xs
xsm
sm
md
lg

ต่างที่มาแต่ใจดวงเดียวกัน กราบหัวใจ ปชช.ฝ่าฝนจับจองนอนริมถนนสนามหลวง 4 วันแล้วที่ปักหลักรอส่งเสด็จพ่อหลวงสู่สวรรคาลัย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ประชาชนจากทั่วประเทศเดินทางฝ่าฝนมาจับจองที่นั่งที่สนามหลวง ผลัดกันให้กำลังใจ ตะโกนบอก “สู้ๆ นะพวกเรา พ่อหลวงลำบากเพื่อคนไทยมากกว่านี้เยอะ” ด้าน “เขมิกา” ตัวแทนประชาชนที่มาปักหลักในวันที่ 24 ต.ค. ยอมรับว่ามาที่สนามหลวงเป็นเวลา 4 วันแล้ว ถึงแดดจะร้อน ฝนจะตก ไม่มีความคิดที่จะกลับบ้าน ลั่นรักพระองค์มาก แค่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะตอบแทน เสียงสั่นใจสลาย จำความรู้สึกสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ในวันที่ 13 ต.ค. 59 ได้ไม่ลืม บอกใส่ริสต์แบนด์ผลิตรุ่นแรกติดตัวตลอดและตั้งใจจะใส่ตลอดไป

กราบหัวใจที่จงรักภักดีของประชาชนทุกคน ที่เดินทางมาเฝ้ารอร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่บริเวณท้องสนามหลวง บรรยากาศในวันนี้ (24 ตุลาคม) ได้มีประชาชนจากทั่วประเทศเดินทางมาจับจองที่นั่งกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะบริเวณริมคลองหลอด ข้างโรงแรมรัตนโกสินทร์ ที่แน่นเต็มพื้นที่ เพื่ออยากมาอยู่ให้ใกล้มากที่สุด บางคนมากันเป็นกลุ่มหลายสิบคน บางคนมาคนเดียว มีทั้งเด็กและคนชรา มาจากต่างที่ ต่างวัย แต่ทุกคนหัวใจเดียวกัน

แม้ว่าในวันนี้จะมีฝนตกลงมาอย่างหนัก ตั้งแต่เวลาประมาณ 19.00 น. และตกหนักนานกว่าครึ่งชั่วโมง แต่ทุกคนก็ไม่ย่อท้อบางคนรีบหอบสัมภาระวิ่งหลบฝนเข้ามาในเต็นท์ที่เจ้าหน้าที่จัดไว้ให้แต่ก็ไม่เพียงพอเนื่องจากประชาชนมีจำนวนมาก ทำให้ประชาชนบางส่วนต้องยืนและนั่งตากฝน ซึ่งทุกคนได้เตรียมตัวมาอย่างดี ทันทีที่ฝนตกเทลงมาต่างพากันนำเสื้อกันฝนมาสวมใส่และกางร่มแบ่งปันคนข้างๆ ได้หลบฝนด้วย แม้จะลำบากแต่ก็เป็นภาพที่งดงามมาก แสดงให้เห็นว่าทุกคนมาด้วยใจที่จงรักภักดีต่อพ่อหลวงของแผ่นดินโดยแท้จริง และที่สร้างความประทับใจเป็นอย่างมากก็คือหลังจากฝนหยุดตก ประชาชนที่อยู่บริเวณนั้นตะโกนให้กำลังใจกันว่า “สู้ๆ นะพวกเรา พ่อหลวงลำบากเพื่อคนไทยมากกว่านี้เยอะ” และปรากฏรอยยิ้มที่ต่างก็ส่งมอบให้กัน และช่วยกันเช็ดน้ำที่เจิ่งนองแผ่นพลาสติกที่ใช้ปูนอนช่วยกัน เพื่อเตรียมพร้อมในการนอนหลับพักผ่อนในคืนนี้

จากการสอบถามบางคนมาจองที่และนอนที่ข้างถนนมาหลายวันแล้ว และก็มีบางกลุ่มที่เพิ่งมานอนคืนนี้เป็นคืนแรกและจะอยู่จนเสร็จสิ้นพิธีส่งเสด็จพ่อหลวงสู่สวรรคาลัย ทีมข่าวบันเทิง MGR Online จึงขอสัมภาษณ์เปิดใจ “เขมิกา เชื้อเมืองพาน” ซึ่งรวมตัวกันมาร่วม 30 คน มาจับจองพื้นที่กันตั้งแต่ 21 ต.ค. ถึงแดดจะออก ฝนจะตก จะไม่ยอมกลับบ้านจนกว่าจะผ่านพ้นพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ “ในหลวง รัชกาลที่ ๙”

“มาจากมีนบุรีค่ะ พวกเรามากัน 30 คน มารวมตัวกันที่นี่ มากันตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม ก็ 4 วันแล้วค่ะ ส่วนหนึ่งก็นอนริมถนนข้างคลองหลอด อีกส่วนหนึ่งนอนที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ที่มาตั้งแต่วันที่ 21 เพราะเราตั้งใจ อยากมาให้ทันส่งเสด็จพระองค์ท่าน เพราะประชาชนที่สามารถเข้าไปในบริเวณสนามหลวง จุคนได้แค่ 45,000 แล้วทุกคนก็คิดเหมือนเรา ต่างคนก็มุ่งมาที่นี่ เราก็เลยมาตั้งแต่ 21 ต.ค. เพื่อมาจับจองที่ไว้ ตอนกลางวันแดดร้อนและมีฝนตก แต่เราไม่เคยมีความคิดที่จะกลับบ้านเลยค่ะ เพราะคิดว่าความลำบากแค่นี้มันน้อยนิดมาก ถ้าเปรียบกับพระองค์ท่านที่ทรงงานมา 70 ปี ท่านทรงงานหนักกว่าเรามาก สำหรับพวกเราอดทนแค่นี้เล็กน้อยมากค่ะ จะกลับก็หลังจากถวายพระเพลิงเสร็จ อยู่จนสิ้นสุดพระราชพิธีเลยค่ะ”

“ตอนนี้ก็เตรียมร่างกาย เสื้อผ้า อาหาร และยารักษาโรคมาค่ะ บอกลูกบอกสามีเรียบร้อยค่ะ ว่าไม่ต้องเป็นห่วง ตอนฝนตก อันดับแรกคือวิ่งหลบฝนก่อน ไปฝั่งเต็นท์โรงแรมรัตนโกสินทร์ เพราะจริงๆ เราก็นอนตรงนี้กัน แต่ก็หอบของไปด้วย แต่ก็มีของบางอย่างที่เราคลุมผ้าไว้ตรงนี้ พอฝนหยุดตกก็กลับมานอน แต่จริงๆ ก็ยังนอนไม่ได้ เพราะมันเปียก ต้องเอาผ้ามาเช็ดก่อน เช็ดจนกว่าจะแห้ง ก็อยู่ตามอัตภาพไปก่อน”

บอกเคยนอนข้างถนนมาก่อน ในตอนที่รอรับเสด็จ “ในหลวง ร.๙” ที่วังไกลกังวล ลั่นรักพระองค์มาก แค่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะตอบแทน ใส่ริสต์แบนด์ผลิตรุ่นแรกติดตัวตลอดและตั้งใจจะใส่ตลอดไป
“พวกเราเคยมารับเสด็จในปี 2550 เราเลยอยู่แบบนี้ได้ ที่วังไกลกังวลเราก็เคยไปรอรับเสด็จ เราก็เคยนอนข้างถนนมาแล้ว นอนแบบนี้เลยค่ะ เพราะว่ารักท่านค่ะ พระองค์ท่านทำเพื่อเรามามากแล้ว แค่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะตอบแทนพระองค์ท่านนะคะ ไม่พอหรอกค่ะ เพื่อนที่มาด้วยกัน เทิดทูนและรักพระองค์ท่านมาก พวกเราจะใส่ริสต์แบนด์ติดตัวตลอดเวลา ใส่ตั้งแต่รุ่นแรกที่ผลิตออกมา (เพื่อนที่มาด้วยกันก็ใส่ริสต์แบนด์คนละเกือบ 10 เส้น) ที่ใส่เพราะว่าเหมือนพระองค์ท่านยังอยู่กับเรา เรามีความรู้สึกเช่นนั้น เราใส่ทุกวัน ใส่ติดตัวตลอด เพลงรอสายโทรศัพท์ก็เป็นเพลง “ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป” แล้วจะใช้เพลงนี้ตลอดไป การใส่ริสต์แบนด์ก็เหมือกัน เราตั้งปณิธานไว้ว่าจะใส่ตลอดไป เพราะเราคิดว่ามันเป็นการแสดงออก และเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง ที่จะบอกกับตัวเองรวมถึงคนรอบข้างเรา ว่าพระองค์จะอยู่กับเราตลอดไป และท่านจะไม่มีวันเลือนหายไปจากชีวิตเราตลอดไป และก็อยากให้ทุกคนคิดเช่นนั้นเหมือนกันค่ะ และจริงๆ ส่วนตัวแล้ว ก็คิดว่าท่านอยู่กับเราตลอดไป”

ใจหาย ไม่อยากให้ถึงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ “ในหลวง รัชกาลที่ ๙”  
“ตอนนี้เหลืออีกแค่หนึ่งวัน ก็จะถึงวันถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว ใจจริงๆ ไม่อยากให้ถึงวันนี้นะคะ แต่เราก็รู้ว่าจะต้องมีวันนี้ เราต้องพยายามทำใจให้เข้มแข็ง ทุกคนมีความเศร้าโศกเสียใจ แต่พวกเราก็ต้องเข้มแข็งเพื่อที่จะก้าวเดินต่อไป เพื่อให้ประเทศชาติเรามั่นคงและเจริญ พวกเราก็คุยกันว่าจะอดที่จะไม่ร้องไห้ได้มั้ย ทุกคนก็บอกคงจะอดร้องไม่ได้ แต่เราก็จะร้องไม่ให้ดัง จะไม่ให้ท่านรู้ว่าเราเศร้าเสียใจ เพราะเราอยากให้ท่านได้พักผ่อน เพราะถึงเวลาแล้วที่ท่านควรจะพักผ่อน อยากให้ท่านเห็นว่าเราเข้มแข็ง ไม่อยากให้ท่านห่วง เราอยากให้ท่านเห็นว่าลูกๆ สามารถเดินก้าวต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง วันนั้นเราจะอดทนให้ได้มากที่สุด ไม่อยากให้ท่านเห็นเราท้อแท้แล้วขาดสติ”

เสียงสั่นใจสลาย จำความรู้สึกสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ในวันที่ 13 ต.ค. 59 ได้ไม่ลืม ย้ำจะรวบรวมเงินทำความดี และเป็นกำลังของประเทศชาติ ยึดมั่นในพระบรมราชาโชวาทของพระองค์
จำได้ค่ะ(เสียงสั่น) วันนั้นอยู่ที่รพ.ศิริราชค่ะ หลังจากที่ได้ยินข่าว เราเลยไปตั้งแต่ 5 โมงเย็น แต่เราไม่เชื่อ เลยอยากมาเห็น แล้วในตอนนั้นเรายังไม่ได้รับข่าวจากแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ก็เลยอยากมาที่ศิริราชเพื่ออยากรู้ความจริง ช่วงระหว่างรอแถลงการณ์จากสำนักพระราชวัง ทุกคนก็อยากให้มีปาฏิหาริย์ ทุกคนพยายามสวดมนต์ และรวบรวมพลังจิตของทุกๆ คนถึงพระองค์ท่าน เพื่อขอให้พระองค์ท่านยังมีพระชนม์ชีพอยู่ เพื่อเป็นมิ่งขวัญของปวงชนสืบต่อไป แต่พอแถลงข่าวออกมา รู้สึกช็อกมากค่ะ คิดว่าตัวเองหูฝาด หูแว่ว มันเหมือนหัวใจสลาย รู้สึกสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต หลังจากนั้นก็เลยก้มกราบลา และมารอส่งพระองค์ในวันที่ 14 ตุลาคมด้วย”

“ในตอนนั้นได้ระลึกในใจว่าเราจะยึดมั่นในพระบรมราโชวาทของพระองค์ท่าน ยึดมั่นในเศรษฐกิจพอเพียง เราจะอยู่อย่างพอเพียง ซึ่งเป็นสิ่งที่นำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันด้วย คืออยู่แบบพอเพียง อยู่พอเพียงตามสถานภาพของตัวเอง ตามสถานภาพของแต่ละคน นี่คือคำว่าพอเพียง เราก็จะมีความสุข ถึงตอนนี้ผ่านมา 1 ปีแล้ว จริงๆ ก็ยังทำใจไม่ได้”

“ชีวิตหลังจากนี้เราก็คิดกันนะคะ ว่าเราจะใช้ชีวิตกันยังไง ก็เลยคิดได้ว่าเราจะรวมตังค์กัน เราจะทำความดี และเป็นกำลังของประเทศชาติ เราต้องเริ่มตั้งแต่ครอบครัว สังคม และประเทศชาติ ทุกคนต้องมีส่วนร่วมช่วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ทำงาน หรือสังคมที่ตัวเองอยู่ ถ้าทุกคนคิดดี ทำดี พูดดี และยึดมั่นในเศรษฐกิจพอเพียง ประเทศไทยไปรอดแน่นอนค่ะ แล้วนี่ก็คงเป็นสิ่งที่พระองค์อยากเห็น”

เผยจุดเทียนหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ร.๙ ซึ่งเตรียมมาถึง 5 ภาพ ระลึกถึงพระองค์ท่าน พร้อมก้าวเดินตามรอยเท้าพระองค์
วันนี้เราเตรียมพระบรมฉายาลักษณ์มา 5 ภาพ น้องที่มาด้วยกันเป็นคนเตรียมมา ที่จุดเทียนด้านหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ เพราะเป็นการระลึกถึงพระองค์ท่าน อยากบอกพระองค์ท่านว่าพวกเราพร้อมแล้วที่จะเดินตามรอยเท้าที่พระองค์ทรงสอนไว้ทุกอย่างค่ะ”

(คนขวา) “เขมิกา เชื้อเมืองพาน”






















กำลังโหลดความคิดเห็น