“คำนูณ” งง กปปส.เปลี่ยนจุดยืนเห็นพ้องกับฝ่ายตรงข้ามไม่เอานายกฯคนนอก สวนทางสมัยชุมนุมขับไล่ รบ.ปู บี้หาคำตอบเลขาธิการ กปปส.-หัวหน้าพรรค ปชป.ต่างเคยเสนอขอนายกฯ ที่เป็นคนกลางและไม่ได้มาจาก ส.ส.มาแล้วในช่วงวิกฤต แต่ข้อเสนอนั้นเป็นไปไม่ได้ในเวลาต่อมาเพราะอะไร
วันนี้ (5 ม.ค.) นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Kamnoon Sidhisamarn ถึงเรื่องการเปลี่ยนท่าที่ของ กปปส. ต่อประเด็นที่มาของนายกรัฐมนตรี ดังนี้
“ข้อสรุปเบื้องต้นของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญที่กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการเสนอชื่อจากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นนายกรัฐมนตรีเสียใหม่โดยไม่บัญญัติบังคับว่าจะต้องเป็น ส.ส.เท่านั้น ก่อให้เกิดเสียงไม่เห็นด้วยอย่างกว้างขวางพอสมควร โดยเฉพาะจากนักการเมือง แม้แต่โฆษก กปปส.ก็ไม่เว้น!
โดยบอกในทำนองว่าคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญอย่าได้อ้าง กปปส.!!
ประเด็นนี้ ผมฟังจากข่าวค่ำของช่อง 9 อสมท คืนนี้เอง หากผิดพลาดไม่ครบถ้วนประการใดต้องขออภัย
แต่ก่อนหน้านี้ หัวหน้าพรรคของท่านโฆษก กปปส. ก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ในระดับหนึ่งมาแล้ว!!
การที่ฟากฝั่งหนึ่งไม่เห็นด้วยกับประเด็นเปิดกว้างไม่บังคับให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.เท่านั้นพอเข้าใจได้ เพราะเป็นจุดยืนเดิมมาโดยตลอดช่วงวิกฤตเกือบ 10 ปีมานี้ จุดยืนที่เห็นว่าประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง อะไรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งไม่ใช่ประชาธิปไตยทั้งสิ้น จุดยืนนี้ถูกหรือผิดหรือมีที่มาอย่างไรเป็นเรื่องหนึ่ง ณ ที่นี้เพียงแต่บอกว่าฟากฝั่งนี้ยืนอย่างนี้มาโดยตลอด ครั้งนี้ยืนอยู่จุดเดิมอีกจึงไม่น่าแปลกใจอะไรนัก แต่กับอีกฟากฝั่งหนึ่งมามีความเห็นตรงกันกับฟากฝั่งที่ต่อสู้ทางการเมืองมาโดยตลอดนี่ผมยังต้องใช้ความพยายามในการทำความเข้าใจอยู่
ผมไม่เคยได้ยินกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญคนใดอ้าง กปปส.ได้ยินแต่ว่าการกำหนดคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีให้เปิดกว้างไว้ย่อมจะดีกว่า เพราะในบางสถานการณ์ประเทศอาจมีความจำเป็นต้องมีนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจาก ส.ส. แล้วก็ยกตัวอย่างเหตุการณ์ก่อนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 และเหตุการณ์ก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่มีการเรียกร้องให้มีนายกรัฐมนตรีที่เป็นคนกลาง และไม่ได้มาจาก ส.ส. เพื่อแก้ไขวิกฤต แต่ไม่สำเร็จ เพราะทั้งรัฐธรรมนูญ 2550 และรัฐธรรมนูญ 2540 บังคับไว้ว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.เท่านั้น
ช่วงก่อนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 กระบวนการเรียกร้องที่อยู่ในช่วงเดือนมีนาคม 2549 กล่าวว่าสามารถทำได้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญเพราะมีมาตรา 7 รองรับไว้ แต่หลังจากปรากฎกระแสพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 เหตุผลเรื่องมาตรา 7 เป็นอันตกไป ไม่มีใครพูดถึงอีก
ในช่วงก่อนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 มีข้อเรียกร้องให้รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 รักษาการประธานวุฒิสภา ใช้ความกล้าหาญทูลเกล้าฯเสนอชื่อผู้เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ทั้งประกาศบนเวที และนำมวลมหาประชาชนกปปส.เดินขบวนมาถึงรัฐสภาเพื่อให้กำลังใจและให้แก้วิกฤตด้วยวิธีดังกล่าว โดยเลขาธิการ กปปส.ได้เข้าพบรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 เป็นการเฉพาะด้วย
การเรียกร้องให้รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 เสนอชื่อบุคคลผู้เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่หลังเดือนธันวาคม 2556 เป็นต้นมา ก็เท่ากับต้องเสนอผู้ที่ไม่ได้เป็น ส.ส.สถานเดียว เพราะขณะนั้นไม่มี ส.ส.เหลืออยู่สักคนเดียว เพราะมีการยุบสภาแล้ว ซึ่งเป็นสถานการณ์เดียวกับช่วงเดือนมีนาคม 2549
โฆษก กปปส.ควรถามเลขาธิการ กปปส.ในข้อเสนอที่ประกาศออกมาหลายครั้งหลายหน เช่นเดียวกับควรถามหัวหน้าพรรคของท่านถึงเหตุการณ์ในช่วงเดือนมีนาคม 2549 ว่าท่านเคยแสดงความเห็นไว้อย่างไร และข้อเสนอนั้นเป็นไปไม่ได้ในเวลาต่อมาเพราะอะไร
ก็จะได้ความจริงในอดีต 2 ครั้งว่าในบางสถานการณ์ประเทศมีความจำเป็นต้องได้นายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจาก ส.ส.หรือไม่ อย่างไร และสถานการณ์นั้นหมดไปแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่มีทางเกิดขึ้นอีกแล้วอย่างนั้นหรือ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญทุกคนจะได้รับฟังให้ชัดเจนแล้วนำไปประกอบการพิจารณา
หมายเหตุ : ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นในฐานะส่วนตัว”