xs
xsm
sm
md
lg

"น้าต๋อย เซมเบ้" : ชีวิตจริงยิ่งกว่าการ์ตูน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


(เนื้อหาของบทความนี้เรียบเรียงจากรายการ "ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร" ตอน "ชีวิตจริงยิ่งกว่าการ์ตูน" ทางช่อง ThaiPBS)

คงเป็นเรื่องแปลกๆ พอสมควร หากบอกว่าคุณเป็นคอการ์ตูน แต่ไม่รู้จักนักพากย์การ์ตูนเจ้าของฉายา "น้าต๋อย เซมเบ้" (นิรันดร์ บุญยรัตพันธุ์)

เฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มีอายุตั้งแต่ 30 ขึ้นไปที่เติบโตมากับการ์ตูนช่อง 9 อาทิ หน้ากากเสือ, อาราเล่, โดราเอมอน, ดรากอนบอล ฯลฯ

หลังมีข่าวร้ายถึงอาการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงจากการป่วยของโรคหอบหืด, ปอดติดเชื้อ รวมถึงอาการกระดูกสันหลังแตกกดทับเส้นประสาทจนต้องเข้ารับการผ่าตัดด้วยความเสี่ยงถึงขั้นพิการไปเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุดนักพากย์ชื่อดังได้กลับมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยในแฟนเพจเฟซบุ๊ก "น้าต๋อยเซมเบ้ FanPage" เองก็ได้มีการโพสต์ภาพเจ้าตัวชูสองนิ้ว พร้อมข้อความว่า..."ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วนะครับ การฟื้นตัวดีกว่าที่คาด เลยได้ออกจากโรงพยาบาลเร็วกว่ากำหนด แห่ะๆ เยี่ยมไปเลยครับ ที่เหลือก็ต้องค่อยๆ ฟื้นฟู โดยเฉพาะอาการที่ขา แต่เท่านี้ก็เยี่ยมแล้วครับ ปลอดภัยแล้วววว ขอขอบคุณทุกๆ กำลังใจอีกครั้งนะครับ"

ย้อนกลับไปในอดีตก่อนจะมาเป็น "ต๋อย เซมเบ้" ที่ทำงานพากย์มาเป็นเวลานานกว่า 30 ปี กับจำนวนการ์ตูนกว่า 150 เรื่องนั้น เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่าเกิดขึ้นมาจากแรงบันดาลใจของตัวการ์ตูนที่ชื่อ "นาโอโตะ" ใน "หน้ากากเสือ" นั่นเอง

"หนังเรื่องนั้นเป็นเหมือนกับฟ้ากำหนดมา เหมือนคนเก่งฟ้าประทาน ผมดูหน้ากากเสือครั้งแรกประมาน 2510 ตอนนั้นยังเด็กอยู่ประมาน 10 กว่าขวบ ไปวิ่งเล่นที่ช่อง 4 บางขุนพรม แล้วคุณพ่อทำงานที่ช่อง 4 บางขุนพรม ซึ่งช่องนี้ก็คือช่อง 9 อสมท. ในยุคต่อมา หน้ากากเสือมีคุณประชาเป็นคนที่พากย์ เราก็ยืนดูมีความสุขแล้วคิดว่าอยากพากย์การ์ตูนมากเลย เราก็บอก เจ้าประคุณ ขอให้ได้พากย์หนังแบบนี้บางเถอะ อยากพากย์หน้ากากเสือ"

"แล้วประมานเกือบ 13 ปีได้ ผมก็เรียนมาจนจบแล้วไปทำงานที่ช่อง 9 อสมท. ปรากฏว่าหนังการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่มีคนนำกลับมาเช่าเวลาฉายก็คือเรื่องหน้ากากเสือ ทุกวันอาทิตย์ 10 โมง เขาก็ถามว่าอยากลองพากย์หนังการ์ตูนบ้างไหม เราก็ดีใจ ฟอร์มทีมขึ้นมา 4 คน ผู้ชาย 2 ผู้หญิง 2 มันไม่น่าเชื่อนะว่ากลับมาแล้วผมได้พากย์เป็นตัวนาโอโตะ หน้ากากเสือจริงๆ ตอนนั้นมันมีความรู้สึกว่า เฮ้ย เราต้องเกิดมาเป็นนักพากย์แน่นอน มันเป็นแรงบันดาลใจผมตั้งแต่เด็กมาให้ผมพากย์ แสดงว่าสวรรค์ส่งมา ตื่นเต้นมาก"

ต้องเปลี่ยนสไตล์การพากย์ เหตุเพราะการ์ตูนจะไม่เหมือนภาพยนตร์จีนหรือฝรั่ง
"คือเราพากย์หนังฝรั่งและหนังจีนมาก่อนพอมาพากย์คาแรกเตอร์การ์ตูนที่อยากพากย์มันทำเสียงไม่ได้ เสียงมันจะออกไปทางหนังฝรั่ง เด็กไม่ค่อยติด เด็กชอบความสนุกสนาน ผมก็เลยเปลี่ยนคาแรกเตอร์ให้มันดูตลกมากยิ่งขึ้น คาแรตเตอร์บางตัวที่เข้ามา ผมใส่เสียงเข้าไป ทำให้เด็กเขาก็เลยชอบเสียงอุทาน เสริมบทต่างๆ พอพากษ์มาคนก็ติดทางช่อง 9 ก็เลยสั่งหนังการ์ตูนมาฉายมากมายโดยมีหน้ากากเสือก็เป็นจุดกำเนิดของหนังการ์ตูนในวงการทั้งหมด"

"แล้วสมัยก่อนตัวการ์ตูนเป็นซุปเปอร์ฮีโร่เยอะมากจริงๆ ซึ่งมันทำให้เราพากย์และเข้าใจคาแรกเตอร์ของคนญี่ปุ่นที่พยายามจะสร้างให้เด็กมีคุณธรรม"

ที่มาฉายา "น้าต๋อย เซมเบ้" ชื่อตัวการ์ตูนนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องจากการ์ตูนเรื่อง "ดร.สลัมป์และหนูน้อยอาราเล่"..."คือหลังจากที่พากย์เรื่องนี้ไป ปรากฏว่าเด็กๆ ก็เขียนจดหมายมาทางช่อง 9 อสมท. อาทิตย์หนึ่งหลายพันฉบับมากครับ เดือนนึงเป็นหมื่นฉบับ ซึ่งเราก็ตอบไม่ไหว เขาก็เลยบอกให้ผมออกทีวีแล้วกัน มาตอบทางออกอากาศ ทำให้เด็กเขารู้สึกว่าจดหมายเขาจะไม่หล่นหาย ก็ตอบได้อาทิตย์ละประมาน 10 ฉบับ ก่อนฉายการ์ตูน แล้วเด็กๆ เขาก็ถามชื่อจริงว่าผมชื่ออะไร ผมก็บอกว่าชื่อนิรันดร์"

"แต่เด็กเขาก็จะตั้งเป็นชื่อน้าต๋อย เซมเบ้ เพราะตอนนั้นหัวผมมันจะฟูๆ เหมือน ดร. สลัมป์ ก็เลยกลายเป็นน้าต๋อย เซมเบ้ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา"

เจ้าตัวยอมรับเนื้อหาการ์ตูนหลายเรื่องก็อาจจะไม่เหมาะกับเด็กๆ ซึ่งนั่นเป็นหน้าที่ของนักพากย์ว่าจะจัดการเช่นไร?..."อย่างตัวการ์ตูนฟรีซเซอร์ ในดรากอนลอบ จริงๆ แล้วมันก้าวร้าว ซึ่งผมพยายามลบความก้าวร้าวพากย์เป็นตุ๊ดเป็นแต๋วไปเลย ก็ทำเสียงแบบนี้คนก็จะติด หรืออย่างการ์ตูนซิตี้ ฮันเตอร์มันจะเป็นการ์ตูนที่ทะลึ่งนางเอกก็จะใส่สั้นๆ อย่างวันหนึ่งไปประชุมที่ครุสภา มีครูทั่วประเทศประมาน 300-400 คน มีผมคนเดียวที่เป็นน้าต๋อย เซมเบ้"

"ตอนแรกก็เครียดเลย ผมก็เลยสลายความเครียดด้วยการคุยกับการ์ตูน ซึ่งครูก็บอกเคยดูแล้วเขาก็ยิ้ม การ์ตูนมันต้องมีอรรถรสในการต่อสู้บ้าง แต่ว่าเด็กก็ต้องมีวิจารณญาณในการปลูกฝังสิ่งที่ดีด้วย...ซึ่งคำถามสุดท้ายที่เขาถามผมว่าการ์ตูนให้อะไรเด็ก ผมก็ตอบไปว่าให้ความสนุกครับ ให้ความอบอุ่นในครอบครัว เพราะสมัยก่อนบ้านหลังหนึ่งเขามีโทรทัศน์แค่เครื่องเดียว เด็กดูการ์ตูนพ่อแม่ก็มานั่งดูด้วยในช่วงเช้า ได้ดูกับพ่อแม่มันสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น"

ในโลกของการ์ตูน "น้าต๋อย" สามารถสร้างภาพให้เกิดขึ้นในจินตนาการของเด็กได้เป็นอย่างดี แต่ทว่า "น้าต๋อย" ผู้ที่ให้ชีวิตแก่ตัวการ์ตูนยังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในโลกของความเป็นจริงเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ

"เมื่อสัก 5 ปีที่แล้วผมเป็นคนที่ชอบเล่นกอล์ฟ พอเล่นกอล์ฟกลับมาเหมือนจะเป็นไข้หวัด ก็ซื้อยามาทานมันก็ไม่หาย มันไออยู่เรื่อยเลย ก็เลยไปให้หมอตรวจ หมอก็บอกว่าเป็นไข้หวัด ก็เอายามากินมันก็ไม่หาย ก็เป็นหนักขึ้น ไอเป็นชั่วโมงๆ เลย ก็ไปโรงพยาบาลไปให้เขาตรวจดูก็บอกว่าเป็นภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง ก็เลยรักษาภูมิแพ้เรื่อยมา แล้วเราใกล้ 60 แล้ว พออยู่ในห้องแอร์เย็นๆ เยอะๆ ผมก็จะไอ พากย์ทีผมก็ต้องไปไอ"

"ผมก็เลยตัดสินใจลาออกจากช่อง 9 แล้วก็ไปพากย์ที่ช่อง 7 ที่เดียว ซึ่งช่อง 7 เขาดีอย่างคือห้องพากย์เขาปรับอุณหภูมิได้ แล้วก็ระยะหลังมันมีอีกโรคหนึ่งคือมันปวดหลัง นอนปวดมาสองปี พอเอาชิ้นเนื้อไปตรวจดูมันเป็นวัณโรคกระดูก มันกินกระดูกเราจนกระทั่งกระดูกเราแตก เราต้องไปผ่าตัดกระดูก ซึ่งตอนนั้นภูมิต้านทานผมต่ำมากเลย วันนั้นเข้าไปผมเกือบตาย หมอบอกว่าถ้ามาช้ากว่านี้ตายแน่นอน"

เผยเรื่องสุดประทับใจหมอที่รักษาก็เป็นหนึ่งในเด็กๆ ที่ชื่นชอบการ์ตูนที่ตนพากย์นั่นเอง
"วันนั้นที่เข้าไปอุโมงค์ครั้งสุดท้าย ออกมาโชคดีมากเจอคุณหมอผ่าตัดคนนึงซึ่งกำลังจะกลับบ้านแล้วล่ะ เพราะคุณแม่เขาก็ป่วย เขาอยู่ห้องไอซียู ต้องไปดูแลคุณแม่ พอเจอผมเขาบอกน้าต๋อยหรอ ผมดูการ์ตูนน้าต๋อยตั้งแต่หน้ากากเสือ เขาบอกต้องผ่าตัดด่วนแล้ว ถ้าไม่ผ่าตัดวันสองวันนี้มีสิทธิ์ตายแน่นอน เข้าห้องผ่าตัดตอนนั้นเลยไปยื้อชีวิตผมตอนนั้นมา"

"การ์ตูนไม่ได้ทำให้คนเสียคนเลย มันให้ความสุขที่ผูกพันตั้งแต่เด็กในสมัยนั้นกับผมกับเขา เพราะเด็กสมัยนั้นกลับมาช่วยชีวิตผมไว้ ผ่าตัดออกมากระดูกสันหลังดึงกระดูกที่แตกออกทั้งหมดให้มันมาเชื่อมกัน กระดูกหายไปข้อหนึ่ง ออกมาก็ยังไม่ได้ดีนัก แต่ว่ากระดูกสันหลังต้องผ่าตัดใหม่อีกทีเพื่อเสริมไทเทเนียมหลังให้มันแข็งขึ้น เพราะว่าตอนนี้หลังผมโค้งมาก"

สุดซึ้งสารพัดน้ำใจที่ได้รับจากแฟนการ์ตูนทั้งหลาย
"(โชว์ภาพวาด) เนี่ยครับเขาวาดรูปน้าต๋อย เซมเบ้มาให้ ซึ่งเขาก็ถามว่าจำผมได้ไหม เขาเคยวาดรูปให้น้าต๋อยดูเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ที่เขาวาดรูปเป็นการ์ตูน ตอนนี้เขาโตแล้ว 40 กว่าปี มีความรู้สึกว่าซึ้งกับพวกเขานะครับที่พวกเขายังคิดว่าเรายังเป็นความสุขของเขาอยู่ เป็นอะไรที่อยู่ในดวงใจเขาตั้งแต่ตอนเด็กๆ จนเขาโตเป็นผู้ใหญ่ มันเป็นความสุขที่ดีกับเขา ก็พยายามอ่านแล้วก็ขอบคุณเขา"

"คือเวลาผมเฉียดตอนนั้นอ่ะนะ ผมคิดถึงพวกซุปเปอร์ฮีโร่ว่าในนั้นมันก็เจ็บปางตายเหมือนกันแต่มันยังรอดมาได้ ช่วงนั้นผมเจ็บมากทั้งงูสวัด ทั้งแผลผ่าตัด แล้วก็ปวดหลังอีกตอนนั้นยังไม่ได้ผ่า เจ็บงูสวัดทั้งปวดหลังด้วย ซึ่งตอนนั้นงูสวัดยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรแต่มันเจ็บที่ท้อง แต่ปวดหลังกระดูกแตก มันเจ็บมหาศาล ก็เลยรู้ว่าคนที่เป็นมะเร็งเขาปวดยังไง นึกถึงการ์ตูนที่เขาทน เราก็ต้องทนเพราะเราเคยพากย์การ์ตูนพวกนี้มา"

"แล้วเรามาเจอของจริงเราก็ต้องทนให้ได้ มันเจ็บปางตายแล้วมันก็ลุกขึ้นมา ซึ่งมันก็เป็นแรงบันดาลใจผมเหมือนกัน เด็กๆ เขียนมาให้พลังผมทุกคนส่งพลังมาให้ผม เพราะฉะนั้นผมก็มีพลังอยากอยู่ต่อ แล้วก็สู้ต่อครับ..."









ASTVผู้จัดการออนไลน์ เพิ่มหมวดข่าว “โต๊ะญี่ปุ่น” นำเสนอความเคลื่อนไหวของข้อมูลข่าวสาร ตอบสนองผู้อ่านที่สนใจในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้ง สรรสาระ เกร็ดความรู้ต่างๆ ที่ผู้อ่านควรรู้ และ ต้องรู้อีกมากมาย ติดตามเราได้นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป



ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live

ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th

ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม



เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย
ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540
ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก
ระบบ True Move เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000
*ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก

กำลังโหลดความคิดเห็น