จากโปรเจกต์ที่ครั้งแรก ดูเหมือนจะให้คนอื่นกำกับ นั่นก็คือกิลเลอร์โม เดล โตโร แต่สุดท้าย ปีเตอร์ แจ็กสัน ก็ต้องมากำกับด้วยตนเองอีกครั้ง หลังจากเดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง เพราะเดล โตโร ชิงถอนตัวจากโครงการนี้ไป เนื่องจากหนังเปิดกล้องล่าช้ากว่ากำหนดมาก อย่างไรก็ดี แม้จะไม่ใช่ความปรารถนาตั้งแต่แรก ทว่าปีเตอร์ แจ๊กสัน ก็ทำมันออกมาชนิดที่เรียกว่าแม้แต่แฟนๆ หนังสือ เดอะ ฮอบบิท ยังต้องกล่าวชม เพราะเขาสามารถเติมเต็มภาพแห่งจินตนาการบางส่วนที่เจ.อาร์ อาร์. โทลคีน ละไว้ในฐานที่เข้าใจ
อย่างน้อยที่สุด ในเวอร์ชั่นหนังสือนั้น แม้จะมีช่วงเวลาแห่งสงครามห้าทัพ ทว่าภาพแห่งการต่อสู้ระหว่างธอรินกับอาซ็อกผู้เป็นแม่ทัพแห่งออร์คนั้นดูเหมือนจะหายไป เพราะทันทีที่บิลโบ แบ็กกินส์ โดนทำร้ายจนสลบไสล ภาพการต่อสู้ก็หายไปด้วย บิลโบตื่นมาอีกที หนังสือก็ตัดไปที่บทจบแห่งการต่อสู้แบบทิ้งไว้ให้คนอ่านจินตนาการภาพเอาเอง แต่เมื่อเป็นหนัง ปีเตอร์ แจ๊กสัน ได้เติมภาพฉากแห่งการต่อสู้นี้ลงไป และแน่นอนครับ ด้วยความเชี่ยวชาญของเขาแล้ว สามารถทำให้ฉากต่อสู้ตรงนี้ออกมาระทึกตื่นเต้นได้อรรถรส
กล่าวโดยพื้นฐาน ผมคิดว่าเสน่ห์ของนิยายชุดเดอะ ฮอบบิท นั้น ก็อยู่ที่บรรดาคนแคระต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บิลโบ แบ๊กกินส์ นั้น ถือเป็นตัวเด่นมาตั้งแต่ภาคแรก บิลโบนั้นเป็นตัวแทนของหลายสิ่งหลายอย่าง แม้ตอนแรก ทุกคนจะพยายามตั้งคำถามว่าเพราะอะไร ถึงเอาเจ้าหัวขโมยที่ชอบเสพความสำราญ ชอบอยู่บ้าน เจริญในรสชาติอาหาร และรื่นรมย์กับการอ่านหนังสือ ไปด้วย แต่พ่อมดเฒ่าเคราขาวอย่างแกนดัล์ฟก็เน้นย้ำว่าบิลโบนั้นจำเป็นและสำคัญต่อการเดินทางครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ในฐานะหัวขโมยที่มือไวคล่องแคล่ว หากแต่มีบางอย่างที่แกนดัล์ฟแลเห็นในตัวของแบ๊กกินส์ และก็อย่างที่เราจะเห็นในหนังแต่ละภาคครับว่า บิลโบ แบ๊กกินส์ นั้นมีส่วนอย่างสำคัญต่อความเป็นไปของเหตุการณ์และเรื่องราว โดยเฉพาะภาคที่สามนี้ กลเม็ดที่บิลโบใช้นั้น ได้นำไปสู่การพลิกเปลี่ยนของบางสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือ
ความสำเร็จอย่างยิ่งยวดประการหนึ่งซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จของเรื่องราว ก็คือ การที่โทนคีลออกแบบตัวละครตัวนี้ออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ บิลโบนั้นดูเหมือนเป็นคนที่มีบุคลิกหลายๆ แบบในตัวเอง อย่างที่บอกว่า ด้านหนึ่ง เขาไม่ค่อยอินังขังขอบอะไรกับโลกภายนอก เพราะวันคืนส่วนใหญ่ เขาใช้จ่ายไปกับการใช้ชีวิตที่สุขสำราญ อยู่บ้านได้ โดยไม่ต้องออกไปไหน ต่อเมื่อได้รับการสัญญาว่าจะได้รับส่วนแบ่งที่แกนดัล์ฟให้คำมั่นไว้ การผจญภัยตลอดระยะเวลาหนึ่งปีกับอีกหนึ่งเดือนจึงเริ่มขึ้น และตลอดระยะเวลาเหล่านี้ เราจะเห็นตัวละครตัวในหลากแง่มุมหลากมิติ มีความเจ้าเล่ห์แต่หวังดี มีปฏิภาณในการเอาตัวรอดและพาคนอื่นให้พ้นภัย ดังนั้นแล้ว มันจึงมีอะไรที่มากไปกว่าภารกิจแต่เริ่มที่มีเขาไว้เพื่อการลักขโมย และที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาเป็นตัวละครสีสันที่ก่อให้เกิดความตลกขบขันและนำพาความสนใจให้ไต่ตามเรื่องราวได้เรื่อยๆ
หนังภาคนี้มีความยาวราวๆ สองชั่วโมงครึ่ง หลังจากเปิดเรื่องด้วยฉากการต่อสู้กับมังกรสม๊อก ซึ่งถือว่าทำได้น่าตื่นตาตื่นใจพอสมควรแล้ว หนังก็เข้าสู่การปูเรื่องราวเพื่อนำไปสู่สงครามที่จะเป็นจุดพีคของหนัง แต่หลักๆ นั้น ตัวเรื่องจะสแตนด์บายอยู่ที่ตัวละครของเรื่องอย่างธอริน โอเคนชีลด์ ผู้ซึ่งกำลังลุ่มหลงในมายาแห่งความยิ่งใหญ่ ธอริน บุตรแห่งธราอินนี้ถือว่าเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวที่เหล่าทัพทั้งหมดจะมาบรรจบกัน ณ ดินแดนเอราบอร์ อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะไปถึงจุดปะทุแห่งสงคราม หนังได้ปูพื้นตัวละครที่หลงใหลในอำนาจไว้อย่างเด่นชัดและตามเก็บเป็นประเด็นสำคัญ
อันที่จริง ประเด็นนี้คือสิ่งที่เฉิดฉายอย่างแรงกล้าในนิยายเรื่องต่อมาของเจ.อาร์.อาร์. โทลคีน อย่างเรื่องเดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง ซึ่งสำหรับเดอะ ฮอบบิทนั้น มันเหมือนกับประกายไฟหรือเทียนเล่มแรกที่ถูกจุดขึ้น การลุ่มหลงในความยิ่งใหญ่จนบอดเขลาเบาปัญญา เป็นสิ่งที่สามารถสัมผัสได้ในงานดังทั้งสองชิ้นของโทลคีน ไม่ว่าจะเป็นแหวนที่ใครได้ไปแล้วจะสามารถครอบครองโลกทั้งโลก หรือเพชรอาร์เคนสโตน ล้วนแล้วแต่เป็นสัญลักษณ์แห่งศักดานุภาพที่ทำให้ตัวละครต้องแก่งแย่งเข่นฆ่ากันทั้งนั้น
เดอะ ฮอบบิท 3 ในความรู้สึกของผม ในแง่ความเป็นหนัง มันก็เป็นงานมาตรฐานแบบที่ดูได้เพลินๆ ครับ หนังก็มีครบรสในแบบหนังเพื่อความบันเทิง อารมณ์ขัน ดราม่า ไปจนถึงแอ็กชั่น ก็จัดมาแบบครบครัน โดยเฉพาะตอนที่ธอรินต่อกับอาซ็อกผู้เป็นหัวโจกแห่งออร์ค หนังทำได้สนุกและชวนให้ลุ้นได้ดี
เพียงแต่ก็อย่างที่บอก เนื่องจากพื้นฐานของเรื่องมันเป็นนิทานก่อนนอน ความลุ่มลึกหรือซับซ้อนก็อาจจะไม่มากเท่ากับเดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง บทจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร ก็จะเปลี่ยนแบบค่อนข้างทันท่วงที อย่างกรณีของกษัตริย์ธอริน บุตรแห่งธราอิน ซึ่งถ้าไม่ได้ติดเงื่อนไขว่า นี่คือนิทานก่อนนอน ก็อาจจะถูกค่อนขอดว่าตื้นเขินได้เช่นกัน แต่ส่วนที่หนังทำได้ดี และทำได้ดีมาตั้งแต่ภาคที่หนึ่งก็อย่างที่บอกนั่นล่ะครับ คือการเล่นกับคาแรกเตอร์ของตัวละครบิลโบที่ดูมีมิติมากกว่าใครอื่น หรือแม้แต่เรื่องราวความรักข้ามเผ่าพันธุ์ระหว่าง “ทอเรียล” สาวเอลฟ์กับหนุ่มคนแคระที่ชื่อคิลีซึ่งหนังปูพื้นไว้ตั้งแต่ภาคที่สองและตามมาเก็บเป็นบทสรุปในภาคนี้
เดอะ ฮอบบิท ปิดสรุปสงครามห้าทัพด้วยการสูญเสียไม่น้อยกว่ากันของทุกฝ่าย โดยมีความปรารถนาในอำนาจและความยิ่งใหญ่เป็นปฐมเหตุ ยังคงก็แต่ฮอบบิทน้อยอย่างบิลโบ แบ๊กกินส์ ผู้ใสซื่อซึ่งไม่ได้ต้องการจะเป็นใหญ่เป็นโตอะไรอย่างใครเขา ภาพของบิลโบ แบ๊กกินส์ ในตอนท้ายๆ ของหนังที่กลับมาถึงบ้านแล้วอาจจะหงุดหงิดโวยวายกับการเห็นทรัพย์สมบัติในบ้านตนถูกยกเอาไปประมูลกันสนุกสนาน แต่อันที่จริงเขาก็ไม่ได้เป็นทุกข์อะไร เพราะจะพูดไป อย่าว่าแต่ทรัพย์สินศฤงคารภายในบ้าน แม้กระทั่งทองคำกองเท่าภูเขาเลากา ไปจนถึงแหวนอภินิหารหรือเพชรอาร์เคนสโตนที่สามารถทำให้คนคนหนึ่งครอบครองโลกได้ เขาก็สัมผัสมาแล้ว ดังนั้น จะป่วยกล่าวไปไยกับสมบัตินอกกายเหล่านั้น
เพราะโลกที่กว้างขึ้น การผ่านพบประสบการณ์ที่มากขึ้น น่าจะมีส่วนอย่างสำคัญให้เขาเห็นว่าอะไรคือแก่นสารที่แท้ของชีวิต และนี่ก็น่าจะเป็นหมุดหมายหนึ่งแห่งจินตนิยายจากปลายปากกาของเจ.อาร์.อาร์. โทลคีน
เห็นโลกเยอะๆ ก็ยิ่งสมควรต้องปลดปลง
ไม่ใช่ยิ่งเห็น ยิ่งลุ่มหลง ยิ่งมัวเมา
จากเรื่องราวของฮอบบิทแห่งมิดเดิ้ลเอิร์ท ทำให้ผมคิดเช่นนั้น
ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live
ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |