“ตู่ นันทิดา” เล่าความประทับใจ เคยถวายงาน “ในหลวง รัชกาลที่ ๙” ตอนอายุ 17 ร้องเพลงพระราชนิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เผยเป็นบุญสูงสุด ภูมิใจได้เกิดบนแผ่นดิน รัชกาลที่ ๙ ไม่ลืม ยึดหลักพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาท
ผู้บริหาร และศิลปิน “จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่” นำทีมโดย “เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์” ซูเปอร์สตาร์ชื่อดัง ร่วมด้วยคณะผู้บริหาร อาทิ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม, บุษบา ดาวเรือง, บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ, กริช ทอมมัส, ดี้ นิติพงษ์ ห่อนาค และเหล่าศิลปิน ได้แก่ ตู่ นันทิดา แก้วบัวสาย, ใหม่ เจริญปุระ, บี้ สุกฤษฏิ์, ต่อ ธนภพ, โตโน่ ภาคิน ฯลฯ แสดงความรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ บริเวณล็อบบี้ อาคาร จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส ถวายสักการะและแสดงความอาลัยเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ โดย ตู่ นันทิดา เป็นตัวแทนเปิดใจว่า ทุกคนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในหลวงรัชกาลที่ ๙ ก่อนเล่าความประทับใจ เคยถวายงานหน้าพระพักตร์
“วันนี้แทบจะมากับครบกันทั้งตึกนะ ที่มารวมใจถวายความอาลัยต่อพระองค์ท่าน ก็ยังรู้สึกคิดถึงพระองค์อยู่ตลอดเวลา และก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่าน 5 - 6 วัน เราจะบอกตัวเองตลอดเวลาว่าให้เรามีกำลังใจ เหมือนตอนที่พระองค์ท่านยังอยู่ และในวันนี้มันมีความรู้สึก 2 อย่าง ทั้งคิดถึง ทั้งเห็นภาพของทุกคนที่มาร่วมกันไว้อาลัย ถือว่าสิ่งนี้เป็นการถวายต่อหน้าพระพักตร์พระองค์อีกครั้ง”
“ความรู้สึกครั้งแรกที่ทราบข่าวนั้น ตอนนั้นเราอยู่ในห้องอัดและกำลังร้องเพลงให้กับมูลนิธิชัยพัฒนาเป็นเพลงที่แต่งให้กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพอได้ยินคำแถลงการณ์ ซึ่งจริง ๆ ได้ทำใจไว้แล้ว แต่ใจก็บอกตัวเองไว้แล้วว่าไม่เชื่อ ไม่อยากให้เป็นจริง คือ เราหลอกตัวเองมาตลอด เหมือนว่าเวลามีคนในครอบครัวที่เรารักที่สุดและเราต้องขาดเขาไป (น้ำเสียงสั่นเครือ) และกว่า 50 ปีที่ผ่านมา เราโตมา เราเห็นพระองค์ท่านมาตลอด ตลอดช่วงอายุของเรามา จนเราอายุ 56 แล้ว เรารักพระองค์ท่าน ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเห็นพระองค์ท่าน ตั้งแต่เราเด็ก ๆ รักมาโดยตลอด รักเทิดทูนเหลือเกิน”
“และวันนั้นภาพที่เราเห็นคนไทยทุกคน เราจดจำนะ ทุกวันนี้เราระลึกถึงพระองค์เสมอ พระองค์เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของประชาชนชาวไทยทุกคน และในฐานะที่เราเป็นข้าพระบาท เรารู้เลยว่าเราจะหาโอกาสที่จะขอบคุณพระองค์ท่านได้ นอกเหนือจากการที่เราจะเป็นคนดี ที่จะทดแทนพระองค์มนเวลาต่อจากนี้ ในเวลาชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ เพราะตลอดเวลาเราเห็นท่านทุกวัน เห็นท่านทรงงานทุกวัน มันเป็นภาพที่จำ”
เป็นบุญ อายุ 17 ปี ได้รับรางวัลพระราชทานจากพระองค์ท่านจากการประกวด และมีโอกาสร้องเพลงพระราชนิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษในวันเฉลิมพระชนมพรรษา
“เป็นบุญของเรา เป็นบุญเหลือเกินอย่างที่สุดจะหามิได้ ที่พระองค์ทรงรับสั่ง ตอนนั้นอายุ 17 ปี และได้รับรางวัลพระราชทานจากพระองค์ท่านจากการประกวด ได้มีโอกาสรับใช้ ซึ่งพระองค์ได้รับสั่งให้ นันทิดา แก้วบัวสาย มาต่อเพลงพระราชนิพนธ์ ทั้งหมดที่พระราชนิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ให้นันทิดาไปร้องถวายในวันเฉลิมพระชนมพรรษานะ ซึ่งระยะเวลาอีก 1 เดือนจะถึง”
“ตอนนั้นเรายังเด็กความรู้สึกของเราคือว้าว เราตื่นเต้นด้วย ตั้งแต่นั้นมาจากอายุ 17 ปี จนมาถึงปีที่ 37 ตั้งแต่ที่เราได้ถวายงานพระองค์ท่านทุกวันเฉลิมพระชนมพรรษา ทุกวันราชาภิเษกที่วังไกลกังวล และในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ 12 สิงหาคม ตลอดเวลา 20 ปี เราถวายงานพระองค์ท่าน พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถในเรื่องของดนตรี และเพลงที่เราร้องถวายก็เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ทั้งหมด จากหัวค่ำพระองค์ทรงเสวยพระกระยาหาร และทรงดนตรีของพระองค์เองจนถึงเช้า พระองค์ทรงเกษมสำราญซึ่งเราเองก็ดีใจที่เราได้เป็นแค่เศษธุลีดินเพียงเศษเสี้ยวเล็กน้อย ถวายรับใช้เบื้องพระยุคลบาท เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่เราจะจดจำ”
“ดิฉัน นางนันทิดา แก้วบัวสาย ที่เกิดมาครั้งหนึ่งบนแผ่นดินรัชกาลที่ ๙ เป็นบุญเหลือเกินที่ได้เกิดในแผ่นดินของพระองค์ จะจดจำไปอีกนานแสนนานตลอดจนชั่วชีวิตของเรา และอีกครั้งหนึ่งที่ได้รับพระราชทานแผ่นเสียงทองคำ ซึ่งได้รับจากพระหัตถ์ของพระองค์เช่นกัน ตอนนั้นปี 2524 และตอนนั้นได้รับรางวัลมาใหม่ ๆ ยังอยู่มัธยมปลาย ต้องซ้อมร้องเพลงก่อนจะถวายงานจริง ๆ ซึ่งหม่อมหลวงอัศนี ปราโมช ท่านเป็นคอนดักเตอร์ (ผู้ควบคุมวงดนตรี) ควบวง อส. เป็นวงออเคสตราในพระราชวังนั่นเอง มีเครื่องดนตรีตั้งแต่ 16 ถึง 20 ชิ้น และก็มีอาจารย์แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ เราเข้าไปซ้อมกันที่ศาลาดุสิตาลัย ในพระที่นั่งจิตรลดารโหฬาร วันนั้นท่านผู้หญิง สุวรี เทพาคํา ท่านเป็นนางสนองพระโอษฐ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ท่านได้บอกว่าวันนี้พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯลงมา ทรงลงมาอัดเพลงที่ซ้อมกันในวันนี้ด้วยพระองค์เอง ซึ่งปกติเราเข้าในเขตพระราชฐาน เราก็เกร็งอยู่แล้ว แต่ในวันนี้ในท้องพระโรงศาลาดุสิตาลัย และท่านทรงมาประทับ”
“ท่านประทับแบบง่าย ๆ เลย และพอท่านเสด็จฯมา เราก็ร้องผิด ๆ ถูก ๆ เราตื่นเต้น และวันรุ่งขึ้นเราจำได้ว่าเราต้องสอบไล่ ซึ่งวันที่อัดเวลาก็ดึกพอสมควร เราก็ได้เรียนผู้ใหญ่ไปแล้วว่าพรุ่งนี้จะสอบไล่ ว่าเราจะยังไงดี เรายังดูหนังสือไม่เสร็จ ท่านผู้ใหญ่บอกให้เราไปกราบทูลท่านเลย เราบอกว่าเราไม่กล้า ซึ่งหม่อมหลวงอัศนี ปราโมช บอกว่า ให้เราไปกราบทูลเถอะ ดีกว่าให้อาไปบอก ซึ่งอาใช้คำแทนตัวของหม่อมหลวงอัศนี และเราคลานเข่าเข้าไป หม่อมกราบพระบาทของพระองค์และทูลท่านว่า พรุ่งนี้เช้าหม่อมฉันสอบเพคะ เราก้มหน้าอยู่นานมากเป็นนาที เราได้ยินเสียงพระองค์ท่านก๊อก ๆ แก๊ก ๆ ซึ่งพระองค์ท่านกำลังเก็บอุปกรณ์เครื่องดนตรีของพระองค์ และท่านลุกจากพระที่นั่ง และหันมาตรัสว่าหัวสมองไบรท์ ๆ นะ ทำได้แน่นอน และท่านก็เสด็จพระราชดำเนินกลับ และพอเรากลับไปถึงบ้าน เราก็หนังสือไม่จบด้วยนะ แต่พอวันรุ่งขึ้นไบรท์มาก สู้มาก สอบผ่านเลย”
“พอเรานึกถึงพระองค์ท่านแล้ว เรามีพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ the great king จริง ๆ แม้ประเทศไทยจะไม่ใช่เป็นประเทศที่ดีที่สุด แต่เราพูดได้ว่าประเทศเราเป็นประเทศที่มีพระเจ้าแผ่นดินที่ดีที่สุดในโลก นับจากวันนี้ไป หัวใจคนไทยทุกคน ตัวเราเอง รวมไปถึงหลักดำเนินชีวิตที่น้อมนำเอาพระบรมราโชวาทมาโดยตลอด จะนำมาเป็นหลักมาใช้ในชีวิตจะใช้ไปตลอดชีวิต และจะบอกลูกหลานเราต่อ ๆ ไป เพราะยิ่งนานวันเราจะยิ่งไม่ลืมเลือนและจะจำไปในใจของคนไทยตลอดไป”