xs
xsm
sm
md
lg

นาทีทองของ “แอน มิตรชัย” ดาวรุ่งเบอร์หนึ่งแห่ง Bollywood

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โกอินเตอร์สู่เส้นทาง Bollywood ได้อย่างสวยงามในฐานะนักร้อง-นักแสดงดาวรุ่งที่มีค่าตัวสูงเฉียด 30 ล้าน! แต่ใช่ว่าเส้นทางแห่งความสำเร็จจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ กลับเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความทรหดและคำครหาสารพัด ซึ่งหนึ่งในเรื่องที่บั่นทอนที่สุดคือข้อกล่าวหาที่ว่า “ทิ้งพี่ชาย ลืมลิเก และหันไปขายเซ็กซี่แลกชื่อเสียง-เงินทองที่อินเดียซะแล้ว”
วันนี้เองที่ “แอน มิตรชัย” จะได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เธอไปสร้างชื่อเสียงหรือชื่อเสียประดับไว้ในระดับอินเตอร์กันแน่?





เมื่อ “ดาวรุ่ง” ประกบ “ซูเปอร์สตาร์”
ประกบซูเปอร์สตาร์ “ราจีฟ”
“เรียกว่า “เป็นที่รู้จัก” ดีกว่าค่ะ แอนไม่อยากใช้คำว่า “ดัง” คือเวลาเราเดินไปไหนมาไหนที่นู่นในตอนนี้ เขาก็พอรู้จักค่ะว่าเราเป็นดารา”

นี่คือคำจำกัดความที่ “แอน-จริยา มิตรชัย” ให้ไว้เมื่อพูดถึงชื่อเสียงของตัวเองบนเส้นทางการโกอินเตอร์ในระดับ Bollywood แต่ถ้าติดตามกระแสตอบรับจากฝั่งอินเดียหลัง “When Love Happens” ภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตของเธอเข้าฉาย ตามมาด้วยเรื่อง “Ishk Actually” จะรู้ว่าเป็นคำตอบที่ค่อนข้างถ่อมตัวอยู่มากทีเดียว

เพราะตอนนี้ใครๆ ก็รู้จักเธอในฐานะ “ดาวรุ่งพุ่งแรงดวงใหม่” สาวไทยที่ไปโด่งดังในอินเดียถึงระดับได้ประกบคู่ “ราจีฟ คานเดลวา” ซูเปอร์สตาร์ชื่อดังคับฟ้า เทียบไปแล้วก็ไม่ต่างจากความฮอตของพระเอกหนุ่ม “เคน-ธีรเดช” ในบ้านเรานั่นเอง และคนที่ตื่นเต้นที่สุดในการกระทบไหล่คนดังในครั้งนี้ เห็นจะหนีไม่พ้นคนที่ติดตามเป็นแฟนคลับพระเอกอินเดียคนนี้มาทั้งชีวิต

“เราดูหนังเขามาเยอะมาก ไม่เคยคิดว่าจะได้เล่นหนังกับเขา เราเป็นแฟนเขามาก่อนน่ะค่ะ พอเปิดไปช่องนี้ก็เจอเรื่องนี้ เปิดไปอีกช่องนึง ก็เจอพระเอกคนนี้อีกละ เล่นหนังเล่นละครเยอะมาก (พูดไปยิ้มไปด้วยความปลื้มปีติ) ตอนแรกที่เขาให้เราไปเรียนแอ็กติ้ง เรายังไม่รู้ด้วยนะคะว่าพระเอกเป็นใคร คือด้วยความดีใจ พระเอกใครก็ได้ไงคะ (ประโยคนี้เล่นเอาคนที่ได้ยินหัวเราะไปพร้อมๆ กัน) เล่นได้หมดค่ะ (หัวเราะ) แค่นี้มันก็เกินฝันแอนมากแล้ว

พอวันประชุมใหญ่ ดาราทุกคนต้องมาเจอกัน แล้วก็มีผู้กำกับใหญ่มาประชุมกันหมดค่ะ เขาก็ถามว่ารู้มั้ยพระเอกเป็นใคร คุณราจีฟนะ เราก็ราจีฟไหน (ทำท่าตกใจ) พอรู้ก็กรี๊ดมาก (ลากเสียง) เพราะเราก็เป็นแฟนคลับเขามาก่อนนะ เวลาขึ้นสายการบินอินเดียก็จะเจอเพลงเขาบนเครื่อง ฉายอยู่บนจอ ดูมาตลอด ไม่คิดว่าวันนึงจะได้มาเล่นหนังคู่กัน แล้วคุณแม่ก็ปลื้มมาก (ลากเสียง) เพราะคุณแม่ชอบหนังอินเดียค่ะ ดูตั้งแต่ท้องเลย แล้วดูตอนท้องแอนด้วยนะ ท้องคนอื่นไม่ได้ดู (หัวเราะ) แม่ก็ดีใจค่ะที่ได้เล่นกับคุณราจีฟ

แอนถือว่าเป็นน้องใหม่ของ Bollywood เลยค่ะ แต่ถ้าจะพูดถึงว่าทำไมคนในวงการที่นู่นถึงค่อนข้างให้ความสนใจแอน ก็เพราะว่าแอนเหมือนเป็นสีสันใหม่ของ Bollywood ค่ะ เพราะดาราบ้านเขาเวลาเล่นหนังก็เล่นอย่างเดียว แต่แอนได้เข้าไปควบตำแหน่งเล่นหนังด้วย ร้องเพลงด้วย เพลงหนังก็เป็นเพลงที่เราร้องเอง แล้วตัวละครในหนังก็ใช้ชื่อ “แอน” เพราะเขาต้องการให้ชื่อแอนติดตลาด ก็เลยกลายเป็นว่าทำให้สื่อในอินเดียสนใจในตัวเรามาก”
โด่งดัง สื่ออินเดียจับตามอง
สาเหตุที่ทำให้ทั้งคอหนังและสื่อมวลชนสนใจสาวไทยที่ไปฉายแววดาราถึงฝั่งนู้น เป็นเพราะแอนสามารถร้องและเต้นเพลงอินเดียได้เป๊ะอย่างกับเจ้าถิ่น จนใครหลายๆ คนเข้าใจผิดว่ามีเชื้ออินเดียในสายเลือด พอมารู้ทีหลังว่าจริงๆ แล้วเป็นชาวต่างชาติที่หลงรักในวัฒนธรรมอินเดีย ยิ่งทำให้เธอดูน่าทึ่งในสายตาของพวกเขา ยิ่งรู้ว่าเธอโด่งดังในสายลิเกในบ้านเรา ยิ่งทำให้เธอเป็นที่น่าจับตามอง และทำให้ค่าตัวของเธอพุ่งสูงเป็นตัวเลขถึง 7 หลัก! สำหรับการโกอินเตอร์อย่างเป็นทางการของเธอ

“ที่ได้เท่านี้เพราะมันไม่ใช่ค่าตัวจากการเล่นหนังอย่างเดียวนะ คือรวมหมดแล้วค่ะทั้งที่เราเล่นหนังด้วยร้องเพลงด้วย บริษัทที่แอนเซ็นสัญญาเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงในยุโรป ฉะนั้น หนังเรื่องนี้เลยเหมือนการทำร่วมกันระหว่างยุโรปกับ Bollywood ค่ะ เลยทำให้หนังได้ไปฉายที่เทศกาลหนัง Berlin ด้วย ทำให้ตลาดขยายออกไป เราเลยกลายเป็นนักแสดงอินเตอร์ไปด้วย ทำให้ค่าตัวเรียกได้เยอะหน่อยค่ะ




ขายเซ็กซี่ ทิ้งลิเก?
ถ่าย MV เซ็กซี่จนเป็นประเด็น
เมื่อมี “สรรเสริญ” ก็ต้องมี “นินทา” ทันทีที่มิวสิควิดิโอเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอเผยแพร่ลงบน Youtube เพลง “Lucky Tonight” ก็ฮิตติดชาร์ตที่อินเดียอย่างรวดเร็ว ส่งให้เธอกลายเป็นนักร้องดาวรุ่งผู้พ่วงตำแหน่งนางเอกภาพยนตร์ที่น่าจับตามองที่สุดเพียงชั่วข้ามคืน

ด้วยแรงกระเพื่อมนี้เองที่ส่งสัญญาณความโด่งดังมาถึงประเทศไทย แต่ผลตอบรับที่ได้กลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามราวฟ้ากับเหว ชาวไทยหลายต่อหลายคนถึงกับช็อก! หลังได้ดู MV เพลงนี้ เพราะเรื่องราวในนั้นเต็มไปด้วยภาพเธอโชว์เซ็กซี่ในชุดว่ายน้ำ เป็นแอน มิตรชัยในเวอร์ชันที่ชาวไทยไม่เคยรู้จัก โดยเฉพาะมิตรรักแฟนเพลงของเธอที่ติดตามมาตลอดในฐานะ “นางเอกลิเกขวัญใจมวลชน”

“เพลง Lucky Tonight กับการถ่ายเซ็กซี่ของแอนมาเป็นประเด็นในไทย เพราะหลายคนคิดไปว่าเราจะเปลี่ยนแนวไปนุ่งบิกีนี่แล้วเหรอ จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ไปเป็นโชว์เซ็กซี่ที่อินเดียแล้วใช่มั้ย เราลืมความเป็นไทยไปหรือเปล่า ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ เพลงโปรโมตหนังมันมี 2 เพลง อีกเพลงนึงแอนใส่ชุดส่าหรีเต้น แต่ด้วยความแรงของเพลงโปรโมตเพลงแรก มันก็เลยทำให้อีกเพลงที่แต่งชุดธรรมดาไม่เป็นกระแส

จริงๆ แล้วเนื้องานมีทั้งที่เป็นส่วนของหนังและ MV เขาไม่ได้ต้องการพุ่งความสนใจไปที่การถ่ายบิกินี่อยู่แล้ว แต่สำหรับคนไทยมันอาจจะแรง เพราะทุกคนมองแอนในรูปแบบของลิเกมาตลอดไงคะ พอเห็นภาพเปลี่ยนไปปุ๊บ เฮ่ย! จะไปแนวนี้เลยเหรอ โห! เซ็กซี่เยอะขนาดนี้เลยเหรอ เลยกลายจุดที่คนให้ความสนใจ แต่ถ้าไปลองถามคนอินเดียดูจะรู้ค่ะว่า เขาไม่ได้ให้ความสนใจไปที่งานเดียว พอเพลงดัง MV ดัง หนังก็ดังไปด้วย สำหรับบ้านเขามันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วค่ะว่า ต้องมีเซ็กซี่นิดนึงนะ

ส่วนเรื่องถ่ายเซ็กซี่ในมุมมองของแอน จริงๆ แล้วแอนเป็นคนมีหัวสมัยใหม่อยู่แล้วค่ะ มุมมองของแอนมันเลยกลายเป็นบวก แอนเลยจะไม่คิดถึงคนที่พูดถึงเราในแง่ลบเท่าไหร่ค่ะ เพราะความจริงคือเราไม่ได้ไปถ่ายหนังอาร์ เราไม่ได้ไปทำเสื่อมเสีย ถ่ายเซ็กซี่มันต้องมีลิมิตอยู่แล้ว นางเอกในไทยก็ถ่ายกันตั้งเยอะ ฉะนั้น แอนไปทำงาน แล้วงานของแอนครั้งนี้มันก็เป็นงานอินเตอร์ด้วยซ้ำ การจะนุ่งบิกีนี่สักชิ้นมันคงไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้าเรานุ่งบิกินี่แล้วไปทำพฤติกรรมไม่ดีก็อีกเรื่องหนึ่งค่ะ แต่นี่เราก็ประพฤติตัวอยู่ในกรอบตลอด ไม่ได้มีข่าวไม่ดี
คู่ขวัญแม่ยก พี่เอ-น้องแอน
แต่พอเราไปถ่ายอะไรแบบนี้ ก็ทำให้แฟนๆ บางกลุ่มเข้ามาพูดกับเราด้วยท่าทีไม่เข้าใจเยอะเหมือนกันนะ บางคนหาว่าเราทิ้งลิเกแล้วไปขายเซ็กซี่แทน มีเข้ามาเขียนคอมเมนต์ว่าทำไมถึงทิ้งพี่เอ (ไชยา มิตรชัย) ไปล่ะ แต่เราก็ไม่ได้ตอบอะไร เพราะคิดว่าการพูดมันไม่สามารถทำให้คนกลับมาเชื่อได้ทั้งหมด พูดไป อีกคนนึงเข้าใจ แต่คนอีกเป็นร้อยก็อาจจะไม่เข้าใจก็ได้ เพราะฉะนั้นก็รอเวลาหน่อย ตอนนั้นก็คิดแค่นี้ค่ะ ไม่อยากคิดเยอะ ต้องบอกว่าทำงานที่อินเดียต้องทุ่มเทมากนะทั้งแรงกายแรงใจ ณ ตอนนั้นถ้าแอนไม่มีกำลังใจ งานตรงนั้นก็คงไม่สำเร็จ” เธอย้อนรอยความเจ็บปวดให้ฟังด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว

ในช่วงที่ต้องต่อสู้อยู่เพียงลำพังที่อินเดีย ต้องเทกคอร์สเรียนภาษาอินเดีย, เพลงฮินดี้, เรียนการแสดง, ถ่ายภาพยนตร์ และอัดเพลง ครอบครัวคือกำลังใจสำคัญในวันที่อีกหลายๆ คนไม่เข้าใจแอน

“เคยกลับมาแล้วกอดพ่อแล้วร้องไห้เลย พ่อก็บอกว่าไม่ต้องกลัว ไม่ต้องฟังใครนะ พ่อเชื่อใจหนู พ่อรู้จักดีว่าเราเป็นคนยังไง เราเป็นลูกของแก ทุกอย่างเรามีความชัดเจน เราไม่ทิ้งจุดยืนแน่นอนค่ะ เราจะเป็นศิลปินที่ขายผลงาน เราไม่ได้ขายวิญญาณ ได้เงินแล้วทำได้ทุกอย่างนั่นไม่ใช่แอน พ่อเชื่อเพราะว่า พ่อรู้จักแอนในระดับนึง ตรงนี้ก็เลยไม่เป็นปัญหาเลยค่ะ

จริงๆ แล้ว คุณพ่อแอนไม่เห็นด้วยกับการแต่งเซ็กซี่อยู่แล้วนะแต่ไหนแต่ไร กลัวโป๊ แต่ด้วยเวลามันเปลี่ยนไป เขาก็เห็นว่าเราโตขึ้นด้วยแล้วในระดับนึง มีความรับผิดชอบงานของตัวเอง โตพอแล้ว และเราพิสูจน์ตัวเองให้เขาเห็นได้แล้ว ทุกวันนี้คุณพ่อก็จะปล่อยเรา 50 เปอร์เซ็นต์ค่ะ อยากทำอะไรทำ อีก 50 เปอร์เซ็นต์ขอแค่บอกว่าจะทำอะไร




นางเอกเกรด A

ไม่ว่าจะโดนกล่าวหาเรื่องอะไร ก็ไม่เจ็บปวดใจเท่าหาว่าเธอ “ทิ้งพี่เอ ทิ้งคณะลิเก” อีกแล้ว เพราะตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตต่อสู้ทำตามความฝันที่อินเดีย แทบจะไม่มีเสี้ยวนาทีไหนเลยที่เธอไม่คิดถึงการร้องรำบนเวทีอันคุ้นเคย

“ต้องบอกก่อนว่า คณะลิเกของเรา ไชยา-แอน เราเป็น 2 คนพี่น้องที่เล่นลิเกด้วยกันมาตลอดตั้งแต่เด็ก พี่เอไปไหน แอนไปด้วย เป็นพระเอก-นางเอกคู่ขวัญ ใครเห็นไชยาก็ต้องเห็นแอน ทีนี้พอเราไปอินเดียแรกๆ เราต้องทิ้งวงลิเกไป ซึ่งเกิดมาทั้งชีวิตเราไม่เคยทำอย่างนั้นเลยค่ะ เรามีงานลิเกทั้งปีมาตลอด 20 กว่าปี เล่นมาตั้งแต่ 5 ขวบ ไปด้วยกันตลอด ก็เคยมีบ้างช่วงที่ต้องแวะไปทำงานที่อินเดีย แต่ตอนนั้นก็ขาดไปไม่กี่วัน ไปอัดเพลง ไปเรียน แล้วก็กลับ แต่ช่วงหลังๆ คือไปอยู่เลย เลยยิ่งคิดถึงไปใหญ่เลยค่ะ

ตอนที่แอนอยู่ไทย แอนไม่ได้แค่แสดงไงคะ แอนทำทุกอย่าง ตั้งแต่ประชุมเลยค่ะ เหมือนเป็น CEO เป็นคนบอกว่าคืนนี้เล่นเรื่องอะไร จะเป็นคนที่เปลี่ยนจากระบบครอบครัวมาเป็นระบบบริษัท เป็นคนดูเรื่องบท กำกับด้วย ถัดมาจากยุคคุณพ่อก็จะเป็นแอนนี่แหละค่ะที่ดูแล แล้วพอเราต้องบุกเดี่ยวไปอินเดีย ใจเราหายๆ นะ คิดกับตัวเอง โห! นี่ 100 วันแล้วนะที่ไม่ได้เล่นลิเก นี่มัน 4 เดือนแล้วนะ บางทีต้องไปเรียน 7 ชั่วโมง เช้าเรียนภาษา ตกบ่ายเข้าออฟฟิศไปเรียนแอ็กติ้ง บางทีใจเราก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว ใจลอยไปที่คณะลิเกละ ป่านนี้พี่เอจะเป็นไงบ้าง อยู่นั่นต้องการกำลังใจจากครอบครัวมากๆ คุณพ่อก็จะอวยชัยให้พรตลอด บอกจะไหว้พระให้ ส่วนพี่เอก็จะโทร.หากันตลอดเลยค่ะ” เธอกะพริบตาถี่เมื่อเอ่ยถึงเรื่องราวในครอบครัว
บทสาวร็อก ภาพยนตร์โกอินเตอร์
ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ แต่แอนยืนยันว่าเธอได้วางตัวอย่างดีที่สุดสำหรับในการเป็นดารา Bollywood เทียบกับหลายๆ คนยังถือว่าเลือกที่จะทำหรือไม่ทำได้ในระดับหนึ่ง เพราะเธอคือนางเอกดาวรุ่งระดับแถวหน้าในตอนนี้เลย

“เรื่องการรับงาน เราก็มีลิมิตค่ะ อย่างหนังเรื่องนี้ พอเขาวาง position ให้เราเป็นนางเอกที่ระดับโอเค ถ้าแบ่งเป็นเกรด A, B, C เราก็ถือว่าเกือบได้ขึ้น A แล้วค่ะ เพราะเราได้ประกบคู่กับราจีฟซึ่งเป็นบิ๊กสตาร์ของเขา แน่นอน จุดยืนเรามันชัดเจนขึ้น แล้วเราก็ถือว่าเป็น Ambassador ของเมืองไทยด้วยค่ะ เป็นตัวแทนวัฒนธรรม เพราะแอนได้รางวัลเป็นผู้สืบสานวัฒนธรรมไทยจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยค่ะ การจะมาทำอะไรเกี่ยวกับจุดนี้ เราเลยจะลิมิตตัวเองอยู่แล้ว
ผูกพันกับลิเกมาทั้งชีวิต
ส่วนเรื่องจะทิ้งลิเกออกจากชีวิตนั้น ไม่เคยมีอยู่ในหัวของแอน เพราะเธอมีแต่ความคิดที่ว่าจะทำอย่างไรให้ความงดงามของลิเกไทยไปวาดลวดลายในโลกกว้างได้อย่างสง่างาม

“เรามีการพูดคุยแล้วว่าเราจะไม่ทิ้งความเป็นลิเกค่ะ แต่มันก็ต้องค่อยๆ ขยับทีละนิด เริ่มแรกเราเพิ่งก้าวเข้าไปในวงการบ้านเขา เราจะเสนอไอเดียอะไร จะไปพูดอะไรกับเขาเยอะก็ไม่ได้ เราต้องแสดงสปิริตในส่วนของงานเขาด้วยค่ะ การทำงานของฝรั่ง เขาจะมองเราว่าเรามาจากจุดไหน จุดขายของเราคืออะไร จุดเด่นคืออะไร ก็คือความเป็นลิเก และด้วยความที่เราไม่ใช่คนอินเดียเลย เราต้องแนะนำให้คนอินเดียรู้จักเราอีกครั้งนึงในความเป็นเราว่า เธอมาจากไหน ทำไมเธอถึงมีชื่อเสียงในประเทศไทย และทำไมถึงได้ขยายตลาดเข้ามาสู่ Bollywood เพราะฉะนั้น เพลงอินเตอร์ของแอนเลยมีพาร์ตนึงที่แอนเอาชุดลิเกไปใส่ มันเป็นไฮไลต์ของเพลงเลยค่ะ

การที่เราเอางานเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่หลังจากหนังเรื่องนั้นจบไปแล้ว ถ้าแอนเอาความเซ็กซี่หรือความเป็นอินเตอร์เข้าไปขาย แอนบอกได้เลยว่าแอนต้องเดินกลับบ้านนะ เพราะเขาไม่สนใจหรอก เราจะเอามะพร้าวไปขายสวนได้ยังไง เขามีมะพร้าวเยอะอยู่แล้ว จะยกมะพร้าวไปขายเขาอีก มันไม่ได้ มันไม่มีใครสนใจหรอก

เพราะฉะนั้น เราก็เอาความเป็นเรานี่แหละไปเสนอ จะบอกว่าแอนส่งผลงานของตัวเองไปเยอะมากนะคะ ทั้งงานเพลง งานละคร หนังเรื่องล่าสุดของ Bollywood ด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่เขาถามกลับมาคือ “อะไรคือลิเก?” เพราะเขาเห็นรูปเรายืนอยู่บนเวทีลิเกตั้งแต่ตอน 5 ขวบจนมาถึงทุกวันนี้





ฟ้าลิขิตให้ “โกอินเตอร์”

“มันคงเป็นโชคชะตา” คำพูดหลายๆ อย่างระหว่างบทสนทนานี้ บ่งบอกว่าแอนกำลังรู้สึกแบบนี้อยู่ เธอคิดว่าเส้นทางสู่ Bollywood ของตัวเองช่างเกินคาดฝัน เพราะมันเริ่มมาจากจุดเล็กๆ เพียงแค่มีชายชาวอินเดียที่ชื่อ “เอ๊ดดี้” มาตามดูเธอเล่นลิเกตามที่ต่างๆ อยู่พักใหญ่ๆ จนมารู้ทีหลังว่าชายปริศนารายนี้คือ “ครูเพลง” ชื่อดังผู้แต่งเพลงมือฉมังที่ปั้นให้หลายเพลงขึ้นชาร์ตมาแล้วนักต่อนัก

“ตอนที่แสดงโชว์ที่ Indoor Stadium หัวหมาก กับศูนย์วัฒนธรรม มันมีโชว์จากหลายประเทศ ทั้งจากทิเบต, จีน, แล้วก็มีเราเป็นโชว์ลิเก ที่เป็นตัวแทนวัฒนธรรมไทย แอนก็ออกไปเล่นลิเกประยุกต์ค่ะ เอาเพลงอินเดียเข้ามาเต้น-เข้ามาร้องในเนื้อเรื่องด้วย พอเขามาตามดูเราสักพัก เขาก็สนใจ เข้ามาถ่ายรูป เข้ามาคุย มาถามว่าทำไมถึงร้องเพลงอินเดียได้ เป็นคนอินเดียหรือเปล่า ตอนแรกเขาไม่เชื่อว่าเราเป็นคนไทย”

หลายคนอาจคุ้นชินกับ “แอน มิตรชัย” ในภาพของนางเอกลิเกมากที่สุด แต่ถ้าเป็นแฟนคลับตัวยง ติดตามโชว์ของเธอจริงๆ จะรู้ว่าเธอสนใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับอินเดียมานานมากแล้ว แอนเคยลงเรียนเกี่ยวกับ India Dance โดยตรงและสนใจด้านนี้เป็นพิเศษอยู่แล้ว

“ทำมาตั้งแต่เด็กเลยค่ะ เพียงแต่เราไม่ได้มาออกสื่อและพูดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่แฟนๆ เองจะรู้ดีค่ะว่าแอนเรียนมาด้านนี้ เราเต้นอินเดียมานานมากแล้ว มีร้องเพลงอินเดีย ร้องเพลงจีนด้วย พยายามเอาหลายๆ อย่างมาประยุกต์ใช้กับคณะลิเกของเรา

หลังจากพูดคุยถูกคอกับครูเพลงชาวอินเดีย ความตั้งใจอยากลองอะไรใหม่ๆ หลายๆ อย่างของแอนก็ชัดเจนยิ่งขึ้น “เราก็กำลังจะมีโชว์ อยากฝึกเพลงอินเดียเพื่อเอามาใช้ในโชว์ ก็เลยคุยกับเขาให้ช่วยหาครูมาฝึกสอนให้หน่อยได้มั้ย เขาเสนอว่างั้นก็มาเรียนกับฉัน เดี๋ยวฉันจะสอนให้ เพราะเขาก็มาไทยบ่อย บางทีเวลามีหนัง Bollywood มาตั้งกองถ่ายในไทย เขาก็มาด้วยค่ะ เพราะเขาเป็นคนแต่งพวกเพลงประกอบภาพยนตร์อยู่แล้ว เราก็เลยตกลงว่าจะเรียนร้องเพลงอินเดียกับเขาแล้วเอามาใช้

ตอนหลัง เขาก็แนะนำเราให้เพื่อนเขาที่ทำงานในวงการอินเดียรู้จักค่ะ เพื่อนเขาคนนี้เป็นเจ้าของสตูดิโอ มาดูเราโชว์ในกรุงเทพฯ แล้วเขาก็มาคุยกับเราว่า คุณสนใจจะทำเพลงขาย 2 ประเทศมั้ย ร้องเป็นภาษาอังกฤษกับภาษาฮินดี้ (หนึ่งในภาษาอินเดีย) แล้วก็ขายกลุ่มแฟนๆ คุณในไทยกับในอินเดีย ซึ่งในอินเดียเขาจะโปรโมตเอง เราก็คิดว่า เอ้อ! น่าสนใจนะ อย่างน้อยเราก็เอาอะไรเกี่ยวกับอินเดียมาใช้ในโชว์บ้านเราได้ด้วย ก็เลยตัดสินใจไปอินเดียเพื่อเข้าห้องอัดกับเขาดูค่ะ”

แล้วเรื่องราวก็ดำเนินมาเรื่อยๆ เพราะคำว่า “อยากทำ” ตอนแรกๆ ครอบครัวมิตรชัยก็กลัวลูกสาวจะถูกหลอกเหมือนกัน แต่หลังจากช่วยเป็นหูเป็นตากันสักพักใหญ่ๆ ลองเสิร์ชชื่อครูเพลงใน google ดูปรากฏว่าเจอของจริง เพราะเขาคือปรมาจารย์นักแต่งเพลง ถือว่าเป็นคนใหญ่คนโตของวงการบันเทิง Bollywood อยู่เหมือนกัน แต่ถึงจะรู้อย่างนั้น แอนก็ไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่า จะโด่งดังได้จากน้ำมือของเขาคนนี้

เพลงที่เขาให้อัด มีอยู่ทั้งหมด 5 เพลงค่ะ เป็นเพลงแนวฮินดี้โบราณ 4 เพลงเลย มีแค่เพลงเดียวที่เป็นอิงลิช-ฮินดี้แนว Modern คือมี 2 ภาษาอยู่ในเพลงด้วย แล้วตอนที่แอนอัดร้องอยู่ในสตูดิโอ เพื่อนเขาที่เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ก็เข้ามาหาพอดีค่ะ มาถึงได้ยินที่เราร้องก็ถามเอ๊ดดี้เลยค่ะว่าเพลงนี้เพลงอะไร ขอเอาไปเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ได้มั้ย เขากำลังจะสร้างหนังเรื่องนึงพอดี แล้วเขาก็ถามต่อว่าใครเป็นคนร้อง เอ๊ดดี้ก็บอกไปว่าเป็นนักร้องใหม่ของฉันเอง แต่เขาเป็นคนไทยนะ

ด้วยคำว่า “คนไทย” นี่แหละที่ทำให้ผู้กำกับชาวอินเดียรู้สึกสะอึกและสนใจในตัวเจ้าของเสียงร้องขึ้นมา ครูเพลงของแอนจึงเอาข้อมูลที่เกี่ยวกับแอนทั้งหมดให้พิจารณา “พอเห็นว่าเราเป็นคนมีชื่อเสียงยังไงในประเทศไทย เราเป็นผู้นำเรื่องลิเก หลังจากเราอัดร้องเสร็จ กลับมาไทยแล้ว เอ๊ดดี้ก็โทร.มาบอกค่ะว่า เพื่อนเขาที่เป็นผู้กำกับชอบเพลงมาก ต้องการเอาเพลงนี้ไปเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์”




เกิดมาเพื่อสิ่งนี้!

เรื่องตื่นเต้นยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น! นอกจากเพลงที่เธอร้องในภาษาอังกฤษ-ฮินดี้ จะได้เอาไปใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์แล้ว โชคยังหล่นมาทับเธออีกเป็นชั้นที่ 2 หลังจากทุกคนในที่ประชุมได้เห็น Profile ของแอน ชวนให้รู้สึกว่าช่างน่าค้นหา บวกกับคาแร็กเตอร์ของตัวละครในเรื่องเหมาะกับเธอดี จึงตัดสินใจมอบบท “นางเอก” ให้ด้วยความเต็มใจ

“เขารู้ว่าเรามีชื่อเสียง มีละคร มีดรามา มีซีรีส์ในไทย พอดีว่าตัวละครตัวนึงในเรื่องต้องเป็นนักร้อง และไม่จำเป็นว่าต้องเป็นคนอินเดีย เพราะหนังอินเดียสมัยใหม่เขาจะทำออกแนว Hollywood ค่ะ ก็เลยเน้นลูกครึ่งมาเน้นซะส่วนมาก เขาก็เลยโทร.มาบอกว่าอยากให้เราเล่นหนัง

แค่ตอนรู้ว่าได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เราก็ดีใจมากแล้วค่ะ ตอนรับโทรศัพท์ก็ไม่ได้ถึงขนาดกรี๊ดหรือกระโดดนะ (หัวเราะ) แต่มันตื่นเต้นมาก โทร.ไปบอกพี่เอเดี๋ยวนั้นเลย ดีใจมากค่ะเพราะเรารู้ว่าการทำงานกับฝั่งอินเดียมันไม่ได้ง่าย เราเองก็ไปใช้ภาษาที่ไม่ใช่ภาษาบ้านเรา แล้วยิ่งพอรู้ว่าจะได้แสดงหนังยิ่งคิดไปใหญ่เลย นี่เราต้องเรียนอะไรเพิ่มหรือเปล่า ต้องลดน้ำหนักมั้ย หลายสิ่งมาก (ยิ้ม) คิดไปต่างๆ นานาจนได้เดินทางไปอยู่ที่นั่นเลยเพื่อถ่ายหนัง

ตารางออกมาว่าเราจะต้องมีเรียนภาษาเพิ่มอีกค่ะ เพราะหนังอินเดียจะใช้ 3 ภาษา มีฮินดี้, อิงลิช, แล้วก็อูรดู (ภาษาอิสลาม) ต้องพูดหลายภาษาเพราะคนอินเดียมีหลากเชื้อชาติมากค่ะ เดินไปมุมนี้คุณเจออิสลาม พอเดินไปอีกมุมพูดอีกภาษานึงละ เพราะภาษาในอินเดียมี 3,000 กว่าภาษา ภาษาใต้ใช้ทมิฬ ภาษากลางใช้ฮินดี้ บางทีคนที่นั่นเขาก็พูดผสมๆ กันค่ะ เราก็เลยต้องเรียนรู้เยอะ พอช่วงก่อนเปิดกล้อง 3 เดือน ไม่ได้กลับไทยเลยเพราะต้องทุ่มเทให้ตรงนั้น รายละเอียดเยอะ ต้องทำอะไรหลายอย่างมาก” แม้จะเป็นเรื่องราวในวันวาน แต่น้ำเสียงของคนเล่ายังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คล้ายเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง

“โชคดีมากเลยค่ะที่ได้ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ เพราะเขาเคยบอกไว้ว่าคนที่ได้ร้อง Movie Song จะ popular เพราะแผนการตลาดของที่อินเดียจะเป็นแบบนี้ค่ะ คือเขาจะออกเพลงโปรโมตหนังมาก่อน 3 เดือน พอโปรโมตเพลงแล้ว เพลงติดปุ๊บคนก็จะตามไปดูหนัง คือที่อินเดียจะเน้นขายเพลงก่อน ซึ่งอาจจะต่างจากที่ไทยที่อาจจะเน้นฉายโฆษณาหนังมากกว่า

ลองย้อนมองเส้นทางความบังเอิญที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ทำให้แอนอดคิดไม่ได้ว่าอาจจะเป็นความบังเอิญที่คนเบื้องบนทำให้เกิดขึ้น หรือที่เรียกง่ายๆ ว่าเป็น “โชคชะตา” คิดดูว่าเธอเลือกศึกษาวัฒนธรรมเกี่ยวกับอินเดียด้วยความคลั่งไคล้มาตั้งแต่เด็กๆ ลงเรียนหลายสิ่งหลายอย่างเอาไว้โดยไม่คิดว่าวันนึงจะได้ใช้ แต่มาจนถึงตอนนี้ ทุกสิ่งที่อยู่ในตัวเธอกลับถูกดึงออกมาใช้ทั้งหมด ราวกับว่าเธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ

“ปกติแล้ว ลิเกจะมีกลิ่นอายมาจากทางอินเดียอยู่แล้วค่ะ ทั้งการแต่งหน้า-แต่งตัว เพราะลิเกมาจากแขกค่ะ ซึ่งเราก็ศึกษาทุกอย่างอยู่ตลอด ถ้าเป็นลิเกคณะอื่นเขาอาจจะไม่ได้เอาความเป็นอินเดียมาประยุกต์ไงคะ ก็จะมีแต่แอนที่แปลก เหมือนแตกเหล่าแตกกอ ชอบเต้นอินเดีย ชอบเอาเพลงอินเดียมาร้อง

แอนเรียนหมดเลยค่ะ 7 Classical India Dance, Belly Dance, ละติน, แจ๊ส ฯลฯ เป็นลิเกที่อินเตอร์มาก (ยิ้มกับตัวเอง) เรียนมาตั้งแต่อายุ 13-14 เลยค่ะ เทกคอร์สเรียนเต้นเองมาตลอด เราก็ไม่เคยคิดว่าจะได้มาใช้ที่อินเดียในตอนนี้นะ ก็เลยรู้สึกว่าเส้นทางนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดมาแล้วว่า ทำไมเราต้องเต้นแบบนี้ ทำไมเราไม่ไปเต้นแนวเกาหลี เราก็ไม่รู้ไง ซึ่งจริงๆ แล้วถามว่าเราติดหนังเกาหลีมั้ย เราก็ติดนะ ญี่ปุ่นเราก็ชอบดูซีรีส์ ไปเที่ยวที่นั่นก็บ้าคลั่ง แต่งตัวตามเขา แต่สุดท้าย มันชัดมาเลยว่าเราต้องมาทางอินเดีย เราชอบส่าหรี ชอบเต้นอินเดีย ชอบแต่งหน้าแนวอินเดีย ชอบอะไรแนวนี้หมดเลย

เวลาอยากจะเรียนอะไร แอนจะขวนขวายไปเรียนเองหมดค่ะ เรียนภาษาก็ขอไปเอง แอนเรียนจีนด้วยนะ เรียนกู่เจิง ดีดกีตาร์ก็หัดเอง แล้วเชื่อมั้ยว่าในหนังเรื่องนี้แอนมีฉากต้องดีดกีตาร์ด้วยนะ (ยิ้ม) เราก็แบบ อื้อหือ... เหมือนชีวิตมันถูกกำหนดมาแล้วป่ะนะ ยังคุยกันกับเพื่อนอยู่เลยค่ะว่า ได้ดีดกีตาร์ในฉากด้วย คิดดูสิว่าสิ่งที่เราเคยทำ แต่ไม่เคยมีใครได้เห็น มันได้มาอยู่ในหนังด้วยนะ” แววตาของเธอมีความเชื่อบางอย่างฉายเอาไว้อย่างแจ่มชัด

“การได้เข้า Bollywood มันไม่ใช่ความฝัน แต่มันเกินคาดฝันแล้ว (ยิ้ม) มาได้ถึงขนาดนี้ จะเป็นยังไงต่อไป ขอแค่แอนมีโอกาสได้ทำและทำมันให้ดีที่สุด ถ้าเราทำได้และเราได้ทำ มันเป็นความสุขและมันพอแล้วค่ะ คนเราถ้าทำอะไรแล้วคาดหวังมากๆ มันจะกดดัน มันจะไม่สบาย มันเหมือนจะต้องแข่งกับอะไรตลอดเวลา แต่สำหรับแอน แอนไม่เคยคิด แอนคิดแค่ว่าเราทำดีที่สุดแล้ว เมื่อทำดีที่สุดแล้วมันจะสบายใจและจะไม่กดดัน

และตรงนี้ แอนก็เชื่อว่าคนไทยหลายคนคงจะภูมิใจในสิ่งที่แอนทำ และร่วมภูมิใจกับแอน แต่จะทำได้มากน้อยแค่ไหน ไม่มีใครกำหนดทุกอย่างได้ แอนมองว่าเมื่อมันมาได้ถึงขนาดนี้แล้ว เราก็ไม่คาดหวังอะไรแล้วค่ะ ขอแค่ทำดีที่สุด






---ล้อมกรอบ---
ประวัติส่วนตัว

ชื่อ: แอน-จริยา มิตรชัย
วันเกิด: 31 พ.ค 2528
พี่น้อง: 3 คน เป็นพี่สาวคนกลาง มีพี่ชาย (เอ-ไชยา) และน้องชาย (มิตร)
ผลงานใน Bollywood: มิวสิกวิดีโอเพลง "Lucky Tonight" และ "Injar Pinjar", ภาพยนตร์เรื่อง “When love happens” และ “Ishk Actually”, เพลง "Lucky tonight" และ "Forever More" ประกอบภาพยนตร์เรื่อง Ishk Actually
รางวัล: ได้รับรางวัลพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะผู้สืบสานวัฒนธรรมไทยดีเด่น




---ล้อมกรอบ---
ทำไมต้องวิ่งหลบหลังต้นไม้?

ถ้ากำลังสงสัยว่าหนังที่แอนได้เล่นเป็นนางเอกจะมีฉากวิ่งตามไหล่เขา-ร้องเพลง-หลบหลังต้นไม้ หรือเปล่า? ตอบให้ตรงนี้เลยก็ได้ว่าไม่มี

“ฉากแบบนั้นเคยมีเมื่อก่อนค่ะ ด้วยภูมิประเทศด้วยเลยทำให้บทออกมาแบบนั้น วัฒนธรรมและภูมิประเทศของแต่ละที่ก็จะต่างกัน อย่างของเขา คนอินเดียจะสุนทรีย์ รักการฟังเพลง รักการเต้น อยู่กับป่ากับเขาแล้วเขามีความสุข มันเป็นไลฟ์สไตล์ของเขาค่ะ ก็เลยเห็นละครสมัยก่อนมีฉากวิ่งแบบนั้น เทียบแล้วก็น่าจะคล้ายๆ คนไทยที่ต้องมีละครพีเรียด ใส่ชุดไทย แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วค่ะ 80-90 เปอร์เซ็นต์กลายเป็นหนังแนว Modern เน้นแอ็กชันเป็นส่วนใหญ่”

ละครในบ้านเขาตอนนี้เน้นเทคนิคอลังการมาก โดยเฉพาะหนังเกี่ยวกับเทพเจ้า เปรียบไปแล้วคงคล้ายหนังจักรๆ วงศ์ๆ ในบ้านเรา แต่ทางอินเดียเขาจะทำเรื่องเทพเจ้า พระศิวะ-พระพิฆเนศ




---ล้อมกรอบ---
ไม่มีอะไรจะเสีย!

ถึงแม้จะเพิ่งก้าวเข้าไปในวงการบันเทิง Bollywood แต่แอนก็แอบคิดไว้เล็กๆ ว่าถ้าเป็นไปได้จะเผยแพร่ “ลิเก” ให้คนได้รู้จักกันมากขึ้น และดูเหมือนว่าจะทำได้แบบนั้นจริงๆ อย่างน้อยๆ สื่อมวลชนในอินเดียตอนนี้ก็เริ่มหันมาสนใจกันบ้างแล้ว

“มีข่าวหลายเว็บไซต์มากที่เอาคลิปยูทูปของเราไปลง เอาคลิปลิเกที่เราเล่นลิเกตั้งแต่เด็กๆ เล่นเรื่องชาละวันเมื่อหลาย 10 ปีก่อนมาแปะเว็บข่าวด้วย (พูดไปยิ้มไป) แล้วมีพีอาร์ส่งข่าวมาให้ดู เราก็ว้าย! (หัวเราะเขินๆ) แอนว่ามันก็ทำให้คนรู้จักลิเกมากขึ้นนะ เหมือนคนไทยที่รู้จักการเต้นอินเดียมากขึ้นเหมือนกัน

ตอนนี้ ทุกคนทั่วโลกมาไทยต้องรู้จักโขนไทย แล้วมันจะแปลกอะไรที่เราจะแนะนำลิเกให้เขารู้จักอีกอย่างหนึ่ง เพียงแต่บางอย่างมันต้องรอเวลา พอถึงเวลา เราถึงจะเอาข้าวไปเสนอคนที่กินโรตีได้ เพราะเขาเคยชินกับของแบบนั้น เมื่อเราเป็นสีสันใหม่เข้าไป กลุ่มคนกลุ่มนึงเขาก็ยอมรับเรา แต่ก็ยังมีกลุ่มที่ยังไม่เข้าใจ แต่เราก็มั่นใจค่ะว่าเราไม่ได้ทะเล่อทะล่าเข้าไป เราก็มีดีที่จะไปโชว์เหมือนกัน แอนก็เลยมั่นใจในความเป็นตัวเราค่ะ

คุณสมบัติข้อหนึ่งที่มีอยู่ในตัวนักร้องอินเตอร์รายนี้คือ “ความจริงจัง” เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าเรื่องอะไรที่เธออยากรู้ เธอต้องรู้ให้ได้ และต้องรู้ให้ลึกด้วย

“แอนมองว่า เวลาเรารู้ไม่จริงหรือเวลาทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ เราจะไปโชว์ชาวบ้านชาวเมืองเขา เราต้องเข้าใจว่าคนที่เขารู้จริงมันมีอยู่จริงๆ นะ อย่างเรื่องลิเกที่เราศึกษามาแล้ว คงจะไม่มีใครมาตำหนิเราได้ เพราะสายเลือดเราเกิดมาก็เป็นลิเกแล้ว แต่ในเรื่องอย่างอื่น เราจะเอาอะไรมาโชว์ เอาอะไรมาใช้ มันก็ไม่ใช่ว่าจับฉ่ายมาโชว์อะไรก็ได้แล้วมาโดนตำหนิทีหลัง หรือเต้นอะไรเนี่ย มันไม่ใช่เลย มันไม่ถูกเลย มันก็ไม่ได้ใช่มั้ยคะ ก็เลยต้องไปเรียนจริงๆ จังๆ

อย่าง Belly Dance ถ้าไม่ไปเทคคอร์สเรียนจริงๆ มันจะเต้นได้เหรอเพราะมันยากมากนะ ต้องเรียนเบสิกถึง 3 เดือน แต่แอนเรียนเดือนเดียวเองนะ แอนเต้นได้เลย (ยิ้ม) เพราะเป็นคนชอบอยู่แล้ว เหมือนเป็นทักษะอย่างนึงที่เราคุ้นเคย ก็เลยทำให้เรียนได้เร็วกว่าคนอื่นหน่อยนึงค่ะ”



ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
ขอบคุณภาพบางส่วนจาก Instagram: annmitchai, www.annmitchai.com




กำลังโหลดความคิดเห็น