ASTVผู้จัดการรายวัน-สะพัด! สธ.ออกหนังสือถึง สสจ.ทั่วประเทศ ห้าม รพ.รัฐดูช่อง 3 แบน "สรยุทธ" เหตุทุจริต ไร้จรรยาบรรณ ด้านรองปลัด สธ.แจงไม่ได้ห้ามดู เผยหนังสือกล่าวอ้างตามคำร้องทุกข์ของประชาชนผ่านศูนย์ 1111 ของรัฐบาล ระบุคำสั่งเพียงให้แต่ละ รพ.พิจารณาการเปิดทีวีเอง เสอนหมุนเวียนเปลี่ยนช่องกันไป เพื่อลดข้อขัดแย้ง ด้านรพ.รามาฯ ยันคำสั่งนี้ไม่ใช่การปิดกั้นรับข่าวสาร ย้ำไม่อนุญาตคนไข้-ญาติเปลี่ยนช่องเอง หวั่นทะเลาะ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แฟนเพจเฟซบุ๊ก "สายตรงภาคสนาม" ได้เผยแพร่หนังสือสั่งการของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) ซึ่งลงนามโดย นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัด สธ. เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2558 เรื่อง "เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการเปิดโทรทัศน์ของโรงพยาบาลรัฐ" ส่งถึงนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) ทุกจังหวัด โดยเนื้อหาภายในหนังสือมีใจความโดยสรุปว่า
ด้วย สป.สธ. ได้รับเรื่องผ่านศูนย์บริหารจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 กรณีมีผู้เสนอความเห็นเกี่ยวกับการเปิดรายการโทรทัศน์ของโรงพยาบาลรัฐ ในการเปิดรายการข่าวเฉพาะสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ให้ผู้ที่มารับบริการในโรงพยาบาลได้รับชม ซึ่งเป็นรายการข่าวที่ไม่เหมาะสม เพราะพิธีกรผู้ดำเนินรายการท่านหนึ่งเป็นผู้ที่มีความประพฤติไม่เหมาะสม ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชี้มูลว่าทำความผิดเรื่องการทุจริต และอัยการสูงสุดได้สั่งฟ้องแล้ว จึงเห็นว่าไม่เหมาะสมที่โรงพยาบาลของรัฐ จะเปิดรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ให้กับแพทย์ พยาบาล และประชาชน ที่เข้ารับบริการในโรงพยาบาลให้ได้รับชมกันต่อไป
สป.สธ. โดยสำนักบริหารการสาธารณสุขได้ขอให้กลุ่มกฎหมายพิจารณาแนวทางการปฏิบัติของโรงพยาบาล เนื่องจากอาจมีผลกระทบในข้อสั่งการ ซึ่งจากการพิจารณาพบว่า สป.สธ.ไม่มีกฎหรือระเบียบเกี่ยวกับการเปิดรายการโทรทัศน์ในหน่วยบริการ เพราะถือเป็นการบริหารงานภายในที่จะเลือกเปิดสถานีโทรทัศน์ได้ตามความเหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายระหว่างรอรับบริการ เพื่อมิให้เกิดข้อโต้แย้ง สป.สธ. จึงขอให้ นพ.สสจ. แจ้งหน่วยบริการในสังกัด สป.สธ. พิจารณาเปิดโทรทัศน์โดยหมุนเวียนเปลี่ยนช่องในแต่ละวัน และปิดประกาศให้ผู้มารับบริการทราบ จะทำให้ปัญหาข้อโต้แย้งดังกล่าวหมดสิ้นไปได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีหนังสือสั่งการดังกล่าว ทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดว่า สป.สธ.มีคำสั่งถึง สสจ.ทุกแห่งให้งดเปิดรายการข่าวช่อง 3 เสมือนเป็นการใช้มาตรการทางสังคมแบน นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา นักเล่าข่าวชื่อดัง และกรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม จำกัด เนื่องจากถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่ากระทำความผิด กรณีนายสรยุทธ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม โฆษณาเกินเวลา ขณะจัดทำรายการคุยคุ้ยข่าว ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท. ระหว่างปี 2548-2549 โดยไม่ชำระค่าโฆษณาเกินเวลาให้บริษัท อสมท จำกัด ( มหาชน) เป็นจำนวน 138.79 ล้านบาท
ทั้งนี้ นพ.วชิระ กล่าวถึงกรณีว่า หนังสือดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ซึ่งหนังสือดังกล่าวออกไป เพราะมีประชาชนร้องเรียนที่ศูนย์ฯร้องทุกข์รัฐบาล 1111 ซึ่งสาเหตุต่างๆ ก็เป็นไปตามหนังสือ รวมถึงกรณีพิธีกรผู้ดำเนินรายการท่านหนึ่งมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ก็เป็นข้อร้องเรียนของประชาชน ทางศูนย์ฯ จึงทำหนังสือแจ้งมายัง สป.สธ. ตนจึงต้องทำหนังสือไปยัง นพ.สสจ. เพื่อให้ดำเนินการตามที่มีผู้ร้องเรียน
"เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด จะมีการทำหนังสือเวียนสั่งการอีกครั้ง เพื่อชี้แจงว่า สธ.ไม่ได้ปิดกั้นการรับข่าวสาร และขอให้ทางโรงพยาบาลพิจารณาในการเผยแพร่ข่าวสารสุขภาพ เปิดช่องทางการรับข่าวสารจากทุกช่องทางให้ครอบคลุม ซึ่ง สธ.ก็มีการผลิตสื่อความรู้สุขภาพให้ประชาชนอยู่แล้ว สามารถนำไปเผยแพร่ได้ทันที" รองปลัด สธ. กล่าว
**รพ.รามาฯหนุน สธ.ห้าม รพ.เปิดทีวีแช่ช่องเดียว
รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผอ.รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า ประมาณ 3-5 เดือนก่อน รพ.รามาธิบดีก็เคยถูกร้องเรียนเรื่องเปิดโทรทัศน์ให้ผู้รับบริการรับชมเพียงสถานีเดียวและผู้ดำเนินรายการข่าวก็เป็นบุคคลที่มีข้อกล่าวหาในทางกฎหมาย จึงพยายามปรับปรุงด้วยการไม่เปิดให้ชมสถานีใดสถานีหนึ่งเป็นเวลานาน โดยมอบหมายให้ฝ่ายสื่อสารองค์กรของโรงพยาบาล ทำหน้าที่สลับสถานีโทรทัศน์ เพื่อคนไข้และญาติได้รับชมหลากหลาย เนื่องจากโทรทัศน์ส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลจะเป็นการเชื่อมต่อสัญญาณร่วมกันที่ส่วนกลาง จึงสามารถควบคุมปรับเปลี่ยนสถานีได้จากส่วนกลาง เว้นบางจุดที่ยังเป็นโทรทัศน์ระบบเก่าก็อาจจะให้เจ้าหน้าที่ประจำจุดเป็นคนปรับสถานี เพื่อไม่ให้คนไข้หรือญาติเป็นคนปรับ เพราะจะเกิดการทะเลาะกันจากความต้องการที่แตกต่าง ทั้งนี้ นอกจากฟรีทีวีแล้ว รพ.รามาธิบดียังมีสถานีช่องรามาแชแนล ซึ่งเป็นสถานีของโรงพยาบาลเองเปิดให้ประชาชนรับชมเกี่ยวกับความรู้ต่างๆ ด้วย
“การออกหนังสือให้ ผอ.รพ.สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พิจารณาการสลับปรับเปลี่ยนช่องทีวีให้ประชาชนชม โดยหลักการไม่น่ามีปัญหา แสดงให้เห็นว่าไม่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง จึงไม่น่าเป็นเรื่องของการปิดกั้นการรับข่าวสารของประชาชน อย่างไรก็ตาม อยากให้คนไข้และญาติเข้าใจเรื่องข้อจำกัดของสัญญาณทีวีด้วย เนื่องจากจุดวางโทรทัศน์บางครั้งอาจเป็นจุดอับสัญญาณ ทำให้มีความคมชัดเพียงช่องใดช่องหนึ่งก็จำเป็นต้องเปิดให้ชมเพียงช่องเดียว” รศ.นพ.สุรศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แฟนเพจเฟซบุ๊ก "สายตรงภาคสนาม" ได้เผยแพร่หนังสือสั่งการของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) ซึ่งลงนามโดย นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัด สธ. เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2558 เรื่อง "เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการเปิดโทรทัศน์ของโรงพยาบาลรัฐ" ส่งถึงนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) ทุกจังหวัด โดยเนื้อหาภายในหนังสือมีใจความโดยสรุปว่า
ด้วย สป.สธ. ได้รับเรื่องผ่านศูนย์บริหารจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 กรณีมีผู้เสนอความเห็นเกี่ยวกับการเปิดรายการโทรทัศน์ของโรงพยาบาลรัฐ ในการเปิดรายการข่าวเฉพาะสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ให้ผู้ที่มารับบริการในโรงพยาบาลได้รับชม ซึ่งเป็นรายการข่าวที่ไม่เหมาะสม เพราะพิธีกรผู้ดำเนินรายการท่านหนึ่งเป็นผู้ที่มีความประพฤติไม่เหมาะสม ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชี้มูลว่าทำความผิดเรื่องการทุจริต และอัยการสูงสุดได้สั่งฟ้องแล้ว จึงเห็นว่าไม่เหมาะสมที่โรงพยาบาลของรัฐ จะเปิดรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ให้กับแพทย์ พยาบาล และประชาชน ที่เข้ารับบริการในโรงพยาบาลให้ได้รับชมกันต่อไป
สป.สธ. โดยสำนักบริหารการสาธารณสุขได้ขอให้กลุ่มกฎหมายพิจารณาแนวทางการปฏิบัติของโรงพยาบาล เนื่องจากอาจมีผลกระทบในข้อสั่งการ ซึ่งจากการพิจารณาพบว่า สป.สธ.ไม่มีกฎหรือระเบียบเกี่ยวกับการเปิดรายการโทรทัศน์ในหน่วยบริการ เพราะถือเป็นการบริหารงานภายในที่จะเลือกเปิดสถานีโทรทัศน์ได้ตามความเหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายระหว่างรอรับบริการ เพื่อมิให้เกิดข้อโต้แย้ง สป.สธ. จึงขอให้ นพ.สสจ. แจ้งหน่วยบริการในสังกัด สป.สธ. พิจารณาเปิดโทรทัศน์โดยหมุนเวียนเปลี่ยนช่องในแต่ละวัน และปิดประกาศให้ผู้มารับบริการทราบ จะทำให้ปัญหาข้อโต้แย้งดังกล่าวหมดสิ้นไปได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีหนังสือสั่งการดังกล่าว ทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดว่า สป.สธ.มีคำสั่งถึง สสจ.ทุกแห่งให้งดเปิดรายการข่าวช่อง 3 เสมือนเป็นการใช้มาตรการทางสังคมแบน นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา นักเล่าข่าวชื่อดัง และกรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม จำกัด เนื่องจากถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดว่ากระทำความผิด กรณีนายสรยุทธ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม โฆษณาเกินเวลา ขณะจัดทำรายการคุยคุ้ยข่าว ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท. ระหว่างปี 2548-2549 โดยไม่ชำระค่าโฆษณาเกินเวลาให้บริษัท อสมท จำกัด ( มหาชน) เป็นจำนวน 138.79 ล้านบาท
ทั้งนี้ นพ.วชิระ กล่าวถึงกรณีว่า หนังสือดังกล่าวเป็นเรื่องจริง ซึ่งหนังสือดังกล่าวออกไป เพราะมีประชาชนร้องเรียนที่ศูนย์ฯร้องทุกข์รัฐบาล 1111 ซึ่งสาเหตุต่างๆ ก็เป็นไปตามหนังสือ รวมถึงกรณีพิธีกรผู้ดำเนินรายการท่านหนึ่งมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ก็เป็นข้อร้องเรียนของประชาชน ทางศูนย์ฯ จึงทำหนังสือแจ้งมายัง สป.สธ. ตนจึงต้องทำหนังสือไปยัง นพ.สสจ. เพื่อให้ดำเนินการตามที่มีผู้ร้องเรียน
"เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด จะมีการทำหนังสือเวียนสั่งการอีกครั้ง เพื่อชี้แจงว่า สธ.ไม่ได้ปิดกั้นการรับข่าวสาร และขอให้ทางโรงพยาบาลพิจารณาในการเผยแพร่ข่าวสารสุขภาพ เปิดช่องทางการรับข่าวสารจากทุกช่องทางให้ครอบคลุม ซึ่ง สธ.ก็มีการผลิตสื่อความรู้สุขภาพให้ประชาชนอยู่แล้ว สามารถนำไปเผยแพร่ได้ทันที" รองปลัด สธ. กล่าว
**รพ.รามาฯหนุน สธ.ห้าม รพ.เปิดทีวีแช่ช่องเดียว
รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผอ.รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า ประมาณ 3-5 เดือนก่อน รพ.รามาธิบดีก็เคยถูกร้องเรียนเรื่องเปิดโทรทัศน์ให้ผู้รับบริการรับชมเพียงสถานีเดียวและผู้ดำเนินรายการข่าวก็เป็นบุคคลที่มีข้อกล่าวหาในทางกฎหมาย จึงพยายามปรับปรุงด้วยการไม่เปิดให้ชมสถานีใดสถานีหนึ่งเป็นเวลานาน โดยมอบหมายให้ฝ่ายสื่อสารองค์กรของโรงพยาบาล ทำหน้าที่สลับสถานีโทรทัศน์ เพื่อคนไข้และญาติได้รับชมหลากหลาย เนื่องจากโทรทัศน์ส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลจะเป็นการเชื่อมต่อสัญญาณร่วมกันที่ส่วนกลาง จึงสามารถควบคุมปรับเปลี่ยนสถานีได้จากส่วนกลาง เว้นบางจุดที่ยังเป็นโทรทัศน์ระบบเก่าก็อาจจะให้เจ้าหน้าที่ประจำจุดเป็นคนปรับสถานี เพื่อไม่ให้คนไข้หรือญาติเป็นคนปรับ เพราะจะเกิดการทะเลาะกันจากความต้องการที่แตกต่าง ทั้งนี้ นอกจากฟรีทีวีแล้ว รพ.รามาธิบดียังมีสถานีช่องรามาแชแนล ซึ่งเป็นสถานีของโรงพยาบาลเองเปิดให้ประชาชนรับชมเกี่ยวกับความรู้ต่างๆ ด้วย
“การออกหนังสือให้ ผอ.รพ.สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พิจารณาการสลับปรับเปลี่ยนช่องทีวีให้ประชาชนชม โดยหลักการไม่น่ามีปัญหา แสดงให้เห็นว่าไม่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง จึงไม่น่าเป็นเรื่องของการปิดกั้นการรับข่าวสารของประชาชน อย่างไรก็ตาม อยากให้คนไข้และญาติเข้าใจเรื่องข้อจำกัดของสัญญาณทีวีด้วย เนื่องจากจุดวางโทรทัศน์บางครั้งอาจเป็นจุดอับสัญญาณ ทำให้มีความคมชัดเพียงช่องใดช่องหนึ่งก็จำเป็นต้องเปิดให้ชมเพียงช่องเดียว” รศ.นพ.สุรศักดิ์ กล่าว
