.....กราบรถกู .....
พลันที่คำพูดนี้หลุดออกจากปากของ “น็อต-อัครณัฐ อริยฤทธิ์วิกุล” พิธีกรและนักแสดงหนุ่มสังกัด Gmm Grammy ก็ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรู้ชะตากรรมล่วงหน้าแล้วว่า จะโดนสังคมลงโทษสถานใดบ้าง
“มันส่งผลตั้งแต่วินาทีแรกแล้วครับ ผมทราบอยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมต้องยอมรับครับว่าผมเป็นตัวอย่างกับเยาวชน หลายคนเติบโตมากับผม ก็ขอโทษน้องๆ ทุกคนที่อาจจะเคยชอบ อาจจะเคยติดตามผลงานของพี่ นั่นคือหัวใจของพี่ครับ”
ตอนแรกที่ติดตามข่าวนี้ รวมทั้งได้ดูจากคลิปที่แชร์กันสนั่นโลกออนไลน์เพียงชั่วข้ามวัน ก็เข้าใจว่าอาจจะแค่หลุดปากพูดออกมาเพราะลุแก่โทสะ จนขาดสติ ระงับอารมณ์ไม่อยู่ เหมือนเด็กหนุ่มเลือดร้อนทั่วไป แต่ครั้นเมื่อมีการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่ติดตามมาทำข่าวการรับทราบข้อกล่าวหาที่สถานีตำรวจนั้น มันบ่งชี้ว่า จิตใต้สำนึกเขารู้สึกและคิดแบบนั้นจริงๆ
ไม่ว่าจะ
“กราบรถกู” หรือที่เขาอยากจะพูดให้สละสลวยกว่านี้ ว่า “คุณครับ คุณช่วยทำความเคารพรถผมอย่างสุภาพบุรุษ
ก็ล้วนสะท้อนจิตใต้สำนึกเดียวกันว่า.....เขาให้ราคาของความเป็นมนุษย์ น้อยกว่าวัตถุ !!
นี่คือสิ่งที่สังคมยอมรับไม่ได้
เข้าใจว่ารถมินิสีเหลืองที่เกิดเหตุ เป็นรถในฝัน ที่เขาต้องใช้เวลาเก็บหอมรอมริบอยู่นาน กว่าจะได้มาเป็นเจ้าของ ตามที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ในนิตยสาร Mars ว่าหลงใหลรถคันนี้มาก เริ่มจากที่เคยมีรถโมเดลทรงคล้ายคันนี้ แล้วก็สีเหลืองเหมือนกัน กระทั่งได้มาครอบครองรถคันนี้ในที่สุด
“ถ้าคนที่รู้จักรถคันนี้จริงๆ จะรู้เลยว่าไม่มีฟังก์ชั่นใดๆ นอกจากความคลาสสิกและความเป็นแมนนวลที่ผมคิดว่ามีเสน่ห์มาก อย่างเบาะที่ยังต้องปรับด้วยมือ หน้าปัดกี่รุ่นๆ ก็ออกมาเป็นแบบนี้ เปลี่ยนแค่ดีไซน์ของไฟนิดหน่อย ปุ่มกระจกก็เป็นแบบโยกๆ ซึ่งคนขับต้องเป็นคนเปิดให้ วิทยุก็ยังหมุนด้วยมืออยู่ มันเป็นความเก๋ ความเรียบ แต่ดูมีอะไร ทำให้ผมชอบในความคลาสสิกของเขา
ผมรู้สึกว่าผมกับรถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทุกครั้งที่ลงจากรถ ไม่เคยรู้สึกว่าเรากับรถมีความประหลาดต่อกัน เหมือนไลฟ์สไตล์เราก็เหมาะกับรถ รถก็เหมาะกับเรา
ทุกวันที่ผมขับรถคันนี้ออกมาผมยิ่งชอบ เวลาอยู่ในรถผมจะรู้สึกถึงความคลาสสิกที่ผมหลงใหล ผมอยากพารถคันนี้ไปทุกที่ที่สามารถไปได้ ไม่ได้เอาไปโชว์นะ พาเขาไปเที่ยวด้วยกัน”
แต่ถึงจะหลงใหล หรือหวงแหนขนาดไหน นั่นก็ไมได้หมายความ เขาจะสามารถประเมินราคาของรถ สูงกว่าคุณค่าของความเป็นมนุษย์
และเอาเข้าจริงๆ ไม่เพียงแต่คู่กรณี แม้กระทั่งตัวเขาเอง ก็จะให้ราคาน้อยกว่ารถคันนั้น
น็อตให้สัมภาษณ์เองว่า เขาเข้าใจว่าคู่กรณี “ชนแล้วหนี” จึงคิดว่าจะทำยังไงก็ได้ ที่จะตามคู่กรณีให้กลับมารับผิดชอบ
โดยการ....วิ่งฝ่ารถข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม เพื่อลากคู่กรณีกลับมาที่จุดเกิดเหตุ
โดยการ.... ลงมือทำร้ายร่างกาย (ที่อ้างว่าเพื่อป้องกันตัว) ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่าย มีมีดหรือมีปืนอยู่ในตัวมั้ย ?
คือคิดแต่จะให้อีกฝ่ายกลับมารับผิดชอบความเสียหาย โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง
ถามว่ามันคุ้มแล้วหรือ ? กับการเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง แลกกับความเสียหายที่เกิดกับรถ ซึ่งประเมินราคาแล้ว ก็ไม่น่าจะหนักหนาเกินกว่าที่เขาจะสามารถรับผิดชอบเองได้
โชคดีที่เขาไม่ถูกรถชน แล้วก็โชคดี ที่เขาเจอคู่กรณีที่ยอมรับผิด ยอมให้เขาต่อยเอาๆ จนจมูกหักโดยไม่คิดต่อสู้
กระนั้นแม้ว่าจะเขาจะไม่ “ตาย” เพราะโดนรถชน หรือโดนคู่ต่อสู้ ตอบโต้เอาจนถึงแก่ชีวิต
แต่นับเนื่องจากนี้ เขาก็ตกอยู่ในสภาพเหมือน “ตายทั้งเป็น” ไปเรียบร้อยแล้ว
เขาโดนต้นสังกัด ยกเลิกสัญญา และยกเลิกงานทุกชนิด ทั้งที่ตระเตรียมการแถลงข่าวให้เขายอมรับผิดต่อสิ่งที่เขากระทำแล้ว เพราะแค่รับผิด สังคมก็พร้อมจะให้อภัย แต่เขาก็เลือกที่จะยืนยันความคิดของตัวเองว่าเขาไม่ผิด ไม่ผิดทั้งในแง่ของกฎหมาย และจริยธรรม
กระทั่งงานพิธีกร หรืองานแสดงภายนอกสังกัด ก็ถูกระงับจนหมดสิ้น เพราะถือว่ามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะที่จะเป็นแบบอย่างต่อเยาวชน
กระทั่งร้านอาหารที่เขามีหุ้นส่วนด้วย ก็ยังโดนกระทบ
แม้แต่คนร่วมวงการเดียวกันแท้ๆ ก็ออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงตำหนิติเตียน บางรายถึงขนาดขับไล่ให้ออกจากวงการด้วยซ้ำ เพราะไม่อยากให้ปลาเน่าเพียงตัวเดียว ทำให้เหม็นไปทั้งข้อง กลายเป็นคนไม่มีที่ยืนในวงการ
และที่สถานการณ์มันบานปลายใหญ่โตขนาดนี้ ต้องยอมรับว่า ส่วนหนึ่งมาจากตัวละครแวดล้อมอย่างทนายความ
“นายอดุล ทินะพงศ์” ที่ใช้ตรรกะห่วยๆ (ตามความเห็นของชาวเน็ต) ในการให้สัมภาษณ์ ทำให้เรื่องมันยิ่งเลวร้ายหนักไปกว่าเก่า
“ขอให้ดูทรัพย์สินที่เสียหายสิครับ ดูร่องรอยไฟท้ายรถก่อนครับว่าเสียหายมั้ยครับ ถ้านักข่าวโดนคนหยิบมือถือแล้วปาทิ้ง จะรู้สึกอย่างไร อย่าบอกว่าไม่โกรธนะครับ ถ้าไม่โกรธ ผมขอมือถือมาปาหน่อยครับ
สรุปว่าทั้งตัวน็อตเอง ทั้งทนายความ ก็ไม่ได้มองว่าตัวเองผิด
น็อตคิดว่าตัวเองไม่ผิด อาจจะเพราะวุฒิภาวะที่อ่อนด้อย ยังพอเข้าใจได้
แต่ทนายความที่มายกตัวอย่างในเชิงอุปมาอุปไมย มันสะท้อนให้เห็นว่าความรู้ในเรื่องกฎหมาย ไม่ได้ช่วยอะไรเลย การจะมาเถียงตะพืดตะพือ เพื่อช่วยเหลือลูกความของตัวเอง โดยไม่สนใจความถูก-ผิดนั้น ไม่ได้ทำให้คนทั่วไปมองว่าคุณเป็นทนายความชั้นยอด ตรงกันข้าม มีแต่คนก่นประณามด้วยซ้ำ
ต่อให้ทรัพย์สินเสียหาย ก็ต้องให้ให้ทางกฎหมายดำเนินคดีไป เราไม่มีสิทธิ์จะไปใช้กำลังทำร้ายร่างกายเขา ไม่มีสิทธิ์จะไปข่มขืนใจให้เขากราบรถ (ตามที่โดนตั้งข้อหาเพิ่มในภายหลัง)
คือไม่ต้องทนายความหรอก เฉพาะเราๆ ท่านๆ ที่ไม่ได้เรียนกฎหมายมา ก็รู้ว่าผิด !!
ส่วนถ้าถามว่ารู้สึกอย่างไร ต่อกรณีที่น็อตถูก คณะกรรมการสมัชชานักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์หนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (สว.นท) ยึดรางวัล “คนไทยตัวอย่าง” ประจำปี 2559 ที่เพิ่งได้รับไปหมาดๆ คืน
เอาจริงๆ เลยนะ คือรางวัลนี้ ก็ไม่ได้มีมาตรฐานอะไรรองรับอยู่แล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นหนึ่งในรางวัลที่ส่งมอบกันโดยมีเงื่อนไข หรือผลประโยชน์อื่นๆ แอบแฝงอยู่ เหมือนกับอีกหลายๆ รางวัล ที่เคยถูกแฉจนเป็นข่าวใหญ่โตมาแล้วนั่นแหละ เป็นรางวัลที่ “เชิญ” เขามารับ ไมได้พิจารณาจากคุณงามความดี แล้วจึงมอบให้
แต่อย่างน้อยที่สุด เหตุการณ์นี้ ก็อาจจะส่งผลให้มาตรฐานการพิจารณารางวัลจากสถาบันอื่นๆ (ที่ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง) ถูกยกระดับขึ้นอย่างจริงๆ จังq
เพราะความจริงอย่างหนึ่ง ที่ต้องยอมรับกันก็คือ
คนบันเทิงหลายคนที่ได้รับรางวัลในสาขาต่างๆ นั้น เกือบทั้งหมด มาจากการที่ต้นสังกัดส่งเรื่องให้ทางสถาบันเจ้าของรางวัลนั้นพิจารณา ซึ่งก็นำเสนอด้วยประวัติส่วนตัวสั้นๆ ประกอบกับภาพ-ข่าวกิจกรรมสังคมต่างๆ ที่ต้นสังกัด อาจจะเป็นคนจัดเอง หรือส่งตัวไปร่วมกับหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ เพียงแค่นั้นเอง สถาบันต่างๆ ก็ประเคนรางวัลมาให้ แล้วต้นสังกัดก็นำมาส่งภาพ-ข่าวได้อีกระลอก ว่าเป็นนักแสดง นักร้อง พิธีกร ที่มีคุณภาพ มีรางวัลทางสังคมการันตี จากสถาบันนั้นนี้ก็ว่าไป
ยกตัวอย่างรางวัล “ลูกกตัญญู” เท่าที่เห็น ก็พิจารณาจากดารา นักแสดง ที่ซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ โตๆ 10-20 ล้านให้ครอบครัว แล้วต้นสังกัดก็นำเสนอไปว่าเป็นยอดกตัญญู คือถ้ารายได้มากมายมหาศาลแบบนี้ จะซื้อบ้านหลังละ 10-20 ล้าน หรือมากกว่านั้น ก็ทำได้อยู่แล้ว แต่ชาวบ้านทั่วไป ที่ทำงานแบบปากกัดตีนถีบ บางคนต้องเลี้ยงดูพ่อ-แม่พิการ เขาเหล่านั้น กตัญญูน้อยกว่าดาราที่ซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ ตรงไหน !!?? ทำไมถึงไม่มีสถาบันไหน ออกหน้ามาพิจารณามอบรางวี่รางวัลอะไรกับเขาบ้าง ? หรือเพราะมอบให้คนเหล่านี้ ก็ไม่เป็นข่าว !!???
เกิดเหตุแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะถือเป็นการกระชากหน้ากากวงการพิจารณารางวัล ให้กลับมาทบทวนบทบาทของตัวเอง เลิกพิจารณาจากแฟ้มบุคคลที่ต้นสังกัดเป็นคนนำเสนอ แต่หันไปพิจารณาจากการกระทำที่มาจากเนื้อแท้ของบุคคลเหล่านั้นจริงๆ ให้คนที่เขาคิดดี ทำดี ประพฤติดี ทั้งต่อหน้า และลับหลัง ได้เป็นที่ยอมรับ ได้มีพื้นที่ยืนในสังคมอย่างมีคนนับหน้าถือตา ไม่ใช่ต้องปิดทองพลังพระไปตลอดชีวิต
จะอย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้น็อตก็ได้รับการพิพากษาจากสังคมโซเชียลอย่างหนักหนาแล้ว หนักกว่าบทลงโทษตามกฎหมายด้วยซ้ำ
นับวันพลังทำลายล้างของโลกโซเชียลจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกรณีของน็อต ที่เรียกว่าตั้งใจจะเอาให้หมดอนาคตกันเลยทีเดียว บางคนถึงขนาดตามไปด่าพ่อล่อแม่เขา พูดง่ายๆ ว่าลามไปถึงคนรอบข้าง ลามไปถึงธุรกิจ ล้วนโดนผลกระทบไปหมด ก่อนหน้านี้แม้แต่คดีของ “ดีเจเก่ง-ภัทรศักดิ์ เทียมประเสริฐ” ที่ว่าไปแล้วความผิดก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ก็ยังไม่โดนผลกระทบมากเท่านี้
กรณีของน็อต น่าจะถือว่าเป็นเหยื่อของพลังทำลายล้างครั้งที่ร้ายแรงที่สุดในวงการบันเทิงบ้านเราเลยก็ว่าได้ !!
ที่มา นิตยสาร ผู้จัดการ 360 องศา สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 365 12-18 พฤศจิกายน 2559