เปิดใจคุณยาย 3 แผ่นดิน วัย 86 ปี วางดอกไม้จันทน์ถวายความอาลัยแด่ “ในหลวง รัชกาลที่ ๙” ที่พระลานพระราชวังดุสิต ระบุทั้งน้ำตา ไม่มีกษัตริย์ประเทศใดเสียสละได้มากมายเพียงนี้ พร้อมกล่าวว่า มีคำพูดมากมายที่อยากจะขอบคุณ ด้านชาวนนทบุรีที่วางดอกไม้จันทน์เป็นคนแรก ระบุ ทั้งดีใจและเสียใจ ไม่อยากให้มีวันนี้ อยากหยุดเวลาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
วันนี้ (26 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่พระเมรุมาศจำลอง พระลานพระราชวังดุสิต ซึ่งถือเป็นจุดใหญ่อีกจุดหนึ่งที่สามารถรองรับประชาชนที่มาถวายดอกไม้จันทน์ โดยเปิดให้ถวายดอกไม้จันทน์ช่วงแรกตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.30 น. และช่วงที่ 2 เปิดในเวลา 18.30 - 22.00 น.
คุณยาย 3 แผ่นดิน วัย 86 ปี อดีตข้าราชการบำนาญ ผู้ตรวจการกระทรวงศึกษาธิการ เกิดในรัชกาลที่ 7 พ.ศ. 2474 ได้เผยถึงความรู้สึกสุดท้ายที่อยากจะบอกกับในหลวง รัชกาลที่ ๙ ด้วยน้ำตาคลอเบ้าพร้อมสะอื้นว่า ในหลวง รัชกาลที่ ๙ หาที่สุดมิได้ พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวในโลก เพราะไม่มีกษัตริย์ประเทศใด เสียสละได้มากมายเพียงนี้อีกแล้ว
ตนเห็นพระองค์มาตั้งนาน มีคำพูดมากมายที่อยากจะขอบคุณในหลวง รัชกาลที่ ๙ เป็นครั้งสุดท้ายว่า พระองค์ท่านได้ทิ้งสมบัติไว้ให้ลูกหลานของท่านแล้ว ท่านไม่ต้องห่วง โดยเฉพาะในเรื่องความสามัคคี ที่ท่านคอยเน้นย้ำอยู่เสมอ รวมถึงเรื่องของความซื่อสัตย์ จึงอยากบอกกับพระองค์ท่านว่าไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้ว ลูกหลานมีความเอื้อเฟื้อต่อกัน และเชื่อฟังคำสอนของพระองค์ท่านเป็นอย่างดี
“จริงๆ วันนี้มีความตั้งใจอยากที่จะขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์บนพระเมรุมาศจำลองด้วยตัวเอง แต่เนื่องจากตนเองอายุมากแล้ว เกรงจะทำให้คนอื่นเสียเวลาไปด้วย แม้จะเดินไม่สะดวกต้องนั่งวีลแชร์ อายุจะมากส่งผลให้ร่างกายอาจไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่ แต่ด้วยใจภักดี มุ่งมั่นและตั้งใจว่าต้องมาวางดอกไม้จันทน์ ได้มาเห็นริ้วขบวน น้อมส่งเสด็จพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย แค่นี้ก็พอใจแล้ว”
สำหรับของระลึกที่ได้รับในครั้งนี้ ประกอบด้วย แผ่นพับพระราชประวัติ และหนังสือที่ระลึก คุณยายกล่าวว่า จะเก็บไว้บูชาบนหิ้งกราบไหว้อย่างดี
ด้าน นางสุภาวดี วงษ์สุคนธ์ อายุ 60 ปี ชาว จ.นนทบุรี เป็นประชาชนคนแรกที่ได้วางดอกไม้จันทน์ บริเวณพระลานพระราชวังดุสิต ถือพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง รัชกาลที่ ๙ แนบอกตลอดเวลา เผยทั้งดีใจ และเสียใจ ไม่อยากให้มีวันนี้ อยากหยุดเวลาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
“เดินทางมาชมริ้วขบวนในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ตั้งแต่เมื่อวาน ระหว่างทางเดินข้ามสะพานพระปิ่นเกล้า ก็ท่องพุทโธอยู่ตลอดเวลา กระทั่งมีจิตอาสาเดินมาแจกพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ตนจึงรับไว้ด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นเดินถือภาพของพระองค์ท่านมาตลอดทาง เดินมาจนถึงหางแถวบริเวณธนาคารแห่งประเทศไทย
ขณะที่ยืนรออยู่นานจึงเดินเข้าไปถามเจ้าหน้าที่บริเวณนั้น ว่า จะได้เข้าไปชมริ้วขบวนได้หรือไม่ ขอให้ตอบตรง ๆ ถ้าไม่สามารถเข้าถึงได้จะได้เปลี่ยนแผน เจ้าหน้าที่ตอบว่า “ก็ห้าสิบ - ห้าสิบ อาจจะได้หรืออาจจะไม่ได้ จึงแนะนำให้ไปรอที่จุดวางดอกไม้จันทน์บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าจะดีกว่า
เมื่อคืนไม่ได้นอนเลย ตั้งหน้าตั้งตารอ ไม่คิดเลยว่า จะได้เป็นคนแรกเพราะมีประชาชนมารอมากมาย แม้จะร้อนรอนานแต่ก็สู้ เพราะอย่างในพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ที่ถืออยู่นี้ ยังมีพระเสโทไหลหลั่งทั่วพระวรกาย แต่เราร้อนแค่นี้ทำไมจะทนไม่ได้”
แม้จะมีความรู้สึกดีใจที่ได้เป็นคนแรกในการวางดอกไม้จันทน์ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียใจอย่างหาที่สุดไม่ได้กับการสวรรคตขององค์พ่อหลวง ศูนย์รวมจิตใจประชาชนชาวไทย
“ไม่อยากให้ถึงวันนี้เลยจริงๆ อยากหยุดเวลาไว้แค่เมื่อวาน (25 ต.ค.) เพราะท่านทรงมีบุญคุณต่อคนไทยทุกคนมาก ทั้งโครงการในพระราชดำริหลายๆ โครงการ ปัจจุบันนี้ก็สอนลูกหลานตลอด ให้น้อมนำคำสั่งสอนของพ่อหลวงมาปรับใช้ในชีวิต อย่างหลานชายของตัวเองก็รู้จักโครงการของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ประมาณ 7 โครงการ จะให้ท่องทุกวัน เช่น โครงการฝนหลวง กังหันชัยพัฒนา แก้มลิง หญ้าแฝก นมโรงเรียน โครงการประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ และโครงการแกล้งดิน”
อย่างไรก็ตาม แม้ตนเองจะได้วางดอกไม้จันทน์แล้วก็ตาม แต่พรุ่งนี้ก็ยังอยากไปวางดอกไม้จันทน์กับลูกและหลานที่วัดบัวขวัญ ย่าน จ.นนทบุรี อีก
นางสาธกา สุวรรณฉิม อายุ 64 ปี ประชาชนจาก จ.นครราชสีมา เดินเข้ามากรุงเทพฯ คนเดียวทั้งที่มีโรคหมอนรองกระดูกทรุด หากยืนหรือเดินมากๆ ก็จะรู้สึกเจ็บขาขึ้นมาทันที เล่าพร้อมน้ำตาว่า จะนำของที่ระลึกในการวางดอกไม้จันทน์ไปเลี่ยมกรอบบูชา ย้ำ พระองค์ท่านไม่ได้จากไปไหน ยังอยู่ในใจคนไทยทุกคน จะจดจำพระองค์ท่านไปตราบลมหายใจสุดท้าย
“ยายคิดว่า พระองค์ท่านไม่ได้จากยายไปไหนเลยนะ เพียงแค่ท่านไม่มีรูปใหม่ๆให้ยายเห็นแล้ว เพราะพระองค์อยู่ในใจยายตลอดเวลา ยายจะหยิบภาพเก่าๆของพระองค์ท่านมาดูตลอด ติดเต็มฝาบ้าน ตั้งแต่เด็ก ๆ ก็จะได้ยินข่าวท่านเสด็จในถิ่นทุรกันดารในวิทยุตลอด พอยายโตขึ้นมาก็เห็นพระองค์ในทีวี แต่ทุกครั้งที่ได้ยินข่าวหรือเห็นพระองค์ จะทรงทำเพื่อประชาชนชาวไทยอยู่ตลอดเวลา”
แม้ร่างกายจะไม่พร้อม แต่ใจของคุณยายสู้เกินร้อยเพื่อพ่อหลวง เดินทางมาจากโคราชด้วยกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ และมีอาการเจ็บปวดขาจากโรคหมอนรองกระดูกทรุด อยู่ตลอดเวลา แต่คุณยาย ยืนยันว่า “ถ้าวันนี้ไม่ได้มายายจะเสียใจไปตลอดชีวิต ยายจะจำภาพของในหลวงจนลมหายใจสุดท้าย”