“บิณฑ์” เสียดายไม่มีโอกาสช่วยเหลือวันเกิดเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ เผยกลับมาถึงเมืองไทยปุ๊บรีบรุดช่วยเคลียร์พื้นที่ทันที สุดสลดเศษเนื้อกระจาย ปลิวไปติดอยู่บนต้นไม้ ส่วนปอดผู้เคราะห์ร้ายกระเด็นติดหน้ารถห่างไปถึงร้อยเมตร ซัดมือบึ้มยิ่งกว่า สั - ว์ เดรัจฉาน เหี้ยมผิดมนุษย์
เป็นนักแสดงจิตอาสาช่วยเหลือทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ สำหรับ “บิณฑ์ บันลือฤทธิ์” ล่าสุด เจ้าตัวเอ่ยปากเสียใจและเสียดายกลางงานบวงสรวงภาพยนตร์ “สิ้นแสงเทียน” ณ วัดสัมพันธวงศ์ เยาวราช หลังจากที่ไม่ได้มีส่วนเข้าไปช่วยเหลือวันเกิดเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ แต่ยอมรับพอกลับมาถึงเมืองไทยปุ๊บ ตนรีบไปช่วยเหลือทันที เผยสุดสลดภาพชิ้นเนื้อผู้เคราะห์ร้ายปลิวกระจาย
“ผมรู้สึกว่ามันไม่สมควรที่จะมากระทำในประเทศไทยแบบนี้ แล้วผมสงสาร ผมสงสารหมดทุกคนที่เสียชีวิต สงสารคนที่บาดเจ็บ คือ พระพรหมเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่หลาย ๆ คนไม่มีที่พึ่ง หมดความหวัง อุตส่าห์บินมาจากเมืองนอก มาจากสิงคโปร์ มาจากจีน มาจากมาเลเซีย มาจากหลายประเทศ เพื่อที่มาขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ประสบความสำเร็จ แล้วต้องมาตายตรงนั้น มันเจ็บปวดร้าวมาก แล้วผมรู้สึกว่า ไอ้ สั - ว์ เดรัจฉาน ไอ้ตัวที่ทำเนี่ย มึงมีจิตใจที่เหี้ยมโหดมาก คือ ถ้ามึงคิดว่าเป็นการแก้แค้นเป็นการส่วนตัว หรือจะแก้แค้นอะไรก็แล้วแต่ มึงไม่สมควรที่จะทำกับพวกเขา พวกเขาไม่รู้อิโหน่อิเหน่”
“แล้วเรื่องเศรษฐกิจผมว่าไม่เกิน 2 - 3 วัน มันก็ดีขึ้นมา คือ ประเทศเรามันไม่เคยที่จะเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน ที่เกือบจะล้มละลาย คือ วันแรกหุ้นตก วันที่ 2 - 3 เริ่มขึ้นมาแล้ว มันใช่ว่าพอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาแล้ว ต่างชาติจะไม่เข้ามา แต่คนจีนยิ่งเข้ามาเที่ยว คนจีนยิ่งเข้ามามากมาย จากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดไป วันต่อมาคนจีนก็ทะลักเข้าเป็นล้านคน เพื่อที่จะช่วยประเทศไทย นี่มันคือสิ่งที่ผมรู้สึกว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่ต้องมากระทำอย่างนี้ คือ ถ้าเกิดว่าผมจะใช้คำพูดที่รุนแรง ลงไปหน้าแฟนเพจก็ไม่ได้ ก็ได้แต่พูดว่าไอ้นู่นไอ้นี่ แล้วก็ให้หน้าแฟนเพจจัดการกันเอง ใส่กันเองไป”
“คือถ้าผมมีอำนาจหน้าที่ในบ้านเมือง ผมต้องเอามันแน่ ๆ คือ ทุกคนรู้ว่ามันเป็นใคร หลาย ๆ คนรู้ แต่ทำอะไรมันไมได้ ตรงนี้นี่เองที่ทำให้รู้สึก แล้วพอเราทำอะไรมันไม่ได้ มันก็จะทำให้เราไม่มีความสุข แต่คนไทยพอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา ก็จะสามัคคีกันก็จะรักกัน แล้วจะกำจัดไอ้พวกนี้ให้หมดไป แต่มันก็ต้องใช้เวลานิดหนึ่ง ก็เอาเป็นว่าถ้าเมื่อไหร่คนไทยรวมตัวกันได้ ไม่แบ่งสี ไม่แบ่งฝ่าย ไม่แบ่งพวก แล้วเมื่อนั้น ใครจะก็จะทำอะไรไม่ได้”
บอกเสียดายที่ไม่ได้ไปช่วยวันเกิดเหตุเพราะพาแม่ไปเที่ยวต่างประเทศ แต่ยังเข้าไปช่วยทำความสะอาดในพื้นที่ ก่อนบรรยายภาพสุดสยอง พบชิ้นเนื้อเหยื่อระเบิดปลิวกระจายไปทั่ว
“ก็เสียดาย ทั้งเหตุการณ์ที่ตึกถล่มที่ปทุมธานี วันที่ 12 สิงหาคมพอดีด้วย คือ วันนั้นผมป่วย เพิ่งออกจากโรงพยาบาลพอดี คือ วันนั้นผมอยากจะไปใจจะขาด แต่แม่ไม่ให้ไป เพราะเพิ่งออกจากโรงพยาบาล แล้วมาคราวนี้ พาแม่ไปเที่ยวฮ่องกงแล้วก็กลับมาวันที่ 17 สิงหาคมพอดี ลงเครื่องมาประมาณ 4 ทุ่มกว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นไปแล้วเรียบร้อย พอมาดูภาพก็รู้สึกพลาดอีกแล้ว อยากไปช่วย แต่เมื่อวานนี้ (18 สิงหาคม 2558) ก็มีเข้าไปทำความสะอาด เก็บโน่นเก็บนี่ แต่ก็ไม่ได้ช่วยเหลือคนที่บาดเจ็บอะไร แต่เราก็รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้ง ไม่ว่าจะอะไรก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย มันมาเหยียบหน้า เหยียบหัวเราเลย”
“แล้วแปลกนะครับ เหตุการณ์เพิ่งจะเกิดไปเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม วันที่ 19 สิงหาคม ก็เปิดแล้วเรียบร้อย คือเร็วมาก แต่เมื่อวันที่ผมไปเก็บกวาดชิ้นเนื้อที่ปลิวขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ มีนิ้วชี้อีกหนึ่งนิ้วตกอยู่ ผมยังถ่ายรูปมาเลย คือ นึกดูนะร่างกายคนที่ใกล้ระเบิด ที่เราเห็นภาพกันที่ขาดครึ่งตัว เห็นแต่หัว นั่นแหละ คือ เศษเขากระจายออกไป แล้วบางคนที่ขับรถห่างไปแล้วร้อยกว่าเมตร ต้องจอดรถเพราะมีอะไรติดอยู่หน้ารถ ก็จอดรถไปดู มันเป็นปอดเป็นอะไรติดอยู่ คือมันกระจายหมดเลย แต่วันนั้นผมก็ดูกันแล้ว ว่าไม่มีชิ้นเนื้อไม่มีอะไรติดอยู่ เราก็เก็บให้เรียบร้อย แล้วผู้ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับพระพรหม ก็ยกพระพรหมไปซ่อมตรงคาง ที่มีรอยเจาะนิดหน่อย ก็ตกแต่งเรียบร้อย ทุกวันนี้ก็กลับมากราบไหว้ได้เหมือนเดิมแล้ว”
“คือผมก็ต้องเฝ้าระวังตลอด เพราะมันมีเขียนไว้ว่าอาจจะเกิดขึ้นแถวสีลม ชิดลม อาจจะเกิดขึ้นแถวอนุสาวรีย์ชัย แล้วก็ที่ต่าง คือ ถึงแม้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้น เราก็ต้องระวัง เพราะถ้ามันเกิดขึ้น เราจะได้ช่วยเหลือผู้ที่บาดเจ็บได้ทันท่วงที ก็ช่วงนี้ไปไหนมาไหนก็ระวังกันนิดหนึ่งนะครับ ถ้าไม่มีอะไรก็กลับบ้าน ไปดูละครข้ามากับพระกันดีกว่าครับ (หัวเราะ)”
งงถูกปล่อยข่าวลือเสียชีวิต ซัดเป็นพวกโรคจิต ยอมรับว่ามีเพจปลอมมากมาย แต่ยังหาตัวการไม่ได้ ย้ำข่าวไม่ได้ทำให้ชีวิตแย่ลง
“ผมก็งงว่ามันมีได้ยังไง คือวันนั้นผมเองไม่ได้เอาโทรศัพท์ติดตัวไป น่าจะเอาไว้ในรถ ซึ่งพอมาดูโทรศัพท์ก็มีคนโทร.เข้ามา 100 กว่าสาย เราก็คิดว่าทำไมใคร โทร.มาเยอะขนาดนี้ เราก็มาดูที่หน้าแฟนเพจ ก็เห็นว่าเป็นรูปแล้วก็บอกว่า บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เสียชีวิตก็เลยรู้ความจริง คือ เราก็ไม่รู้ว่าคนที่ทำขึ้นมามีวัตถุประสงค์อะไร ทำเพื่ออะไร มันมีเพจปลอมของบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เยอะมาก ซึ่งมันก็มีที่ปลอมขึ้นมาเพื่อหวังผลประโยชน์แล้วก็ช่วยเราด้วย แต่ผมก็ได้แก้ไขไปแล้ว ก็ได้ตักเตือนไปแล้ว แต่ก็มาย้อนคิดอีกทีว่า เขาอาจจะต่อชีวิตให้เรา ข่าวอย่างนี้ ผมคิดว่ามันเป็นการดี เหมือนกับว่าสิ่งมันไม่ดี มันก็จะไปกับตรงนี้ แล้วมันก็จะมีสิ่งที่ดี ๆ ขึ้นมา”
“เราก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไร แต่คือคนที่เป็นญาติพี่น้องของเราเขาตกใจ ว่าข่าวจริงไหม เพราะผมไม่ได้รับโทรศัพท์เลย ดาราก็โทร.กันมามากมาย น้องสาวผมก็โทร.มา โทร.มาหาเรา แต่เราไม่รับ แล้วเขาก็โทร.มาหาคนที่อยู่กับเรา แล้วเขาก็ถามแบบเสียงสั่น ๆ ว่าเป็นอะไรหรือเปล่า เราก็บอกว่าไม่เป็นไร แต่คือยังดีที่แม่อยู่ต่างจังหวัด เขาก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไร ถ้าเขารู้เขาคงช็อกบ้างแหละ ก็ไม่เป็นไรครับ คนดีบ้างไม่ดีบ้างอย่างผมเนี่ย (หัวเราะ) ยังอยู่ต่อไป”
“แต่ผมก็ให้คนเขาตามอยู่ แต่ผมก็ไม่ทราบว่าใครเป็นคนปล่อย คือ นอกจากข่าวนี้แล้วหลังจากนั้นอีก 2 อาทิตย์ ก็มีข่าวปล่อยออกมาอีกแล้ว ซึ่งมันเป็นภาพเก่าที่ชนต้นไม้ แต่มันเป็นภาพของน้องโป๊ป (ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ) หรือใครซักคนนี่แหละออกมา ซึ่งข่าวเหมือนกันเลย เกิดอุบัติเหตุแบบนี้เหมือนกันเลย เราก็เลยคิดว่า ไอ้พวกนี้มันโรคจิตแล้วล่ะ”
“แต่ผมก็บอกทางหน้าแฟนเพจผมไปนะครับว่านี่คือเพจปลอม ว่าให้ดูลักษณะอย่าง ๆ นี้ แล้วก็ให้เข้าไปช่วยดู ไปช่วยกดทางหน้าเพจด้วย ว่านี่คือเพจปลอม ของบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ซึ่งก็หายไปพักหนึ่ง แล้วก็มาอีกแล้ว คือ ตอนมาแรก ๆ คนไลก์เป็น 2 หมื่น แต่ไป ๆ มา ๆ ดันเป็นแสนแล้ว เราก็รู้สึกว่าไม่ได้แล้วมันเยอะไปแล้ว เดี๋ยวคนเขาจะเข้าใจว่าเป็นเพจเรา เพราะมันมีสัพเพเหระมาก ลงอะไรก็ไม่รู้ คนตายบ้างเรื่องผีบ้าง แต่บางคนก็เริ่มรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ ส่วนคนที่เพิ่งเล่นเพจใหม่ก็อาจจะไม่เข้าใจ ซึ่งเราก็ได้อธิบายไปแล้ว”
คิดบวกข่าวร้ายต่ออายุยืน บอกใครทำอย่างไรได้อย่างนั้น เผยชีวิตดีตลอด หลังทำบุญติดต่อมาหลาย 10 ปี
“ไม่มีผลกระทบอะไรเลย มันมีแต่สิ่งที่ดี ๆ เข้ามากับตัวเรา เราก็รู้สึกว่าซักปีหนึ่ง มีคนออกข่าวเราแบบนี้ก็ดีนะ (หัวเราะ) คือ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำเพื่อดิสเครดิตเราหรือเปล่า เพราะให้คนเข้าไปถามก็โดนบล็อกออกหมดเลย เราก็ไม่อยากเข้าไปวุ่นวาย เราก็ไม่เป็นไร ซึ่งผมก็อยากจะบอกว่าผมยังอยู่นะ ผมไม่ได้เป็นอะไร ใครจะทำอะไรก็ช่างมัน ใครทำอะไรไม่ดี เดี๋ยวมันก็เข้ากลับหาตัวมันเอง แล้วส่วนตัวเราหลังจากข่าวนั้นมันก็เหมือนกับว่าเราได้ต่ออายุไปแล้ว”
“ถามว่าหลังจากโดนข่าวแล้วไปทำบุญอะไรไหม ก็ไม่มีครับ คือ ผมทำบุญทุก ๆ สิ้นเดือนอยู่แล้ว ก็จะถวายสังฆทาน ทำบุญโลงศพ ผมทำทุกเดือนทำมาหลาย 10 ปีแล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งมาเกิดเรื่องแล้วผมเพิ่งทำ ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวผม ก็มีแต่สิ่งที่ดี ๆ เกิดขึ้นทั้งนั้นเลย”
เผยชอบบทหนัง “สิ้นแสงเทียน” แต่ตนคงทำเองไม่ได้ ขอซัปพอร์ตเบื้องหลัง รับเป็นหนังแหวกแนวครั้งแรก อาจต้องเปลี่ยนชื่อหนังเพื่อความทันสมัย
“จริง ๆ เรื่องนี้ผมตั้งใจว่าจะทำเองนะครับ อ่านบทแล้วก็ชอบ คือเป็นอะไรที่เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับครอบครัว ระหว่างแม่กับลูก ซึ่งไม่มีพ่ออยู่แล้ว เปรียบเสมือนว่าถ้าสิ้นแสงเทียนไปแล้ว มันจะเป็นยังไง ถ้าแสงเทียนดับไปแล้วมันจะเป็นยังไง คือ ตอนที่ผมอ่านเรื่องนี้เสร็จแล้ว ผมมึน เพราะผมไม่รู้จะหาอะไรตรงไหนที่ทำให้มันสนุกและคนอินไปกับตรงนี้ได้ยัง ก็ไปเจอ พี่ต้อ (มารุต สาโรวาท) ผมก็ไปเล่าให้พี่ต้อฟังว่าพอดีผมอยากทำเรื่องนี้ ซึ่งผมคิดว่าพี่ต้อน่าจะถนัดเกี่ยวกับเรื่องนี้ พี่ต้อทำละคร ละครเวที ทำอะไรมามากมาย ก็เล่าให้พี่ต้อฟัง ซึ่งพี่เขาก็บอกว่าพี่ชอบ แล้วก็บอกว่างั้นเดี๋ยวพี่ช่วยบิณฑ์ทำเลย ผมก็บอกว่าผมทำไม่ได้ พี่ต้อต้องทำ แล้วผมขอสนับสนุนพี่ต้ออยู่เบื้องหลังแล้วกัน ก็ตกลงกันแล้วว่าพี่ต้อบอกชอบ แต่ถ้าพี่ต้อบอกว่าไม่ดีหรอก ผมก็ไม่ทำ เพราะเอาเป็นว่าพี่ต้อรับผิดชอบก็แล้วกัน (หัวเราะ)”
“คือผมว่าลองทำอะไรแบบนี้บ้างก็ดี ผมทำหนังเกี่ยวกับเด็ก ๆ เยาวชนมา มันก็ให้แง่คิดกับสังคมบ้าง แต่เรื่องนี้ตัวละครทุกตัวเป็นอะไรที่สำคัญหมด ส่วนกับชื่อเรื่องก็น่าจะมีการเปลี่ยน เพราะชื่อเรื่องสิ้นแสงเทียน มันก็ไม่ค่อยนำสมัยเท่าไหร่ มันจะดูเป็นชื่อหนังโบราณไป ซึ่งถ้าเป็นชื่อภาษาอังกฤษก็น่าจะน่าดู ซึ่งพี่ต้อเขาก็มีในใจไว้มากมายครับ”
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม