ก่อนหน้านี้เราอาจจะแค่รู้จักเธอในฐานะ “น้องสาว” ของพระเอกลิเกนักร้อง “ไชยา มิตรชัย” ที่น้ำเสียง และความสามารถไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าพี่ชาย ทว่าวันนี้ชื่อเสียงของ “แอน มิตรชัย” ทะยานไปไกลสู่ระดับอินเตอร์เรียบร้อยแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าจากลิเกสาว ( เริ่มแสดงลิเกครั้งแรกตั้งแต่อายุ 5 ขวบ โดยมีพ่อและแม่ซึ่งเป็นครูฝึกลิเกเป็นผู้ฝึกหัดให้) จะกลายเป็นดาวดวงเด่นแห่งวงการ Bollywood และในเวลาต่อมา ก็กลายเป็นนักร้องระดับอินเตอร์ ที่มีราคาค่าตัวพุ่งสูงถึง 30 ล้านบาท และเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนที่จะพาลิเกไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล สวนทางกับข้อกล่าวหาที่ว่าเธอลืมรากเหง้าแห่งลิเก หันไปเอาดีทางขายเซ็กซี่ที่เมืองนอก
เธอเคยให้สัมภาษณ์ไว้ใน ASTV ผู้จัดการ Lite ว่า เส้นทางสู่ Boolywood ของเธอนั้น เหมือนราวกับพระเจ้าจะบันดาลดล และปูทางไว้ตั้งแต่ต้น ดังจะเห็นได้จากการที่เธอเองก็หลงใหลวัฒนธรรม การแสดงแบบอินเดียมาตั้งแต่เด็ก ถึงขนาดเคยลงเรียน India Dance โดยตรงมาแล้ว โดยไม่เคยรู้ว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสได้นำมาใช้อย่างจริงๆ จังๆ จนเมื่อวันนั้นมาถึง ภายหลังจากที่ความสามารถอันโดดเด่นเกิดไป “เข้าตา” ครูเพลงชาวอินเดีย ที่เคยปั้นศิลปินดังหลายต่อหลายคน และส่งให้หลายต่อหลายเพลงขึ้นชาร์ตมานับไม่ถ้วน
จากการพูดคุยที่เหมือนชะตาต้องกัน นำพาไปสู่การเจรจาทาบทามให้แอนมาร่วมทำงานเพลงเพื่อขายใน 2 ประเทศ คือไทย และอินเดีย โดยจะต้องร้องเป็นภาษาอังกฤษ และฮินดี้ (หนึ่งในภาษาอินเดีย) ก่อนที่ในเวลาต่อมา เพลงจากชุดดังกล่าว จะได้รับการติดต่อให้ไปเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ Bollywood ด้วยเหตุที่บังเอิญผู้กำกับภาพยนตร์มีโอกาสได้ฟังเพลงชุดนี้ กระทั่งเมื่อเห็นโปรไฟล์ของเธอ ที่เป็น “คนไทย” และมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการลิเก และการแสดง จากที่คิดว่าแค่จะนำเพลงไปประกอบภาพยนตร์ กลับกลายเป็นว่ามีการทาบทามให้เธอรับบทนำในภาพยนตร์เรื่องนี้ไปด้วยในคราวเดียวกัน ซึ่งนั่นก็คือเรื่อง Ishk Actually ที่แสดงคู่กับนักแสดงชื่อดังของอินเดีย ค่าตัวมากกว่าร้อยล้านบาท “ราจีฟ คานเดลวาล” (Rajeev Khandelwal) และเพลงที่ถูกเลือกมาประกอบภาพยนตร์ในครั้งนี้ ก็คือเพลง “Lucky tonight” และ “Forever More” ซึ่งเป็นภาษาฮินดี้และอังกฤษ รวมถึง Music Video Theme song อีกหนึ่งเพลงชื่อว่า “Injar Pinjar”
“การได้เข้า Bollywood มันไม่ใช่ความฝัน แต่มันเกินคาดฝันแล้ว มาได้ถึงขนาดนี้ จะเป็นยังไงต่อไป ขอแค่แอนมีโอกาสได้ทำและทำมันให้ดีที่สุด ถ้าเราทำได้และเราได้ทำ มันเป็นความสุขและมันพอแล้วค่ะ คนเราถ้าทำอะไรแล้วคาดหวังมากๆ มันจะกดดัน มันจะไม่สบาย มันเหมือนจะต้องแข่งกับอะไรตลอดเวลา แต่สำหรับแอน แอนไม่เคยคิด แอนคิดแค่ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว เมื่อทำดีที่สุดแล้วมันจะสบายใจและจะไม่กดดัน”
หลังจากนั้นก็ดูเหมือนอะไรก็ฉุดเธอไม่อยู่แล้ว ก้าวต่อไปในระดับสากลของแอน มิตรชัย ก็คือการมีผลงานในสังกัด Universal Music ที่วางขายไปทั่วโลก ในชื่ออัลบั้ม “Live My Life My Way” กับแนวเพลงป๊อป ผสานกลิ่นอายของอาหรับ แต่ก็ไม่ละเลยที่จะใส่เสน่ห์แบบไทยๆ ลงไปด้วย
“ดูอินเตอร์ขึ้นค่ะ เพราะว่าเนื่องจากเขาไม่ได้ทำให้แอนขายได้แค่ในตลาดอินเดีย แต่จริงๆ แล้วเขาอยากเปิดตลาดสากลเราด้วย เพราะว่าหนึ่งเลยคือแอนมีจุดประสงค์ที่จะทำตรงนี้เพื่อให้คนได้รู้ว่าจริงๆ แล้วการโกอินเตอร์หรือเพลงของแอน แอนจะต้องเอาอะไรที่เป็นไทยเข้าไปใส่ไว้ตลอด เพราะไม่อยากให้รู้สึกว่าเป็นอินเตอร์แล้วพอร้องเปิดมาแล้ว คนไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ร้องอินเตอร์เป็นใคร ชาติไหน เป็นคนประเทศอะไร แอนอยากให้เปิดตัวแล้วรู้เลยว่าแอนมาจากประเทศไทย
อย่างเพลง Live My Life My Way ที่เปิดตัวไปแล้วเพลงนี้จะเป็นเพลงที่พรีเซ็นต์ ว่าแอน มิตรชัยเป็นใครจากไหน เส้นทางที่จะก้าวเดินเป็นอย่างไร แล้วในเนื้อเพลงก็จะใส่ไว้เลยว่าเรามาจากการเป็นลิเก From Thailand ซึ่งคนก็จะรู้ว่าจริงๆ แล้วแอนก้าวเดินมาจากเวทีแห่งความเป็นลิเก คือเป็นคลาสสิคัลของประเทศไทยนั่นเอง”
ดูเหมือนว่าแอนจะภูมิใจกับรากเหง้าในความเป็นตัวตนคนลิเกของเธอยิ่งนัก ดังจะเห็นได้จากคำสัมภาษณ์ของเธอในทุกๆ วาระ โดยเฉพาะเมื่อเธอพูดถึงการที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับค่ายเพลงระดับโลกอย่าง Universal Music ที่เบื้องต้นนั้นแม้ทางผู้จัดการจะเพียรส่งโปรไฟล์ของเธอไปให้พิจารณาหลายครั้ง ก็ยังคงถูกเพิกเฉย แต่จุดที่ทำให้เธอกลายเป็นที่สนใจของค่ายเพลงยักษ์แห่งนี้ ก็คือความเป็นลิเกของเธอ
“แรกๆ เขาไม่ได้สนใจเราในสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะแต่งเซ็กซี่ เขาสนใจอย่างเดียวคือคุณเล่นอะไรตั้งแต่คุณเด็ก เขาเห็นภาพนั้นแล้วเขาก็พยายามที่จะค้นหาเรา แล้วเขาก็สนใจคำว่าอะไรคือลิเก ก็ได้มีการพูดคุยกันก็เลยทำเพลงออกมา”
โดยโปรดิวเซอร์ของอัลบั้มชุดนี้ มีหลายคนทั้งจากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา แต่หลักๆ ก็คือ “Eddie T Avil” (เอ็ดดี้ ที เอวิล) และ “Chetantan Bhatt” (จีรันทัล บัท) ซึ่งกว่าจะสำเร็จเป็นผลงานออกมาได้นั้น ต้องผ่านการตระเตรียมงานนานกว่า 1 ปี พร้อมทั้งจะมีการเดินสายโปรโมตไปทั่วเอเชียและยุโรปบางประเทศ
“ตอนนี้สิ่งที่แอนรู้สึกภาคภูมิใจ ก็คือการที่ได้นำมงกุฎของความเป็นลิเกไปสู่ตลาดสากล เราได้มีโอกาสเผยแพร่ วัฒนธรรมไทย คำว่า “ลิเก” ไปพร้อมๆ กับที่ได้รู้จักแอน
อย่างไรก็ตามอัลบั้มดังกล่าว เปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ปีที่แล้ว ที่อาคาร Universal Music ประเทศอินเดีย ก่อนจะมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ประเทศไทยบ้านเกิด เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
ไม่แปลกเลยที่ ณ ปัจจุบัน แอน มิตรชัย จะได้รับการยกย่องจากทั่วโลกว่า "Queen of Likay” พร้อมขนานนามเธอว่า "Ann Mitchai : She born to be Not! try to be” (แอน มิตรชัย : เธอเกิดมาเพื่อเป็น มิใช่พยายามจะเป็น)
ขณะที่ในเรื่องส่วนตัวของแอนที่น้อยคนนักจะรู้ ได้รับการเปิดเผยจากหนึ่งในคนใกล้ชิดของเธอว่า เห็นเธอแต่งเนื้อแต่งตัวเซ็กซี่แบบนี้ แต่ความจริงแล้ว แอนเป็นคนฝักใฝ่ในศาสนา ไหว้พระ ทำบุญอยู่เป็นนิจ แล้วก็ทุ่มเทให้กับเรื่องของงาน นำหน้าความรักเสมอ โดยเลือกที่จะไปเติบโตในวงการ Bollywood ทิ้งให้เรื่องราวความรักกับแฟนหนุ่มชาวต่างชาตินั้น เหลือเพียงความทรงจำดีๆ ระหว่างกันเท่านั้น
และแม้ว่าในขณะนี้เธออาจจะไม่มีเวลามากพอที่จะไปเดินสายตระเวนเล่นลิเกเหมือนก่อน นอกจากในโอกาสสำคัญๆ บางครั้งบางครา แต่ก็ได้รับการยอมรับในหมู่คนดูว่า คณะลิเกของเธอนั้น เป็นลิเกแบบร่วมสมัย ทั้งรูปแบบการนำเสนอ และการผสานด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างการนำจอ LED มาใช้ โดยเฉพาะถ้าเป็นการ “ปิดวิก” แสดงในสถานที่ใหญ่ๆ และคนดูเนืองแน่น ก็จะให้ชมผ่านจอ LED อย่างเมื่อคราวที่ไปแสดงที่จังหวัดอ่างทอง ก็เคยสร้างปรากฏการณ์มีผู้คนมาชมการแสดงแบบมืดฟ้ามัวดิน จนเต็มสนามฟุตบอล
ในราวกลางปีนี้ แอนกำลังจะมีโปรเจกต์ใหม่ และใหญ่ออกมาอีกครั้ง ส่วนจะเป็นในรูปแบบไหนนั้น ก็คงต้องจับตาดูกันต่อไป
ที่มา นิตยสารASTV สุดสัปดาห์ ฉบับที่ 280 14-20 มีนาคม 2558