แม้จะมีปัญหาเรื่องสุขภาพแต่ก็ยังยิ้มสู้ เดินกลางแดดเปรี้ยงเป็นระยะทางหลายกิโลเพื่อร่วมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของชาติกับการออกมาร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีถวายองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สำหรับนักแสดงและผู้จัดคนดัง "ปรียานุช ปานประดับ"
สำหรับเหตุผลนั้นก็คงจะไม่ต่างไปจากคนไทยส่วนใหญ่ นั่นก็คือด้วยหัวใจที่เคารพรักและความภักดีต่อองค์ในหลวงรัชกาลที่๙ นั่นเอง
“ความประทับใจที่มีต่อในหลวง สำหรับตัวพี่เองนั้น พี่จะเรียกว่าเป็นความจงรักภักดีมากกว่า เพราะเราจงรักภักดีต่อพระองค์ท่านเป็นรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่ปู่ย่าตายายมาถึงพ่อแม่และเรา ซึ่งความจงรักภักดีเหล่านี้สืบเนื่องมาจาก พระองค์ท่านทรงเป็นพระประมุขที่ยิ่งใหญ่ แล้วมีพระราชกรณียกิจที่ทรงเป็นประโยชน์ต่อปวงชนชาวไทยที่เราต่างเห็นได้จากข่าวพระราชสํานักมาโดยตลอด ตรงนี้พี่ว่ามันไม่ได้เรียกว่าความประทับใจ แต่เป็นความซาบซึ้งสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณมากกว่า”
ปลื้มได้ทำละคร “เทิดพระเกียรติ”
“พี่ก็ไม่ได้เป็นคนแรกๆ แต่พี่เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้สร้างสรรค์ผลงานละครเทิดพระเกียรติ ซึ่งละครเทิดพระเกียรติก็จะมีหลากหลายรูปแบบ พี่ก็หยิบยกเอาโครงการพระราชดำริทั้งหมด 4000 กว่าโครงการมาแตกย่อย ทำให้ละครของแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกัน”
“ในส่วนของพี่จะเป็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับข้าว วัฒนธรรมประเพณี เกี่ยวกับเรื่องของเรือพระราชพิธี เราก็จะโยงกันไปถึงเรื่องของสายน้ำสามชีวิต ที่ช่อง 7 จะนำออกมาฉายใหม่ อย่างที่บอกประเทศไทยเรามีแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเราก็มีเรื่องของเรือราชพิธี ทำให้เรารู้สึกว่าประเทศไทยเรามีวัฒนธรรมมานาน และแม่น้ำจากเจ้าพระยาก็ไหลไปสู่คลองย่อย ทำให้นำน้ำเหล่านั้นไปปลูกข้าว ทำการเกษตรได้”
เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่คนไทยซาบซึ้งและจงรักภักดีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ถึงแม้จะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่ความเป็นคนไทยมีพลังมากกว่าสายเลือดแท้ๆ ของตัวเองด้วยซ้ำ
“ก็มีความรู้สึกที่ดีมาก ที่ศิลปิน ดารา นักร้อง คนรุ่นใหม่ๆ ที่ยังพอมีกำลังอยู่มาช่วยกัน และรู้สึกว่าความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สามารถถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยที่รุ่นใหม่ๆ ไม่ค่อยได้เห็นพระองค์ท่านทรงงานเหมือนรุ่นก่อนๆ เหมือนเป็นสิ่งมหัศจรรย์มากที่ทุกคนซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ท่าน โดยที่ไม่ใช่ทางสายเลือดเลย เหมือนกับว่าความเป็นคนไทยมีพลังมากกว่าสายเลือดด้วยซ้ำไป มันเลยส่งต่อกันได้โดยที่ไม่ต้องบอก และประชาชน รวมถึงศิลปินที่ออกมาเป็นจิตอาสา พวกเขาตั้งใจทำความดี แค่ช่วงหนึ่งก็นับเป็นบุญแล้ว”
สุดภูมิใจได้ร้องเพลงถวายหน้าตึกศิริราช
“ถามว่าเคยได้ถวายงานหรือรับเสด็จพระองค์ท่านมั้ย ไม่เคยค่ะ แต่ละครเทิดพระเกียรติที่เราทำ ทางกรมวังขอละครเข้าไปดู ซึ่งพี่ก็ไม่ทราบว่าพระองค์ท่านได้ทอดพระเนตรหรือเปล่า และเมื่อปีที่แล้วที่พระองค์ท่านทรงประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ทางโรงพยาบาลก็ได้เชิญให้เราไปร้องเพลงที่หน้าตึก เราก็ได้นำวงมโหระทึกไปร้องเพลง พี่และทีมงานรู้สึกดีใจมาก พวกเราพยายามที่จะร้องเพลงให้ท่านได้ยิน แต่เราเองก็ไม่ทราบว่าพระองค์ท่านจะได้ยินมั้ย แต่เราก็ภูมิใจที่เราเข้าไปได้ร้องเพลงถวายอย่างใกล้ชิด”
13 ตุลาคม 59 แผ่นดินแผ่นฟ้ามืดดับตะวัน
“วันที่ 13 ตุลาคม เราต้องไปร่วมงานละครเวที ลอดลายมังกร เดอะมิวสิคัล เพราะละครเรื่องนี้พี่เคยเล่น และวันนั้นเป็นรอบพิเศษ ทุกคนต้องแต่งตัวตั้งแต่เช้า พี่ก็เริ่มแต่งตัวประมาณเที่ยง บ่ายสองเริ่มทำผมแต่งหน้า เราก็เริ่มจะได้ยินเรื่องของพระองค์ท่าน แต่ตอนนั้นยังไม่มีการประกาศ"
"เพราะตอนนั้นมีข่าวมาเยอะ เราก็ไม่แน่ใจ ในขณะที่แต่งหน้าไปเรื่อยๆ พี่เชื่อว่าทุกคนที่ไปงาน รวมถึงนักแสดงที่เล่นละครเวทีเรื่องนี้ แต่งหน้าไปแบบจิตใจไม่ค่อยดี แต่เราเองก็ไม่ได้อยากจะหยุดแต่ง เหมือนกับว่าเราไม่อยากทำอะไรล่วงหน้า เราไม่อยากจะเสียใจ เราไม่อยากรับฟังข่าวที่เราได้ยินมา”
“พอสี่โมงเย็นทางคุณบอย ถกลเกียรติ โทรมายกเลิกงาน ตอนนั้นทุกคนร้องไห้ และเราก็รู้ว่าทุกอย่างจบแล้จริงๆ (เสียงเศร้าสั่นๆ) แต่ละคนก็นั่งอยู่เงียบๆ เศร้าๆ กันไป”
“วันที่ 14 ตุลาคม พี่ได้ไปรับขบวนพระบรมศพ พี่ขอชื่นชมประชาชนชาวไทยมาก นับแสนคนที่อยู่รอบนอก และถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้านหน้า แต่ทุกคนก็ขอให้ไปอยู่ใกล้ที่สุด เพื่อที่จะหันหน้าไปทางพระบรมมหาราชวัง (วัดพระแก้ว) พี่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ปราบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกคนคิดว่ายังไงเราก็ต้องไปส่งพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้ายให้ได้ค่ะ”
ชนนับแสนร้อง “สรรเสริญพระบารมี” ก้องสนามหลวง
“วันที่ 22 ตุลาคม พี่เดินทางไปร้องเพลง สรรเสริญพระบารมี วันนั้นที่บอกว่าพี่ป่วยด้วย จริงๆ พี่ร้องไห้เหนื่อย (หัวเราะ) พี่ร้องไห้ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม มันเหนื่อย พี่เชื่อว่าประชาชนชาวไทยทุกคนก็เป็นอย่างนี้ พอเราเห็นอะไรก็น้ำตาไหล ซึ่งการร้องไห้ก็เหมือนเสียงพลัง มันเหมือนจิตใจของเราไม่ปกติ เหมือนคนเสียสูญ มันทำให้อ่อนเพลีย"
"และตอนที่ร้องเพลงสรรญเสริญวันนั้นคนเยอะมาก และเราก็ต้องไปก่อน เราเข้าไปในสนามหลวงเที่ยงๆ กว่าจะร้องเพลงก็บ่ายโมง แล้วแดดวันนั้นร้อนมาก เราต้องประคองชีวิต ขอให้ได้ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีตรงนั้นให้จบ วันนั้นพี่ตั้งใจไปมาก เหมือนเขาสั่งอะไรมาก็ทำ คนไทยน่ารักมากไปไหนไปหมด มีอะไรช่วยเหลือกันหมด นับว่าเป็นสิ่งที่ดี”
“วันนั้นที่ไปร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ตอนที่ร้องเพลงพี่นึกถึงประชาชนคนไทยทั้งประเทศ เหมือนเราเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนไปร่วมแสดงความจงรักภักดี และความสามัคคี เป็นการบอกพ่อว่าคนไทยรักกัน (ร้องไห้)”
“ความรู้สึกที่ร้องเพลง สรรเสริมพระบารมี วันนั้นความรู้สึกมันแตกต่างจากการร้องเพลงครั้งอื่นๆ (ร้องไห้) เหมือนคนละความรู้สึกเลยคะ ทุกครั้งเราร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีด้วยความจงรักภักดีมันไม่ได้มีความโหยหา แต่ครั้งนี้เราร้องด้วยความโศรกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก (เสียงสั่นๆ) แต่สิ่งที่ทุกคนมาร้องเพลงวันนั้น หนึ่งทุกคนร้องด้วยความจงรักภักดี สองร้องด้วยความสามัคคีของคนไทย สามร้องเพราะอาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายด้วยเปล่าอันนี้พี่ก็ไม่รู้”
เดินตามรอยพ่อ ชีวิตพอเพียง เพื่อสุขที่เพียงพอ
“พี่รู้สึกว่าพระองค์ท่านห่วงเรื่องของน้ำและดินมากๆ เมื่อ 5 ปีก่อนที่น้ำท่วมกรุงเทพฯ พี่ก็ได้ไปซื้อที่ดินเล็กๆ ที่หนึ่งเพื่อทำดินนั้น ให้ปลอดสารเคมี เพราะทางภาคเหนือจะมีคนปลูกไร่เลื่อนลอย ปลูกข้าวโพด พี่รู้สึกว่าสิ่งที่พี่ทำได้ในพื้นดินเล็กๆ ก็อาจจะทำให้ดินตรงนั้นไม่มีสารเคมี เพราะว่าพื้นดินมันไม่ใช่ของเรา มันเป็นสมบัติของชาติ พระเจ้าอยู่หัวก็สอนตลอดเวลาว่า เราไม่ต้องใส่ปุ๋ยให้ต้นไม้ เพราะดินเหล่านี้จะดูแลต้นไม้เอง เวลามีดิน เราจะมีต้นไม้ และจะมีน้ำ มีความชุ่มชื่นตามมา พี่รู้สึกว่าอันนี้เป็นหลักใหญ่อย่างหนึ่งของการดูแลดินในประเทศไทย พี่รู้สึกว่าพี่อยากจะทำ พี่ก็ลงมือทำประมาณ 4-5 ปี ค่อยๆ ทำให้ดินไม่มีสารเคมี”
“แล้วก็มักจุลทรีย์ที่มาจากหน่อกล้วย เพื่อรักษารากดินทั้งหมดในที่ดิน 40 ไร่ และก็บำรุงดินทั้งหมดด้วยการปลูกหญ้แฝก และทำพีรมิดมา 5 ปี แต่ยังไม่ครบถ้วนดี เพราะพี่เน้นการบำรุงดินให้กลับมาดีพอสมบูรณ์ก่อน ที่ดินที่ซื้อไว้อยู่ที่เชียงราย บนดอยแม่สลอง”
“ถามว่าหากวันนี้พระองค์ท่านได้ยิน จะพูดอะไรถึงพระองค์ท่านบ้าง พี่คงไม่ใช้เป็นคำพูด พี่อยากให้ท่านมองเห็นการกระทำของคนไทยทั้งหมด พี่เองก็อยากให้พระองค์ทรงเห็นพื้นดินของพี่ที่สามารถเอาเคมีออกไปได้ โดยที่ดินพื้นนั้นมีการบำรุงรักษาดินที่ดี และจะเป็นพื้นดินที่ให้น้ำที่ดีต่อไป ตรงนี้ออกสื่อออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ มันต้องลงมือทำ สิ่งที่บอกอยากให้พระองค์ท่านเห็นมากกว่าสื่อออกเป็นคำพูด”
พสกนิกรไทยทั้งแผ่นดิน อยู่ในห้วงแห่งความเศร้าโศก แต่ประชาชนทุกคนต้องเข้มแข็งและผ่านพ้นไปให้ได้
“ต้องบอกก่อนว่าคนไทยที่อยู่อายุ 40 ปีขึ้นไป ต้องเศร้าโศรกแน่นอน ต่ำกว่า 40 ปีอาจจะงง ว่ารุ่น 40 ขึ้นไปทำไมถึงเศร้ากันขนาดนี้ แต่ช่วงในเวลานี้จะทำให้หลายคนได้เรียนรู้และรักพระองค์ท่านมากขึ้น เพราะตอนนี้ทุกสื่อมีการนำเสนอเรื่องพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านมาถ่ายทอดให้เราได้ดู ว่าตลอดระยะเวลา 70 ปี พระองค์ทรงงานเหน็ดเหนื่อยเพื่อให้คนไทยมีความสุขสบายขนาดไหน”
“แต่ในเวลานี้ โอเคทุกคนหรือรวมถึงตัวพี่เองยังอยู่ในบรรยากาศที่กำลังเศร้า แต่จริงๆ เราไม่ได้เศร้าโศรกทุกเวลาทุกวินาที เราซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน เวลาเรานีกถึงพระองค์น้ำตาก็ไหลออกมาเอง เหมือนตอนนี้ทุกคนคิดว่าสิ่งที่กำลังขาดไปคือ เราหมดพระมหากษัตริย์ในรัชกาลที่ 9 มันอาจจะเป็นความเศร้าตรงนี้ เราอาจจะไม่ได้ชื่นชมพระบารมีท่าน พี่คงไม่ต้องบอกให้กำลังทุกคนหรอก พี่เชื่อว่าแต่ละคนให้กำลังใจกันเองอยู่แล้ว พี่ว่าเราต้องตั้งหลักชีวิตขึ้นมาใหม่ เราต้องให้กำลังใจกันไปทุกวัน และดูกันไปเรื่อยๆ และจับมือกันไปตลอด”