างเหมือนพระองค์ท่าน ร่ำไห้ไม่เคยเห็นพ่อหลวงใช้อำนาจมาเบียดเบียนใคร แม้กระทั่งในการใช้ชีวิตของพระองค์ก็ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดา
“ในเรื่องความเป็นมหาบุรุษของท่าน เรารู้สึกว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่เรารู้จัก ตั้งแต่ที่เราเกิดมามีลมหายใจก็ไม่เคยเห็นว่าใครจะทำได้อย่างท่าน ทุกๆ เรื่อง ทุกเรื่องจริงๆ ที่เป็นพ่อที่ประเสริฐ เป็นสามีที่ประเสริฐ รักเดียวใจเดียว เป็นพระมหากษัตริย์ที่สุดยอด เป็นนักกีฬา เป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นทุกอย่าง ไม่รู้จะพูดยังไง เราก็เลยรู้สึกว่าเราเห็นท่านเป็นแบบอย่าง เราไม่มีวันหรอก ที่บุญวาสนาเราจะขึ้นไปทำได้แบบท่านในชาติภพนี้ แต่เรารู้ว่าคนดีมีจริงๆ ที่แบบไม่มีข้อสงสัยมีจริงๆ ( เสียงสั่น ) ถึงพร้อมด้วยปัญญาบารมีพระองค์ท่าน คือการที่ไปอยู่จุดที่พระองค์ท่านอยู่ คนที่อยู่สูงกว่าเราทุกๆ คน เราจะรักท่านด้วยอะไร แล้วก็มีคนที่อยู่สูงกว่าเรา มีอำนาจมากกว่าเรา บางคนก็ใช้อำนาจบีบเรา บางคนก็ใช้อำนาจในการเบียดเบียนเรา หรือบางคนก็ใช้อำนาจในการดูถูกเรา แต่เราไม่เคยเห็นแง่มุมนี้ในตัวพระองค์ท่านเลย (สะอื้น) แม้กระทั่งในการใช้ชีวิตของพระองค์ท่าน ท่านก็ยังใส่เสื้อเก่าๆ ใช้ชีวิตเหมือนพวกเรา ท่านเมตตารักหมาเหมือนพวกเรารัก ไม่รู้สิ (เช็ดน้ำตาพร้อมสะอื้น )
สะอื้นส่งพ่อหลวงสู่สวรรคาลัย ลั่น “ปล่อย” ได้แต่ “วาง” ไม่ได้ ไม่มีวันที่จะลืมพระองค์
“เราก็เลยรู้ตัวตั้งแต่สมัยเรียน ก็เคยพูดกับเพื่อนว่า “กูตายแทนในหลวงได้” ตอนเด็กๆ เนอะ เราก็คิดว่าเออกูตายนะ แล้วสามารถต่ออายุให้ท่านได้ไปอีกสักนาทีกูก็ยอม เราก็คิดแบบนั้น มันก็เป็นมาตั้งแต่เด็กๆ ที่รู้สึกว่าท่านดี
“วันนี้เราก็รับได้นะ เราว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็รับได้หมดแหละ แต่ว่าเรา “ปล่อย” แต่เรา “วาง” ไม่ได้ เราปล่อยท่านได้แต่เราวางท่านไม่ได้ ( สะอื้น ) คือใจเรา เราอาจจะยังยังยึดในหลักความดีอะไรต่างๆ แต่ว่าวันหนึ่งจะให้เราลืมท่าน ตายไปเราก็ลืมไม่ได้ ไม่มีวันลืม ตรงนี้ต่างหากที่เรามาแสดงความกตัญญูกับท่าน มากันขนาดนี้ มาเพราะความรู้สึกดีๆ เหมือนกัน เราว่าก็คงรู้สึกเหมือนกันหมด”
ยอมตากแดด เปียกฝนเพราะรักพระองค์มาก ไม่ยากหากจะต้องอยู่แบบนี้ไปทั้งชีวิต “เราทำได้เพื่อพระองค์”
“เพราะว่าเรารักท่าน มันไม่มีอะไรหรอก ไม่มีอะไรยากหรอก หรือเราจะอยู่แบบนี้ไปทั้งชีวิต ก็เข้าใจได้ว่ามันมีเหตุอะไร เราทำเพื่ออะไร ก็เหมือนกับว่านี่เป็นความเพียรที่เราทำเพื่อท่าน ความเพียรอะไรก็ได้ ไม่มีอะไรหรอก ถ้าไม่ใช่เหตุการณ์นี้ ก็ไม่รู้จะมีความอดทนเท่านี้มั้ย”
“มีคนเดินทางมาจากต่างจังหวัดไกลๆ เป็นเจ้าของร้านเพชร เป็นโน่นเป็นนี่ เราเห็นก็เออ เราคือมนุษย์เหมือนกัน เรามีหัวใจเหมือนกัน เรามีจิตธาตุรู้เหมือนกันว่าเป็นแบบนี้นะ มันเป็นความเสมอภาค แม้กระทั่งบางคนดูสติไม่ค่อยเต็มก็มี อันนี้เราไม่ได้ว่าเขานะ แต่แบบใครๆ ก็รักท่าน มองคนที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ ในพื้นที่นี้ ไม่มีใครที่ไม่เป็นของพระองค์ท่าน รวมถึงคนที่บริเวณอื่น ที่อยู่ที่อื่นด้วย เราก็เชื่อว่าไม่มีใครไม่เป็นแบบนั้น”
อุทิศผลบุญถวายแด่พระองค์จนหมดสิ้น แม้ว่าจะเป็นเศษบุญเล็กๆ ที่เป็นใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
“ทุกครั้งที่น้อมจิต เราก็จะบอกว่า เราอยากเป็นใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทของท่าน ไม่ว่าท่านจะปรารถนาอะไร เราก็จะบอกว่า ถ้าหากว่าเราเคยทำบุญอะไรมา ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล ภาวนา ในอดีตชาติ หรือว่ากี่ภพกี่ชาติที่เราเคยทำมา หรือปัจจุบันชาติ เราก็ขออุทิศถวายแด่พระองค์ท่านไปจนหมดสิ้น แม้ว่ามันจะเป็นเศษบุญเล็กๆ ที่เป็นใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ก็อยากให้พาพระองค์ท่านไปในยังที่ที่พระองค์ท่านปรารถนา ท่านปรารถนา ภพภูมิใด เราเป็นส่วนเล็กๆ แค่นี้ เราก็ดีใจมากแล้ว และเราก็คิดว่าเราเป็นคนมีบุญมาก ที่เราได้เกิดในรัชกาลท่าน เราว่าเรามีบุญมากๆ เลย ไม่มีใครเคยสำนึกจนกระทั่งสูญเสียท่าน”
นอกจากนี้ “ท็อป ดารณีนุช” ได้เผยถึงกรณีที่โพสต์ตตัดพ้อน้อยใจในอินสตาแกรมทำนองที่ว่า ไม่ว่าจะมีคนมาค่อนขอด หรือให้กำลังใจก็ให้ค่าเท่ากัน ซึ่งท็อปยันว่าการที่ตนมานอนที่สนามหลวงเพื่อรอร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพนั้น ตนทำเพราะความรักและเทิดทูนพ่อหลวง ทำด้วยเจตนาที่ดี แต่กลับมีพวกเสื้อแดงซึ่งไม่รู้จักกาลเทศะนำเรื่องดังกล่าวของตนไปโจมตีซึ่งยอมรับว่าไม่ให้ราคาอะไรกับคนพวกนี้
“มันก็จะมีพวกเสื้อแดง พวกอะไรแบบนี้ แต่ว่าเราก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ เราแค่พูดให้เขารู้ไว้ว่ามันทำอะไรเราไม่ได้หรอก เพราะว่าที่เรามานี่ เราไม่ได้มาเพราะว่าเรารู้ว่ามีนักข่าวอยู่หรืออะไร เรามีความสุ ขมันก็ได้กับตัวเรา คนอื่นพูดก็ไม่ได้ทำให้เราดีขึ้น คนอื่นด่าก็ไม่ได้ทำให้เราต่ำลง เพราะว่าเรารู้ว่าเราอยู่ตรงนี้เราทำอะไร การที่พูดเขียนมาแบบนี้มันไม่ใช่ว่าเราโกรธเขานะ แต่มันเหมือนกับว่าเราทำให้เขารู้ว่า “มึงทำอะไรกูไม่ได้หรอก” เราไม่ได้สนใจ”
“จะมีที่เอาภาพเราไปลงที่อื่นแล้วด่าเรา (ด่าด้วยคำหยาบคาย) เพื่อนส่งมาให้ดู แต่เราไม่สนใจ เราบอกว่าสำหรับกูนะ คนชมกูหรือคนด่ากู กูก็ให้ราคาเดียวกัน มันไม่ได้ทำให้จิตเราฟูขึ้นมา เพราะฟูแล้วเดี๋ยวก็แฟ่บ จิตตกไป เรารู้ว่าเราทำอะไร รู้อยู่กับตัว เขาพูดอะไร เขารู้อยู่กับตัว ใครทำอะไร ใครได้ จบ”
“อย่างของพี่ตั้ว (ศรัณยู วงษ์กระจ่าง) ก็โดน โดนแบบน่ากลัว ก็ช่างเขาเถอะ คนเรา ขนาดพระองค์ท่าน พระพุทธเจ้ายังมีเศษกรรม มีพระเทวทัต ยังมีใครที่คิดทำร้ายท่าน ในหลวงของเราท่านก็คงมีเศษกรรมจากคนพวกนี้ก็ได้ เราก็ไม่รู้ เราก็จะไปโกรธเขา อันนี้เราพูดแบบไม่ได้สร้างภาพเลยนะ โกรธเขาก็เท่ากับว่าเราก็มีศัตรูเพิ่ม มันก็มีคนประเภทเดียวกับเขาเพิ่มขึ้นไปอีก เราก็ไม่ควรต้องเป็นคนแบบเขา เขาทำก็เรื่องของเขา เราจะไปโมโหอะไร เขาจะไม่รักท่าน จะไม่ชอบท่าน ก็เรื่องของเขา เรารักก็เรื่องของเรา เราศรัทธา เราบูชาก็เรื่องของเรา บางทีเพื่อนเราบางคนคนแถวบ้านก็จะเอาน้ำปลาไปขว้างเขา ก็บอกอย่าไปทำเลย ทำไปเราก็เสมอกับเขา เราไม่ได้ดีไปกว่าเขา แต่ว่าคนเรา มนุษย์เดี๋ยวนี้ อะไรหลายๆ อย่าง ทุกคนก็มีความคิดของตนเอง มีสื่อ เขาอยากจะเข้าจะทำอะไรก็เรื่องของเขา เป็นธรรมดาโลก”
“ถามว่าอยากบอกอะไรพวกเขามั้ย ไม่บอก เพราะว่าเขาอยากคิดอะไรก็เรื่องของเขา แล้วเขาไม่เปลี่ยนด้วย เพราะรู้ว่ามันเปลี่ยนยาก เหมือนกับที่เรารักพระองค์ท่าน นั่นก็เป็นศรัทธาเพราะฉะนั้นเราจะไม่เบียดเบียนศรัทธากันและกัน ศรัทธาที่เขามีมันเป็นยังไง ศรัทธาที่เรามีมันเป็นยังไง แต่ทุกอย่างมันวัดได้ด้วยว่าอันไหนมันผิดทาง ถูกทาง ทำไปแล้วเจตนาเป็นอย่างไร ถ้าเขาใช้สติปัญญาพิจารณา ถึงที่สุดแล้ว เขาก็จะรู้ว่าอันไหนคือเรื่องถูกต้องชอบธรรม เขาจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนก็เรื่องของเขา มันก็เหมือนจะให้คนเลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เราไปบอกว่าเลิกเถอะ อย่าไปดูดเลยมันไม่ดี มีใครเชื่อมั่ง มันก็ไม่มี จนวันหนึ่งเขาเป็นมะเร็ง นั่นก็คือเรื่องของเขา หรือเขาจะดูดไปจนตายมันก็เป็นเรื่องธุระของเขา แต่ถ้าวันไหนที่เขาอยากจะเลิกเขาก็จะเลิกของเขาเองไม่เกี่ยวกับเราแล้ว เขาทำได้ด้วยตนเอง”