ผู้บริหารช่อง 3 ลุ้นเส้นตาย 15 วัน กสท. ห้ามเคเบิล - ดาวเทียม ออกอากาศช่อง 3 อนาล็อก เชื่อเคเบิล - ดาวเทียม ต้องพึ่งพาช่อง 3 อนาล็อก เพราะฐานคนดูแน่น เมินแรงบีบออกอากาศคู่ขนาน อ้างไม่ถึงเวลา และไม่อยู่ในแผน ยันไม่ใช่ตัวถ่วงทีวีดิจิตอล
กลายเป็นประเด็นร้อนที่ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด กับกรณีการสิ้นสภาพฟรีทีวีของช่อง 3 อนาล็อก หลังจากเส้นตายที่ กสทช. ยืดให้ 100 วัน จนทำให้หลายฝ่ายลุ้นว่าในวันที่ 1 กันยายน 2557 ที่ผ่านมา ช่อง 3 อนาล็อกจะเกิดภาวะจอดำหรือไม่ แต่ปรากฏว่าหลังเที่ยงคืนของวันดังกล่าวช่อง 3 อนาล็อกก็ยังออกอากาศได้ตามปกติ โดยอ้างประกาศของ คสช. ในช่วงปฏิวัติที่ระบุให้สถานีโทรทัศน์ทุกแห่งออกอากาศได้ทุกช่องทาง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข่าวสาร จนทำให้กสท. ต้องเรียกทุกฝ่ายเข้าหารือเพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยมีตัวแทนฝ่ายกฎหมายของช่อง 3 และผู้ประกอบการทีวีดิจิตอล 24 ช่องมาร่วมหารือด้วย แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น กสท. ได้ส่งหนังสือแจ้งผู้ประกอบการโครงข่ายเคเบิล และ ดาวเทียม ห้ามออกอากาศช่อง 3 ในระบบอนาล็อก คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 15 วัน ซึ่งต้องทำให้ลุ้นอีกครั้งว่าหลังครบกำหนด 15 วันแล้วช่อง 3 จะเกิดภาวะจอดำหรือไม่
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้มีโอกาสสัมภาษณ์ “นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์” รองกรรมการผู้จัดการ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ถึงเรื่องดังกล่าว ผู้บริหารช่อง 3 ระบุทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานความถูกต้อง และเป็นเรื่องของธุรกิจ โดยตนหวังว่าทุกฝ่ายจะได้รับผลประโยชนร่วมกัน ลั่น เคเบิล ดาวเทียม ไม่มีช่อง 3 อนาล็อกไม่ได้ เพราะฐานคนดูแน่นมานานแล้ว บอกการออกอากาศคู่ขนานไม่ได้อยู่ในแผนของการประมูลทีวีดิจิตอลตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“อย่างที่ คุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา พูดว่าเราเป็นผู้ประมูลสูงที่สุดในทีวีดิจิตอล เราเป็นบริษัทมหาชน เราก็ต้องคุยกับผู้ถือหุ้นเรา ใครเขาจะยอมให้เราเอาเงินตั้ง 6-7 พันล้านมาแล้วบอกว่าไม่เห็นด้วย แล้วคุณไปทำทำไม แต่เราได้ฉันทามติจากผู้ถือหุ้นให้เราเข้าไปประมูลภายใต้ชื่อบริษัท บีอีซี มัลติมีเดีย ทีนี้การที่เราจะมาพูดกันตอนนี้ผมว่ามันเป็นเงื่อนไขทางธุรกิจที่ต่างคนก็ต่างมีแผนงานว่าจะทำอย่างไร จะให้คนข้างนอกมาบังคับให้เราทำตามแผนงานไม่เหมือนที่เราตั้งใจเอาไว้ ผมว่ามันก็ไม่ถูกต้องนะ”
“เราเห็นความสำคัญอยู่แล้วว่าจะต้องเกิด ทีนี้ถ้าหากว่าหลายท่านมีความเห็นว่าช่อง 3 มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่าน ให้เกียรติเราแบบนั้นและอยากจะให้เราขึ้นไปอยู่ เราก็ต้องไปคุยปรึกษากับเขาและหาแนวทางว่าจะทำยังไง จะช่วยเรายังไงให้เราสามารถช่วยเขาได้ แต่จะทำยังไงก็ต้องดูจากเขา เพราะจริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นแผนงานอะไรของช่อง 3 เรามีแผนงานทางธุรกิจของเรา เพราะแผนของเราไม่ได้จะเอาไปออกคู่ขนานตั้งแต่วันแรกที่ประมูลได้แน่นอน ชัดเจน”
“แต่ระยะเวลามันจะยาวจะสั้นแค่ไหน ผมก็จะบอกว่าให้อนาคต ให้เวลา ให้ความพร้อมของเน็ตเวิร์ก ให้ความพร้อมของคอนเทนต์ ให้ความพร้อมของช่อง 3 อนาล็อกของเรา และการมาของดิจิตอลสมบูรณ์ เราทำแน่นอน เราเป็นนักธุรกิจ แต่ไม่ต้องมาบอกว่าคุณสุรินทร์มาพรุ่งนี้เลย เอ๊ะ คุณเป็นเจ้าของบริษัทผมหรือไง”
“เรื่องของเอเยนซี่ไม่มีปัญหาเลยครับ แน่นอนคนซื้อทุกคนเขาก็ต้องตื่นเต้นกับข่าวที่ออกมา แต่ในเมื่อมันมีอีกกระแสยืนยันในลักษณะนี้ออกมา เอเยนซีเขาก็มั่นใจ คือเรื่องของการซื้อโฆษณาเป็นเรื่องของความตั้งใจของผู้ซื้อที่อยากจะซื้อกับผู้ขายที่มีความรับผิดชอบ ถ้าเราขายแล้วรับผิดชอบผู้ซื้อก็สบายใจ อะไรที่มันจะเกิดขึ้นเราบอกเรารับผิดชอบ ก็ถ้าหากมันเกิดขึ้นอย่างที่หลายคนคิดว่ามันจะเกิด แน่นอนคนซื้อย่อมต้องเสียเปรียบ แต่ถ้าเราเป็นคนขายที่ดีเราก็อย่าให้เขาเสียเปรียบอย่างนั้นก็เท่านั้นเอง เมื่อเขาซื้อแล้วไม่ได้เหมือนสิ่งที่เขาซื้อ เราก็ต้องชดเชยให้เขา”
“ซึ่งของเราก็ไม่ได้มีการปรับผังอะไร ธุรกิจของเราก็ดำเนินไปตามปกติ เราก็ดำเนินงานตามแผนงานที่เราวางแผนเอาไว้ไปตามปกติ อย่างรายการ THE FACE THAILAND ที่เปิดตัวใหม่เราก็ลงทุนไปตั้งเยอะตั้งแยะ เราก็ออกอากาศตามปกติ เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปออกอากาศเพื่อที่จะกั้กเอาไว้อย่างโน้นอย่างนี้ เพราะเรามั่นใจในสิ่งที่เราเป็นอยู่ เราไม่ได้ไปทำอะไรผิด”
ยันหาว่าช่อง 3 ไม่จริงใจไม่ได้ เพราะซื้อคอนเทนต์ในราคาแพงลิ่ว ไม่มีใครกล้าลงทุนแบบนี้อีกแล้ว บอกตอนประมูลทีวีดิจิตอล ไม่ได้มีเงื่อนไขระบุว่าต้องออกอากาศคู่ขนาน
“แต่ถามว่าถ้าย้ายไปดิจิตอลค่าโฆษณามันจะลดลงเลยยังไม่ย้าย อย่างที่ผมบอกว่าผมจะย้ายด้วยเหตุผลอะไร มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องค่าโฆษณาอะไรทั้งสิ้นเลย ถ้าทุกอย่างมันพร้อมค่าโฆษณามันก็มาเอง คอนเทนต์แพงๆ มันก็ไปลงได้ ทำไมผมจะไม่กล้า ผมถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกคู่ลิเวอร์พูล-สเปอร์ส ผมยังเอาไปออกช่องสแตนดาร์ตเลย ซื้อมาตั้งแพง แล้วบอกผมไม่ลงทุนได้ยังไง มีใครซื้อคอนเทนต์แพงกว่าผมไหมไปดูเลยต่อหนึ่งรายการมีไหม จะมาบอกว่าผมไม่จริงใจได้ยังไง ถ้าอย่างนั้นผมเอาออกช่องออริจินัลไม่ดีเหรอ”
“ผมว่าอะไรก็แล้วแต่มันอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง อันนี้มันเป็นเรื่องของการต่อสู้ มันไม่ใช่เรื่องสงครามระหว่างช่อง 3 กับช่องอื่นๆ หรือกับทาง กสทช. มันเป็นเรื่องของการดำเนินธุรกิจ มันเป็นเรื่องของการพยายามหาทางออกว่าจะทำอย่างไร ในเมื่อหลายท่านให้ความสำคัญกับช่อง 3 ในเรื่องของการเปลี่ยนผ่าน ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็ยินดีจะปรึกษาว่าจะให้เราช่วยอย่างไร แต่ถามว่าผมจะช่วยอย่างไร อันนี้ต้องไปฟังจากทางเขามากกว่า เพราะเขาอยากจะให้เราไปอยู่ในนั้น ช่องอื่นๆ ก็ไม่ได้กดดันมานะ เพราะวันที่เราไปประมูลดิจิตอลทีวีไม่เคยมีเงื่อนไขว่าทุกช่องจะต้องไปออกคู่ขนาน แต่มีเงื่อนไขว่าช่องที่ไปประมูลได้ที่หนึ่งต้องเลือกเบอร์ได้ ผมควรจะได้ในสิ่งที่ผมควรได้ แต่ผมไม่ได้นะ ผมไม่ควรจะเสียในสิ่งที่คนมาบอกว่าผมจะต้องให้เขานะ”
บอกทีวีดิจิตอลยังไม่มีความพร้อม แล้วทำไมต้องบังคับช่อง 3
“ถามว่ามีผลกระทบไหมก็มี ก็ยอมรับว่าคนที่อยู่ในดิจิตอลทีวีมันมาด้วยความไม่พร้อมหลายๆ อย่าง ทั้งในแง่ตัวเขาเอง ทั้งในแง่คนดูที่เป็นเรตติ้ง ทั้งในแง่เน็ตเวิร์คที่มันขยายไม่ทันสักที คูปองก็ไม่ยอมแจก สภาวะเศรษฐกิจที่มันไม่ดีเทียบกับปีก่อน ซึ่งเมื่อสถานีหลักยังมีคนดูเยอะอยู่ ถึงแม้ว่าจะลดลงบ้าง แต่ถ้าเทียบกับดิจิตอลก็ยังถือว่าเยอะอยู่ เม็ดเงินที่มีน้อยลง แต่จำนวนผู้ล่าเหยื่อที่มีเยอะขึ้นในตลาด”
“ฉะนั้นก็ต้องบอกว่ามันมีหลายๆ องค์ประกอบที่ทำให้ผู้ประกอบการดิจิตอลในระยะเริ่มต้นต้องประสบกับความผิดหวังเนื่องจากไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ แต่ทั้งหมดที่ว่ามาคงไม่ใช่หนึ่งในสาเหตุที่เป็นช่อง 3 แน่นอน ทุกวันนี้ 70% มันอยู่ในเคเบิลและแซทเทิลไลท์อยู่แล้ว เพียงแต่ทำไมจะต้องมาบังคับว่ามาอยู่ใน 36 ช่องนี้ จริงๆ แล้วช่อง 3 ในบางแพลตฟอร์มมันไปอยู่ในช่องไม่รู้กี่ร้อยด้วย ก็ต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจว่าจะทำให้เขาเดือดร้อนเรื่องอะไรเนี่ย ถ้าถามผมตอนจบคนดูเดือดร้อนนะ”
“แต่ผมก็คงไม่ไปเพราะกล่องมันดีขึ้น ผมไปเมื่อผมมั่นใจว่ามันถึงแผนงานทางธุรกิจที่ผมวางเอาไว้ ซึ่งผมก็คงไม่สามารถจะบอกได้ว่าภายใน 2-3 ปีนี้ ผมจะขึ้นไป ปีหน้าผมอาจจะขึ้นไปหมดก็ได้ ผมก็ต้องดูความพร้อมในส่วนของผมว่าผมมีอะไรยังไงบ้าง พร้อมแล้วหรือยังที่ผมจะไป ตรงนี้ยังอยู่หรือจะไม่อยู่แล้ว แต่มันคือธุรกิจของเรานะ คุณจะมาบอกให้ผมไปทำอะไรล่ะ”
“ถามว่าถ้าเทียบอนาล็อก กับดิจิตอล ไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว ดิจิตอลอย่าเพิ่งไปพูดถึงเลยครับ เพราะว่ามันเล็กน้อยมาก เนื่องจากว่าเราเริ่มธุรกิจมาถึงวันนี้ก็ 4-5 เดือนเอง ทุกวันนี้ยังมีคนบอกเลยว่าเราทำงานไม่เต็มที่ เราไม่เห็นความสำคัญมันจริง ซึ่งผมก็ต้องขอเถียงนะครับ ไม่ได้เป็นเศรษฐีมาเผาเงินเล่น แผนงานทางธุรกิจทุกคนมี และที่คนพูดว่าทำไมมีแต่ช่องรีรัน ผมว่ามันเป็นธรรมชาติของการทำธุรกิจโทรทัศน์ ใครๆ ก็มีรีรัน มันก็เป็นแผนธุรกิจของแต่ละคน บางคนบอกทำแค่ช่องเดียวยังเหนื่อยเลย แต่ผม 3 ช่องนะ”
“เราก็ไม่เคยไปบอกใครที่ไหนว่าปีที่หนึ่งเราจะกำไรสุดฤทธิ์ หรือปีที่หนึ่งเราจะเป็นผู้นำตลาด ผมไม่เคยไปพูดที่ไหนเลย ผมบอกแต่ว่าปีที่หนึ่งผมก็คงจะต้องประคองตัวเอง ผมจะไม่ขี่ช้างจับตั๊กแตน ผมรอให้คนมาครบก่อนแล้วก็ค่อยทำ ผมไม่มีความรีบร้อนที่จะต้องเอาซูเปอร์คอนเทนต์มาลงในขณะที่คนดูยังไม่พร้อม พร้อมในที่นี้ก็คือฐานของคนดู เรื่องของเอเยนซี่ ถ้าสองอันนี้พร้อมทำไมผู้ประกอบการเขาจะไม่กล้าลงทุน ผมถามว่าถ้าผมขึ้นไปทุกคนจะรวยไหม ทุกคนจะประสบความสำเร็จไหม”
ไม่หวั่นแรงกดดันเพราะอยู่ในช่วงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการและประชาชน ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผน
“ถ้าถามว่าเขามีแนวทางจะบังคับเราได้ไหม จริงๆ เราก็ไม่ได้เกรงอะไร เพราะเราก็อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน มันอยู่ที่ว่าคนเปลี่ยนผ่านทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการและประชาชนมากน้อยแค่ไหน แต่ผมว่าภาพของการทำความเข้าใจคงยังไม่สมบูรณ์ทีเดียว เพราะฉะนั้นคนก็เลยยังงงๆ กันทั้งคนดู คนทำ เหมือนกับจ่ายตังค์กันมาแพงทุกคนเพื่อมาแก้ปัญหากัน ทุกคนควรจะเข้ามาและมุ่งเน้นคอนเทนต์ของตัวเองว่าจะทำอย่างไรถึงจะทำคอนเทนต์ให้มันดี นี่กลายเป็นว่าคนมานั่งคิดว่าเมื่อไหร่จะได้แจกคูปอง ให้เน็ตเวิร์คขยายขึ้น ผมคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของผู้ประกอบการต้องมานั่งกังวลตรงนี้นะ”
“สรุปเราในฐานะผู้ประกอบการ เป็นบริษัทมหาชนเราก็มีแผนงานในการดำเนินธุรกิจ เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ที่เรารู้ว่าแผนงานธุรกิจของเรามันมาถึงจุดที่เราบรรลุว่าอยากจะทำโน่นจะทำนี่เราก็ทำตามแผนงานของเรา แต่เราไม่ให้คนอื่นมาสั่งให้เราทำตามเขา ผมไม่จำเป็นต้องไปออกคู่ขนาน แต่คุณมาบอกให้ผมไปคู่ขนานมันยังไงกัน คุณเป็นผู้บริหารของผมหรือไง”
เผยอยากให้ออกมาวินวินเพื่อผลประโยชน์ของทุกฝ่าย
“โดยภายหลังจากที่ทางช่อง 3 กับ กสท. หาแนวทางว่าจะทำอย่างไร เราก็มีแนวทางในการทำธุรกิจของเรา ผู้ประกอบการอื่นก็อยากให้เราไป กสท. ก็อยากให้การเปลี่ยนผ่านสำเร็จ เพราะฉะนั้นทุกคนก็มีจุดประสงค์คล้ายๆ กัน คือธุรกิจ การเปลี่ยนผ่าน คิดว่าเราเป็นตัวสำคัญตรงนั้นก็มีการหาแนวทางกัน อาทิตย์หน้าคงมีการคุยกันในรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร ถามว่าแนวโน้มจะไปทางไหน ก็อยากให้สถานการณ์ ออกมาวินวิน ทุกคนได้ประโยชน์ คนดูก็ได้ประโยชน์ กสท. ก็ได้เปลี่ยนผ่านสำเร็จ ณ ปัจจุบันต่างคนก็ต่างมีวัตถุประสงค์ของตัวเอง ต่างคนก็พยายามกดดันให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องได้ แต่การได้ประโยชน์ของคนหนึ่งก็คือการเสียประโยชน์ของอีกคน ถ้าเราคิดอย่างนี้ก็ไม่จบเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งการเปลี่ยนผ่านก็ไม่ได้เคารพในธุรกิจเดิมที่เขาทำมา อย่างช่อง 3 ทุกคนต้องการให้ช่อง 3ไปอยู่ในดิจิตอล ก็คงต้องมาหารือกันอีกทีว่าจะอย่างไร”
“การทำหนึ่งอย่างมันก็มีผลกระทบอย่างอื่น การที่ไม่ให้ช่อง 3 ออนแอร์ในเคเบิล กับดาวเทียม ทำให้เจ้าของเคเบิล หรือดาวเทียมลำบากใจ เพราะ 70 เปอร์เซ็นต์ที่คนทางบ้านรับชมเขาก็ดูช่อง 3 ด้วย และในอดีตที่ผ่านมาเคเบิลต่างจังหวัด ดาวเทียมต่างจังหวัด หรือเคเบิลทั่วประเทศ ธุรกิจเริ่มก่อตั้งขึ้นมาได้ ก็อาศัยอนาล็อกไม่ใช่เฉพาะช่อง 3 ช่องเดียว แต่ช่อง 3 ก็มีคนนิยมสูง เพราะฉะนั้นกลายเป็นว่าเขาต้องพึ่งเรามาตลอด กลายเป็นความคุ้นเคยของผู้ชมในโครงค่ายเขากับเรา พอไม่มีช่องเราเขาก็มีปัญหาแน่นอน เขาก็ต้องไปตอบคำถามสมาชิกที่เป็นสมาชิกว่าหายไปไหน สิ่งที่ผมพยายามบอกคือสถานภาพมันเป็นฟรีทีวีจะทำอย่างไรให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ถ้าช่อง 3 ไม่อยู่ตรงที่เคยอยู่ใครได้ประโยชน์”
ยันหากทีวีดิจิตอลไม่คืบหน้า ช่อง 3 ก็ขาดทุน แต่ต้องพัฒนาปัจจัยอื่นๆ ควบคู่ด้วย
“ก็ไม่ถูกต้องนะ เวลาที่อยู่ในช่องดิจิตอลทีวีก็ไปประมูลมา จะบอกว่าช่อง 3 เตะถ่วงหรือไม่เห็นด้วยกับธุรกิจนี้เป็นไปได้อย่างไร เพราะผมคือผู้ที่ประมูลเยอะที่สุดในนั้น ใช้เงินเยอะที่สุด ทุกวันที่ดิจิตอลทีวีไม่คืบหน้า เราเป็นผู้ที่ขาดทุนเยอะที่สุด แต่อยากให้มองว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ ในฐานะที่ทำคอนเทนต์ เราก็ขอบคุณทุกท่านที่คิดว่าเราเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสำเร็จ ตัวเราเองประมูล 3 ช่อง เราก็คิดว่าคุณภาพการทำรายการคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้คนเข้ามาอยู่โครงข่าย อันนั้นคือสิ่งเดียวที่ผู้ประกอบการทุกท่านทำได้ แต่ที่เหลือก็เป็นปัจจัยของคนที่เป็นทางการ ควบคุม เช่น ทำให้เน็ตเวิร์คขยายเร็วๆ การทำคูปองแจกเร็วๆ มันต้องมาด้วยกัน ในแง่องการทำธุรกิจคือหลายอย่างมันมาไม่พร้อมกัน
ลุ้นครบกำหนด 15 วันของ กสท. ผู้ประกอบการจะหาทางออกที่ดีได้ เพราะอยากให้วินวินทุกฝ่าย
“ถ้าดูจากข่าวล่าสุดว่าภายใน 15 วัน ก็ว่ากันไป แต่ในส่วนของเราก็มีการเจรจา ขอให้เราหาแนวทางร่วมกับเขาก็เป็นสิ่งที่ดี มันไม่เหมือนที่ผ่านมา ที่ต้องการอย่างนี้ก็ออกมากดดันอย่างนี้ ซึ่งผมบอกว่า ประโยชน์ของคนหนึ่งก็เป็นผลเสียของอีกคนหนึ่ง กดดันไปกดดันมา”
“พอถึงกำหนด 15 วันจริงๆ หวังว่าผู้ประกอบการทุกคนจะมองทางออกที่ดีที่สุด มีการเจรจาหาแนวทางกัน หลังจากที่ผ่านมาก็มีคนอ้างอันนั้นอันนี้ แต่เรากำลังดูว่าจะเจรจากันอย่างไร มันเป็นลักษณะของวินวิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ไม่อยากจะบอกว่าถ้าไม่เป็นตามนั้นผลจะเป็นอย่างไร อันนั้นก็คงต้องมองผลลบเกินไป การเจรจาก็หวังว่าจะสมประสงค์กันทุกฝ่าย ไม่มีใครต้องเสียเปรียบมากมายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้ามีคนบอกว่า 3 แท้ไม่มีอยู่ในนั้นเราก็เสียหาย เพราะคนดูก็ลำบาก จะไปดูมาเฟียเลือดมังกรที่ไหน ก็กลายเป็นสร้างความลำบาก ทุกวันนี้ในบ้านเราน่าจะสร้างความสุขมากกว่าสร้างความลำบาก”
เผยไม่กังวล เพราะมีแนวทางธุรกิจชัดเจน และไม่เกี่ยวค่าโฆษณาที่ต่างกันลิบลับ
“ไม่กังวลทุกคนก็มีแนวทางในการทำธุรกิจ วันที่ไปประมูล 3 ช่องก็รู้อยู่แล้วว่าจะทำอะไร ผมก็ต้องขอบอกทุกท่านว่าใครทำธุรกิจก็ทำไป ไม่ต้องมาบังคับผมว่าทำจะต้องทำธุรกิจผมอย่างไร”
“ส่วนเรื่องค่าโฆษณาที่มองว่าโฆษณาของทีวีดิจิตอลไม่แรงเท่าอนาล็อก ก็ต้องคิดว่าทุกอย่างมันมีช่วงเวลาของมัน อนาล็อกก็ไม่ได้ขายแพงอย่างนี้แต่แรก ผู้ประกอบการในอนาล็อกก็ไม่ได้ร่ำรวยแต่วันแรก ทุกอย่างมีช่วงเวลา และอนาล็อกเราสู้กันแค่ 4 ช่อง แต่ตอนนี้สู้กัน 24 ช่อง สภาพเศรษฐกิจขาลง เงินกองกลางก็น้อยลงในขณะที่คนแย่งเม็ดเงินก็มีมากขึ้น บวกกับปัจจัยอื่นๆ ในทางลบ อาทิ เน็ตเวิร์กไม่พร้อม ผู้ประกอบการไม่พร้อม คอนเทนต์ไม่แข็งแรงพอ คนดูไม่รู้สึกตื่นเต้น ส่วนกรณีที่ อสมท อยากให้ช่อง 3 ไปคุยเรื่องสัญญากันใหม่ มันก็เป็นพัฒนาการที่เกิดขึ้นจากเมื่อวานนี้”
บอกทุกอย่างเป็นแนวทางธุรกิจ เมินกระแสเหน็บเป็นตัวถ่วง
“โอกาสที่ช่อง 3 อนาล็อกไปอยู่ในดิจิตอล คือ ก่อนเข้าไปทั้งโปรแกรม เราก็อยากจะบอกว่าเรามีการนำเข้าไปบางรายการอยู่แล้ว ไปตามความเหมาะสม เรามีหน้าต่างอีก 3 บาน เรามีความยืดหยุ่นสูง แต่ถ้าจะเอามาเลยไปจัดใส่ตรงนั้น อันนี้เป็นแนวทางธุรกิจของเรา ก็ไม่ถูกต้องที่จะมาบังคับเรา คนที่มาอะไรกับผมได้คือผู้ถือหุ้นเรา เพราะเราเป็นบริษัทมหาชน มันน่าจะมีความยุติธรรมตรงนั้น ก็แยกคนละเรื่อง ถ้ามองว่าเราเป็นตัวถ่วงก็ต้องดูดีๆ คอนเทนต์ไม่ดีพอ หรือปัจจัยอื่นหรือเปล่า”
“ก็ไม่ได้เป็นแรงกดดันอะไรหรอกครับ ก็ดีใจที่เขาให้เกียรติขนาดนี้ ส่วนกระแสจอดำหลายท่านก็มีความเข้าใจพื้นฐานไม่เท่ากัน ข้อมูลที่ออกไปก็ไม่เท่ากัน บางคนอาจจะตื่นเต้น อย่างเคเบิ้ล หรือดาวเทียมอาจจะตื่นเต้นเพราะมันคือธุรกิจเขา เป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่เป็นฟรีทีวี ที่ไม่ต้องมาซื้ออะไร ผมบอกได้เลยว่า เคเบิลต่างจังหวัดเยอะแยะเลยที่ติดเพราะไม่สามารถใช้หนวดกุ้งก้างปลาได้ แล้วเคเบิลต่างจังหวัดเข้ามาในจังหวะนั้น ก็สะดวก เขาก็ได้จากเราด้วย มันมาตั้งนานแล้ว มีความฝันแล้วพอได้ยินว่ามันจะหายไป และเป็นเรื่องธุรกิจเขาด้วย จะไปตอบสมาชิกอย่างไร ถ้าสมาชิกไม่รับแล้ว ก็เสียหาย เหมือนผมเสียหาย แต่จริงๆ มีใครเสียหายกันแน่ แต่ตอนนี้คนมองว่ากระทบจากผม ซึ่งจริงๆ ไม่น่ากระทบมาจากผม ซึ่งคงไม่มีใครอยากให้จอดำ มันหลายสิบปีแล้ว มันเป็นฟรีทีวี ดูฟรี จะไม่ให้ดูเหรอ อันที่ไม่ได้ดูก็ไปจ่ายตังค์”