“คิว วงฟลัวร์” เผยชีวิตมีค่าขึ้นหลังเฉียดตาย เคยอนาถตัวเอง ทรมานต้องขับถ่ายบนเตียงหลังอุบัติเหตุ ประกาศเลิกเหล้า ไม่อยากหลอกตัวเองเพื่อเพิ่มความสนุก ชี้ สติสำคัญที่สุด ยันไม่กลัวตาย เห็นคุณค่าชีวิต อยากทำทุกวินาทีให้มีความสุข
หายไปรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บเพราะอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ชนถึงขั้นต้องผ่าตัดสมองอยู่พักใหญ่ ล่าสุด นักร้องหนุ่ม “คิว วงฟลัวร์” หรือ “สุวีระ บุญรอด” ออกมาเผยอาการตัวเองล่าสุดในงานแถลงข่าวที่ถือเป็นที่สุดของคอนเสิร์ตการกุศล BLACK VALENTINE คอนเสิร์ตการกุศล “เพราะรักแท้คือ การให้...ไม่สิ้นสุด” ณ LAX อาร์ซีเอ โดยหนุ่มคิวเผยว่าร่างกายตอนนี้กลับมาสมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว
“ตอนนี้ร่างกายสมบูรณ์แบบ 100% ครับ ตอนนี้ผมปกติแล้ว ก็ฝากถึงคนที่ดูอยู่ว่าดูแลตัวเองกันบ้าง เพราะว่าผมปกติแล้ว กลับมาใช้ชีวิตธรรมดาปกติได้เหมือนคนทั่วไปแล้ว ไม่ต้องห่วงอะไร ก็ขอบคุณสำหรับใครก็ตามที่คอยติดตามข่าวสาร หรือให้กำลังใจผมในช่วงที่บาดเจ็บ ช่วงที่นอนพักฟื้นอยู่ ขอบพระคุณอย่างยิ่งเลย กำลังใจเหล่านั้นมันสำคัญอย่างยิ่ง ทำให้ผมฟื้นตัวได้เร็วและมีแรงใจที่จะกลับมาร้องเพลงและทำอาชีพของเราต่ออย่างดีที่สุด”
“เรื่องงานเพลงตอนนี้ยังใส่หนักใส่เต็มไม่ได้ เพราะว่าด้วยสถานการณ์และเหตุการณ์ที่ผ่านมา เรายังไม่สามารถนำเสนอตัวตนที่เป็นวงฟลัวร์เต็มที่ได้นัก ช่วงนี้ก็จะเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ หรือว่างานการกุศลต่างๆ เราก็จะช่วยในส่วนนั้นอยู่ครับ ก็คือ ร้องเพลงไพเราะฟังสบาย แต่ยังไม่ถึงขั้นโหวกเหวกโวยวายเหมือนแต่ก่อนเท่าไหร่ (หัวเราะ) ก็คงจะเป็นช่วงต้นปีหน้าครับ รอสถานการณ์ดีขึ้น รอมวลความรู้สึกต่างๆ ให้ดีขึ้นแล้วเราจะกลับมาทำเต็มที่”
“มันไม่ใช่แค่วงฟลัวร์วงเดียว ศิลปินทุกท่านในช่วงนี้ก็ซุ่มซ้อมและทำเพลงอยู่พร้อมที่จะระเบิดออกมา ผมเชื่อว่าวงการเพลงวงการบันเทิงปีหน้าจะต้องมีอะไรที่น่าจับตา เพราะว่าพลังที่สะสมอยู่มันเอ่อล้นทุกคนอยู่แล้ว”
เผยช่วงเวลาที่นอนพักฟื้นที่โรงพยาบาล ทำให้ตนได้ทบทวนเยอะขึ้น ยอมรับเคยอนาถตัวเอง ต้องขับถ่ายบนเตียงหลังเกิดอุบัติเหตุ
“ก็ยังต้องไปพบหมอบ้าง ไปเช็กว่ากระดูกมันติดเชื่อมกันมั้ย ซึ่งหลังจากเช็กตอนนี้ก็ 100% แล้วครับ เรื่องกายภาพไม่มีปัญหาครับ หมอพูดเชิงว่าก็กลับมาใช้ชีวิตเหมือนที่เราเคยเป็นแหละ อย่าไปนึกว่าเจ็บปวด เพราะมันหายแล้วครับ”
“ช่วงแรกๆ ผมก็คิดว่าเรื่องแบบนี้มันไม่น่าเกิดขึ้นกับเรา แต่ก็รู้สึกโชคดีที่ว่าสิ่งที่เราเป็นมันเหมือนจะหนักนะ แต่คนที่เป็นหนักกว่าผม บางคนอาจจะถึงขั้นเสียชีวิต หรือบางคนไม่สามารถที่จะกลับมามีสติสัมปชัญญะเหมือนกับคนที่ปกติ แต่สำหรับคนที่บาดเจ็บเล็กน้อยมากกว่าผมหรือน้อยกว่าผม ก็ใช้ช่วงเวลานั้นทบทวนตัวเองดีกว่า ประหนึ่งว่าเรากำลังอยู่ในวัดในวิหารที่มีแค่เพียงตัวเรากับจิตของเรา ผมว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากในการอยู่โรงพยาบาลของผม คือผมได้อยู่ใกล้กับสถานที่ที่มีทั้งการเกิด การตาย ความสุข ความเศร้า มันทำให้ผมเห็นแล้วรู้สึกว่าชีวิตมันมีค่า ไม่ใช่แค่ตื่นมาสนุกไปวันๆ ผมว่ามันต้องอยู่ให้คุ้มค่า”
“ช่วงแรกไม่ท้อนะ แต่มันเครียด คือ แทนที่เราจะได้ออกไปสนุกสนาน แต่เราต้องนอนอยู่บนเตียง เดินไม่ได้ จะเข้าห้องน้ำก็ต้องมีคนมาเข็นรถเข็น ถึงขั้นเวลาขับถ่ายต้องอยู่บนเตียงด้วยซ้ำในช่วงแรกๆ เพราะเราขยับตัวไม่ได้ ช่วงแรกก็รู้สึกอนาถตัวเองนะ แต่สักพักก็รู้สึกว่าอย่าให้เกิดแบบนี้ขึ้นเลย ถ้าจะเกิดก็ขอให้เป็นไปตามวาระของมัน คือเราแก่ขึ้นหรือเป็นโรคที่เป็นไปตามวัย อย่าเป็นเพราะความประมาทของเราเลย”
“ก็รอวันให้มันหายน่ะครับ ช่วงนั้นเราก็ทำได้แค่กายภาพออกกำลัง ก็รู้สึกว่าเดี๋ยวมันก็ต้องกลับมาดี อย่างน้อยแขนขาเรายังอยู่ครบ และสำคัญที่สุด คือ สมองเรายังปลอดภัยดีอยู่ ผมเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าแขนขา คือ มันทำให้เราคิดและมองอะไรในมุมที่ต่างไปได้ มันเป็นความโชคดีที่เกิดขึ้นในใจผม แต่โดยรวมแล้วการที่เราได้พักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลประมาณ 3 เดือนมันได้สิ่งที่ดีมากกว่าอะไรที่ไม่ดีครับ”
บอกเลิกดื่มแอลกอฮอล์แล้ว เพราะที่ผ่านมาดื่มเพื่อหลอกตัวเองมาตลอด
“แอลกอฮอล์ตอนนี้ผมไม่ดื่มแล้วครับ หมอก็แนะนำว่าไม่ควรดื่มเพราะว่ามันอันตรายต่อสมองด้วย ถ้าเกิดเราเมาเลือดต่างๆ มันพุ่งขึ้นสมองก่อนเลย แต่เอาจริงๆ ถ้าผมจะดื้อรั้นที่จะกินต่อหมอก็ทำอะไรผมไม่ได้หรอก เพราะชีวิตเราเป็นคนกำหนด แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็มานั่งคิดดูว่าตลอดมาเราดื่มเพราะอะไร รสชาติมันก็ไม่ได้อร่อย แต่ทำไมเราต้องพยายามที่จะอยู่กับมัน บางทีก่อนเล่นคอนเสิร์ตก็คิดว่าคนดูจะสนุกมั้ย เราก็บิวต์เข้าไปดื่มเข้าไป หลอกตัวเองว่าเราจะมีแรง เราจะมีความเอ็นเตอร์เทน ฟิวส์ดีขึ้น แต่สุดท้ายเราหลอกตัวเองนี่ เรากำลังสะกดจิตตัวเอง หลอกตัวเองอยู่ งานที่ออกไปมันก็เป็นการหลอกลวง”
“ก็เลยรู้สึกว่าถ้าเรารักการร้องเพลงจริงๆ รักในงานบันเทิง รักในคำว่าศิลปะจริงๆ มันควรจะมาจากใจที่เพียว 100% ที่มันมาจากความรู้สึกที่เราอยากจะร้องหรือนำเสนองานชิ้นนี้ออกไปอย่างธรรมชาติที่สุด ก็เลยคิดว่าถ้าเรารักการร้องเพลงจริงๆ เรารักตรงนี้จริงๆ ให้มันมาจากตัวเราจริงๆ ดีกว่า พอเวลาผ่านไปไม่ดื่มก็โอเคนิ ตื่นมาก็ไม่ปวดหัว จำเรื่องราวดีๆ ในแต่ละวันได้ เพราะสมัยก่อนตื่นมาแล้วแฮงค์ อยู่ที่ไหน เมื่อคืนทำอะไรไปบ้าง 99% มันมีแต่เรื่องไม่ดี ก็เลยรู้สึกว่าเลิกดีกว่า มันยังมีทางเลือกให้เราหรรษาได้ มันยังมีเบียร์ประเภทที่มันไม่มีแอลกอฮอล์เลย ซึ่งเราชิมแล้วรสชาติมันก็เหมือนกัน ไม่ปวดหัวด้วย อยู่ในกลุ่มเพื่อนฝูงเฮฮาได้เหมือนเดิม มันดีขึ้นครับ”
“ณ ตอนนี้คิดว่าจะเลิกถาวรนะครับ คือ เราขยาดกับความรู้สึกเมาไปแล้ว เพราะเรื่องราวไม่ดีที่มันเกิดขึ้นตอนเราไม่มีสติมันเยอะจนเรื่องดีๆ แทบไม่มีเลย แล้วเราจะเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน เราจะอยู่กับความรู้สึกหลอกตัวเองไปวันๆ ก็ไม่ไหวแล้ว ด้วยร่างกายด้วย มันไม่ได้อะไรกลับมาเลย ได้แต่มิตรภาพที่มันจอมปลอม ได้แต่สังคมที่หลอกตัวเองไปวันๆ ผมไม่ได้ว่าคนที่ดื่มนะ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเรามันมีน้อย สิ่งที่เราได้รับมามันเป็นความรู้สึกหลอกตัวเองมากกว่า”
บอกถ้าไม่เฉียดตาย ชีวิตอาจพังพินาศ เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือสติ
“ถามว่ารักตัวเองมากขึ้นมั้ย ผมว่าที่ผ่านมาผมเห็นแก่ตัวมากกว่ารัก แต่ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าเราก็ควรจะรักตัวเองก่อนนะ ถ้าเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ไม่เกิดขึ้นกับเราป่านนี้ผมอาจจะยังไม่ได้มางานนี้เลยด้วยซ้ำ อาจจะแฮงก์อยู่ อาจจะยังพังพินาศอยู่ที่ใดที่หนึ่งก็ได้ แล้วมันก็ทำให้เสียงานเสียการเสียอะไรหลายๆ อย่างไป ก็เลยรู้สึกว่าเข้าใจว่าคำว่าสติคืออะไร เข้าใจในทางที่พุทธศาสนาบอกมาตลอดว่าสติมันสำคัญแค่ไหน”
“เราเห็นมันแล้ว ไม่ใช่แค่ว่าการกินแอลกอฮอล์ทำให้ขาดสติ อันนั้นก็ส่วนหนึ่ง แต่เราเห็นแล้วว่าสติมันสำคัญกับชีวิตคนแค่ไหนในทุกย่างก้าว ทุกความคิด เราจะรู้ทันมัน คิดทันมัน และเราจะรู้ว่าสิ่งไหนควรทำไม่ควรทำ ฉะนั้น มันสำคัญมาก ก็เลยรู้สึกว่าเราจะยังหลอกตัวเองเพื่อให้ขาดสติเพื่ออะไร ทำไมงานบันเทิงจะต้องเมาเหรอ ก็รู้สึกว่าฉันขอถอยออกมาแล้วอยู่นำเสนออะไรที่เป็นตัวเราจริงๆ ดีกว่า มันอาจจะไม่มันส์เท่าเมื่อก่อน มันอาจจะไม่เพียวเท่าเมื่อก่อน แต่มันมาจากตัวตนที่มีสติของเราครับ”
“ไม่ปลงกับชีวิตนะ ยังไม่อยากตาย ยังอยากอยู่ต่อ เพราะเรื่องราวดีๆ ในทุกๆ วันมันเกิดขึ้นอยู่แล้ว คือไม่กลัวตายนะ ไม่กลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะมันเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ได้หมายความว่าวันนั้นผมดื่มหรือไม่ดื่ม ข้ามถนนหรือนั่งมอเตอร์ไซค์หรือโดนอะไร อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ทุกวินาที แต่ถ้าเราใช้ทุกวินาทีให้มันมีความสุข มีรอยยิ้ม ไม่ใช่แค่เราให้คนรอบข้างมีแต่ความสุข ผมว่ามันน่าจะเป็นทางที่ดีกว่าสำหรับตัวเราครับ”