บทบาทของบอสที่ประกบคู่กับนางเอกฝีมือเทพ “แอน ทองประสม” ในละคร “แอบรักออนไลน์” ทำให้ชีวิตในเส้นทางบันเทิงของนักร้องหนุ่มปากกว้าง “ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรลดัล” กลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง หลังจากที่เคยโด่งดังถึงขีดสุดมาเมื่อครั้งออกอัลบั้มในสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ที่มีเพลง “เจ้าทุยอยู่ไหน” เป็นเพลงเอก ก่อนจะถูกคลื่นลูกใหม่ถาโถมขึ้นมากลบชื่อเสียง จนค่อยๆ กลืนหายไป กระทั่งมีโอกาสกลับมาแจ้งเกิดใหม่อีกครั้งอย่างที่บอก
แต่ขณะที่ชื่อเสียงกำลังหอมหวน มีทั้งละคร และอีเวนต์วิ่งเข้ามาชนแบบไม่ขาดสาย กลับมีข่าวในทำนองว่าปีเตอร์เบี้ยวงาน โดยไม่ทราบสาเหตุ จนเป็นเหตุให้ถูกปลดจากละคร “สายลับรักป่วน” ของผู้จัด “แป๊ป-ณฤทธิ์ ยุวบูรณ์” แห่งค่ายมายน์แอทเวิร์คส์ ที่แสดงคู่กับ “พลอย- เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์” และส่งไม้ต่อให้ “แอนดริว เกรกสัน” มารับบทนี้แทน
แม้ว่าในเวลาต่อจะมีการออกข่าวแก้ข้อกล่าวหา ทำนองว่า “เบี้ยวเพื่อชาติ” เพราะติดถ่ายทำภาพยนตร์ "ละติจูดที่ 6" ซึ่งเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ความรักและความศรัธทาในพื้นที่ชายแดนใต้ แต่ก่อนหน้านี้ติดสัญญากับภาพยนตร์อยู่ จึงไม่สามารถออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงได้
กระนั้นก็ใช่ว่าจะกู้ชื่อเสียงกลับมาได้ เพราะดันมีข่าวพัวพันกับยาเสพติด กระหน่ำตามมาซ้ำอีก ตามด้วยข่าวคราวการมีปัญหาภายในครอบครัว และเมื่อประมวลจากข่าวคราวการเบี้ยวงาน ที่ออกมาในระยะเวลาต่อเนื่องกัน ซึ่งดูไม่ใช่วิสัยของ Family Man ที่ดี เพราะคนเราลองว่ายังสนุกสนานกับการเที่ยวเคร่ ใช้ชีวิตสนุกสนานจนเกินขอบเขต จนไม่สามารถรับผิดชอบต่องานที่ทำได้ ประสาอะไรจะรับผิดชอบต่อครอบครัวให้ดีได้
ผู้คนก็เริ่มจับตามองว่าข่าวการมีปัญหาในครอบครัวอาจะมีเค้าลางความจริง ซึ่งดูจะสวนทางกับคำแก้ต่างที่ออกมายืนยันทำนองว่าขาเตียงยังแข็งแรงดี บางกระแสบอกว่าทั้งคู่มีปัญหากันมานานแล้วด้วยซ้ำ แต่ที่ยังไม่เป็นข่าว ก็อาจเป็นไปได้ว่า เกรงจะกระทบต่อสัญญาการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าเกี่ยวกับครอบครัวของทั้งคู่
กระทั่งตกเป็นข่าวกระหึ่มโลกโซเชียลฯ เมื่อฝ่ายภรรยา คือ “พลอย-พลอยพรรณ” ได้โพสต์ภาพขณะกอดลูกน้อย 2 คน คือน้องแพนเตอร์ และน้องพูม่า พร้อมข้อความในเชิงวอนขอให้สามีกลับบ้าน และยังโพสต์ทำนองว่าตอนนี้ปีเตอร์กำลังบ้างานและบ้าเพื่อนร่วมงานบางคน
และ “เพื่อนร่วมงานบางคน” ที่ว่า ก็ถูกพุ่งเป้าไปที่ “แอนนี่-ปริศนา ปัญญาศิรินุกูล” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงบิ๊กไบค์ และด้วยหน้าตาที่สะสวย จึงได้รับฉายาว่า “นางฟ้าแห่งวงการบิ๊กไบค์” และเป็นพิธีกรร่วมกับปีเตอร์ในรายการทีวีเกี่ยวกับการท่องเที่ยวด้วยมอเตอร์ไซค์ โดยทางภรรยาของปีเตอร์ ยิงตรงไปที่ “หมวกกันน็อก” ที่แอนนี่สวม สังเกตจากการโผล่ไปตอบคอมเมนต์ใต้รูปว่า
"หมวกเท่มากเลย คุ้น ๆ เหมือนของพี่เตอร์เลยค่ะ”
ถัดจากนั้นกระแสดรามาโซเชียลฯ ก็กระหน่ำขึ้นมาทันที โดยทางแอนนี่ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความชี้แจงข้อเท็จจริงว่า
"เพิ่งได้อ่านข่าวค่ะ งงเลย ก่อนอื่นขออธิบายเฉพาะเรื่องที่ทำให้แอนเสียหายนะคะ แอนเพิ่งได้มีโอกาสร่วมงาน เป็นพิธีกรร่วมกับพี่ปีเตอร์ (พิธีกรมีทั้งหมด 4 คนชาย 2 หญิง 2 ) ซึ่งเป็นรายการขี่มอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยว หมวกที่ใส่เป็นหมวกใบใหม่ที่ทีมงานเลือกให้พิธีกรใส่ เพราะเป็นรุ่นที่เปิดคางได้ เซฟและเงียบมาก ติดไมค์ได้ สะดวกในการทำงาน
เรื่องคอมเมนต์ของคุณพลอยที่มาคอมเมนต์แซวเรื่องหมวกเหมือนของพี่ปีเตอร์ คนขี่มอเตอร์ไซค์ส่วนมากก็มีความรู้
ที่จะเลือกหมวกดี ๆ เซฟ ๆ ใส่อยู่แล้ว หมวกเหมือนกันก็มีเยอะไป มันเพียงพอที่จะตัดสินแล้วประณามกันขนาดนั้นเลยเหรอ คุณพลอยมาคอมเมนต์แซวแล้วก็เป็นฝ่ายลบเอง อาจเป็นเพราะพี่เขาไม่อยากให้คนเข้าใจผิดเอามาเป็นประเด็นก็ได้ ตอนนี้แอนกลายเป็นเชลยสังคม
วอนคนอ่านข่าวช่วยพิจารณาถี่ถ้วนก่อนด่าด้วยนะคะ ถ้าคนที่เคยติดตามแอนมาจะสังเกตเห็นว่าแอนรักมอเตอร์ไซค์จริง ขี่มา 7 ปีแล้ว ร่วมงานกับหลายคนในวงการ มีหมวกหลายใบ ขี่รถหลายคัน เพื่อนๆ ที่ขี่ด้วยกัน ก็มีทั้งหญิงและชาย เพราะมันเป็นกิจกรรมแมน ๆ ที่ออกมาแจงนี่ก็แจงแบบแมน ๆ กรุณาเห็นใจกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ"
ทั้งหมดทั้งปวง ก็ยังไม่มีคำชี้แจงใดๆ หลุดออกจากปากกว้างๆ ของปีเตอร์ มีเพียงการโพสต์ข้อความเป็นภาษาอังกฤษเพียงสั้นๆ ว่า
“Not everything is always what it seems” (ไม่ใช่ทุกอย่างจะเป็นแบบที่คิดเสมอไป)
จากข้อความของปีเตอร์ แม้จะไม่ได้เคลียร์อะไรให้ชัดเจน แต่อย่างน้อยก็ส่งผลทางอ้อม ทำให้แอนนี่รอดพ้นข้อกล่าวหานี้ พร้อมกับจุดประกายให้กระบวนการจับผิด เริ่มขุดคุ้ยข้อมูลกันต่อ โดยเฉพาะการกระชากหน้ากาก“กิ๊ก” ตัวจริงของพระเอกปากกว้างออกมาตีแผ่
เมื่อขุดคุ้ยกันลงไปถึงต้นตอ ก็มีคนชี้เบาะแสว่าสาวที่เป็นต้นเหตุให้ปีเตอร์ไม่กลับบ้าน คือพริตตี้สาวตัวอักษรย่อ “บ.” ซึ่งถูกระบุชื่อในเวลาต่อมาว่า “โบว์” ซึ่งทำงานอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง ที่จังหวัดบุรีรัมย์ โดยมีภาพเด็ดเป็นหลักฐานมัดตัวขณะทั้งคู่กำลังนัวเนียกันอยู่ในผับ จากนั้นก็มีภาพเด็ดๆ ทยอยออกมาทางสื่อออนไลน์เป็นระลอก โดยส่วนใหญ่สาวพริตตี้นามว่าโบว์นั่นเอง ที่เป็นฝ่ายโพสต์รูปขณะแนบชิดกับปีเตอร์ พร้อมข้อความแบบโจ๋งครึ่ม
“พาบอสมากินข้าว”
ไม่ใช่ความลับ แต่ยังบอกไม่ได้ โอ๊ย...งานอย่าเข้านะ”
“ไม่ได้พรางตัวนะ รู้สึก เปิดมากๆ ใครๆ ก็เห็น ไม่ได้หลบๆ ซ่อนๆ ไง”
บางครั้งก็โพสต์ภาพเดี่ยวของตัวเอง แต่ก็เจตนาโพสต์ข้อความเป็นนัยๆ เช่น
“หน้าอินเตอร์ ลูกครึ่งชอบ # มั่นหน้าตลอด # หน้าแบบนี้สเปก ต.
“เขาจากไป เราอาจจะเจ็บปวด แต่ถ้าเขายังอยู่กับเรา เขาก็อาจจะเจ็บปวด”
ถัดจากนั้น ก็มีผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นเพื่อนออกมาโพสต์ข้อความว่า
"เคยเตือนผู้หญิงคนหนึ่งในฐานะที่เป็นเพื่อน ว่าทำอะไรให้คิดถึงลูกเมียเขาหน่อย รู้ทั้งรู้ว่าเขามีลูกมีเมียแล้วก็หยุดซะ ไม่ต้องเปิดเผยหรือคอมเมนต์อะไร แต่นางก็ดำเนินของนางไปไม่หยุด มั่นหน้ากว่าเดิม นางก็ลบความเป็นเพื่อนออกไปเลย
ปล. ผู้ชายที่มักมากมีเมียที่แสนดี ทำไมต้องไปทำให้เขาเสียใจ เห็นข่าวเวลาภรรยาเขาคอมเมนต์ เขาคอมเมนต์ด้วยความเฮฮาก็จริง แต่ในใจเขาคงเศร้ามากๆ แอบสงสารชีวิตเมียหลวงค่ะ”
ตามมาด้วยข้อความที่สาวโบว์โพสต์โต้ตอบกลับไป
เป็นอันว่าประเด็นถูกเบี่ยงจากแอนนี่มาเป็นสาวโบว์อย่างเต็มตัว ซึ่งถ้าเป็นจริงตามนี้ เรื่องนี้คงไม่เข้าข่าย ....รู้เขาหลอก แต่เต็มใจให้หลอก .... เพราะชีวิตคู่ของปีเตอร์ไม่ได้อยู่ในสถานะปกปิด ตรงกันข้ามกลับเป็นเรื่องที่คนรู้กันทั้งประเทศ การกระทำของโบว์ที่จงใจโพสต์ทั้งรูป ทั้งข้อความแบบนั้น จึงน่าจะเป็นการตั้งใจดับเครื่องชนฝ่ายเมียหลวงแบบจังๆ โดยเฉพาะวลีเด็ด ที่สาวโบว์ได้แชร์ลิงค์ข่าวที่ภรรยาของหนุ่มปีเตอร์ประกาศอ้อนให้สามีกลับบ้าน ว่า “กลับไปได้นะ แต่ไม่ใช่ฐานะเดิม 555″ ซึ่งทำให้ทุกคนต่างแห่กันมาประณามการกระทำของเธอคนนี้กันทั้งเมือง
แม้ในเวลาต่อมา เจ้าตัวจะออกมาชี้แจง ยอมรับว่าเป็นบุคคลในภาพจริง แต่ก็เป็นในลักษณะแฟนคลับถ่ายรูปคู่กับดาราคนโปรด หาได้มีอะไรลึกซึ้งอย่างที่เป็นข่าวไม่ ซ้ำยังเตรียมรวบรวมข้อมูลเพื่อเอาผิดกับผู้ที่นำรูปออกมาเผยแพร่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ทว่าคำให้การนั้น ก็ดูเหมือนจะมีน้ำหนักไม่มากพอ จริงอยู่ที่ปีเตอร์เป็นบุคคลสาธารณะ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีแฟนคลับมาขอถ่ายรูปคู่ด้วย แต่การที่จำเพราะเจาะจงลงไปว่าเป็นสาวโบว์ที่กำลังเขย่าขาเตียงครอบครัวของปีเตอร์นั้น นั่นก็ย่อมจะต้องมีเหตุจูงใจให้คนปักใจเชื่อ เช่นว่าอาจจะมีพฤติกรรมบางอย่างส่อให้คนคิดมากไปกว่าแค่การถ่ายรูปคู่กันธรรมดา โดยเฉพาะข้อความที่ซ่อนนัยของโบว์นั่นเองที่ย้อนกลับมามัดตัวเอง
ข่าวคราวรักร้าว-ฉาวโฉ่ รวมถึงการซุกกิ๊กของปีเตอร์ในครั้งนี้ ไม่เพียงจะกระทบกับชื่อเสียงของตัวเอง แต่ยังส่งผลกระเทือนไปถึงภาพยนตร์ “ละติจูดที่ 6 “ ที่เขาร่วมแสดง และถูกยกมาเป็นข้ออ้างในการเบี้ยวคิวละครและอีเวนต์อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น
“ละติดจูดที่ 6” เป็นภาพยนตร์ที่อำนายการสร้างโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ซึ่งต้องการจะถ่ายทอดชีวิตความเป็นอยู่ของคนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเปิดเผยให้สังคมภายนอกรับรู้ข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเนื้อหาหลักๆ ของเรื่องนั้น ดูจะขัดแย้ง และสวนทางกับพฤติกรรมของปีเตอร์ที่เป็นนักแสดงนำอย่างจัง โดยเฉพาะในเรื่องของการซุกกิ๊ก ซึ่งถือว่าขัดต่อหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ที่แม้ว่าจะยินยอนให้ผู้ชายมีภรรยาได้ถึง 4 คน แต่ก็จะต้องได้รับอนุญาตจากภรรยาคนแรกก่อน และที่สำคัญจะต้องประกาศให้สังคมภายนอกรับรู้ว่ามีใครเป็นภรรยาบ้าง ไม่ใช่ลักษณะแบบลักกินขโมยกินแบบนี้
แน่นอนว่ากระแสแอนตี้ปีเตอร์ ย่อมส่งผลโดยตรงต่อภาพยนตร์ “ละติดจูดที่ 6 “ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งทาง “พล.ต.นักรบ บุญบัวทอง” รองผู้อำนวนการศูนย์ประสานการปฏิบัติหมายเลขา 5 กอ.รมน. เอง ก็ออกมายอมรับว่าเป็นห่วงจำนวนผู้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ไม่น้อย
“ขอร้องว่าอย่าเอาเรื่องปีเตอร์ มาโยงกับเรื่องหนังละติจูดที่ 6 เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว ที่ต้องรอให้เจ้าตัวชี้แจง ส่วนหนังเป็นการแสดง และเป็นเรื่องของราชการที่สร้างขึ้นมาเพื่อบรรเทาปัญหาภาคใต้ สะท้อนความสวยงาน และวิถีชีวิต”
แม้ว่าจะมีคำแก้ต่างจากทาง กอ.รมน. ที่ทั้งออกปากว่าปีเตอร์แสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยค่าตัวที่ไม่แพง แถมยังกล้าลงไปถ่ายทำที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยไม่หวั่นเกรงอันตราย และแม้กระทั่งยืมมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาปลุกกระแส โดยไปเป็นประธานในการเปิดงานชมภาพยนตร์ด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาได้ แถมเผลอๆ ยังอาจจะถูกนำไปโยงเข้ากับเรื่องของการเมือง กลายเป็นผลต่อภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรีอีกต่างหาก
เรียกว่างานนี้ทั้งงบประมาณทุนสร้างกว่า 15-20 ล้านบาท และเจตจำนงของ กอ.รมน.ที่ตั้งใจที่จะเผยแพร่
อัตลักษณ์และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสร้างความเข้าใจ และอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาให้สถานการณ์ในพื้นที่ดีขึ้น อาจจะสูญเปล่า หากว่ายังไม่มีการแสดงตัวของปีเตอร์ที่ออกมายอมรับผิดต่อพฤติกรรมดังที่กล่าวมา
เรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องครอบครัวร้าวฉานธรรมดา แต่มันขยายวงกว้างกลายเป็น “วาระแห่งชาติ” ไปแล้ว
ปีเตอร์ต้องออกมารับผิดชอบต่อเรื่องนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินการณ์ !!
แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับในแง่ของสถาบันครอบครัว เราก็ยังหวังใจว่าวันหนึ่งเรื่องราวทั้งหมดน่าจะคลี่คลายในทางที่ดี และจะรอวันที่ปีเตอร์กลับบ้านเสียที !!
ล้อมกรอบ 1
สำหรับชีวิตคู่ของปีเตอร์กับแพรพลอยนั้น ทั้งคู่จดทะเบียนสมรสกันอย่างเป็นทางการที่เขตวัฒนา เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2557 หลังจากที่แต่งงานกันเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2556 ซึ่งเลื่อนขึ้นมาจากกำหนดเดิม เนื่องจากฝ่ายสาวตั้งครรภ์ได้ 2 เดือน
ซึ่งทางแพรพลอยเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในวันแต่งงานทำนองว่าถึงจะมีแฟนหล่อแบบปีเตอร์ แต่เธอก็ไม่ขี้หึง เพราะเข้าใจว่า ปีเตอร์เป็นคนมีเสน่ห์ และที่สำคัญเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยทำอะไรให้เธอต้องหึงหวง ทำงานเสร็จก็กลับบ้านเลย
ก่อนหน้านี้แพรพลอยเอง ก็เคยมีโอกาสได้ทำงานในวงการบันเทิง โดยเป็นนักร้องเจ้าของผลงานอัลบั้ม POLLY แนวเพลงป็อปใส ๆ ของค่ายสไปร์ซซี่ ดิสก์ เมื่อปี พ.ศ. 2551 แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร จึงเบนเข็มมามุ่งมั่นกับอาชีพแอร์โฮสเตส กระทั่งได้พบรักกับปีเตอร์ และใช้เวลาคบหาดูใจกัน 1 ปี ก่อนจะเข้าสู่ประตูวิวาห์
ส่วนปีเตอร์ ก็บอกว่า พลอยเป็นแฟนคนไทยคนแรกของเขา แต่ก็เข้ากันได้ดี ด้วยนิสัยที่คล้ายกันและเป็นคนง่าย ๆ ทำให้เข้าใจกันทุกเรื่อง เป็นคนที่อยากแต่งงานด้วยจริง ๆ เป็นคนที่รู้สึกใช่ตั้งแต่แรก อยู่ด้วยแล้วทุกอย่างมันง่ายไปหมด รู้สึกสบายใจ ทุกอย่างลงตัวโดยธรรมชาติ ตั้งแต่มีแพรพลอยเข้ามาในชีวิต ก็มีความสุขเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน
เมื่อครั้งรักยังหวาน ทั้งคู่เคยถ่ายปกคู่กันในนิตยสาร “แพรว” ฉบับปักษ์หลัง เดือนพฤศจิกายน 2556 ในคอนเซ็ปต์
"Destiny of Love ปีเตอร์ & พลอย"
ล้อมกรอบ 2
ภาพยนตร์ “ละติดจูดที่ 6” ว่าด้วยเรื่องราวมิตรภาพและความรักอันบริสุทธิ์ระหว่างครอบครัว เพื่อน และมิตรแท้ต่างศาสนา ซึ่งเลือกใช้สถานที่เป็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะความเชื่อมั่นในความงดงามและความสงบ ภายใต้ข่าวคราวที่มีความขัดแย้งกัน ทว่ากลับอุดมไปด้วยความบริสุทธิ์ของจิตใจที่มีคำว่ามิตรภาพ ความมีน้ำใจ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความมีสัมมาคารวะ และความมั่นคงแห่งสถาบันครอบครัวที่เป็นพื้นฐานหลักของสังคมที่เข้มแข็ง การนำเสนอโดยการผ่านสื่อภาพยนตร์ ก็เพื่อให้ผู้ชมได้รับอรรถรสและเนื้อหาที่ต้องการนำเสนออย่างเต็มที่ ณ สถานที่ซึ่งกำลังถูกจับตามองจากภาพข่าวต่าง ๆ ว่าเป็นพื้นที่อันตราย แต่ ณ ที่แห่งนั้นมีมนต์ขลังของศาสนา และวัฒนธรรมที่สืบสานมาหลายชั่วอายุคน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ จะสามารถปรับความเข้าใจในหมู่พี่น้องชาวไทยให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
เนื้อเรื่องพูดถึงความสัมพันธ์ของ "ต้น" (ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล) หนุ่มแบงก์ไทยชาวพุทธย้ายที่ทำงานมาที่ปัตตานี แม้จะหวั่นวิตกอยู่บ้างกับข่าวคราวเรื่องความไม่สงบในภาคใต้ แต่เมื่อมาถึง ต้นก็ไม่ได้รู้สึกกดดันอย่างที่คาดไว้ ทั้งยังกลับไปตกหลุมรัก "ฟ้า" (โบว์ลิ่ง-ปริศนา กัมพูสิริ) ครูสาวชาวมุสลิม แต่อุปสรรคสำคัญของต้นคือ "ครูฮัตซัน" (สหัสชัย ชุมรุม) พ่อของฟ้าที่เป็นมุสลิมที่เคร่งในศาสนามาก และไม่ต้องการให้ฟ้ายุ่งเกี่ยวกับหนุ่มนอกศาสนา แต่ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนในออฟฟิศทำให้เขาสามารถฝ่าฟันอุปสรรค และเข้าใจวิถีของมุสลิมได้มากขึ้น จนครูซันเริ่มยอมรับเขา
แนวคิดของเรื่อง “ละติดจูดที่ 6” ที่ต้องการนำเสนอ ก็คือการอยู่ร่วมกันของชาวพุทธและมุสลิม ที่แม้จะต่างวิถี ต่างชีวิต แต่กลับเข้าใจและอบอุ่นหัวใจทุกครั้งที่ได้สัมผัส
ที่มานิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 298 18-25 กรกฏาคม 2558