xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ “ตุ๊ก เดือนเต็ม” ฮีโร่ช่วยคนถูกรถชน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทำเอาชาวโซเชียลรัวกดไลค์กันเลยทีเดียวในส่วนของนักแสดงสาวรุ่นใหญ่ “ตุ๊ก เดือนเต็ม” หลังเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการแชร์ภาพของเธอพร้อมกับเรื่องราวในลักษณะทำนองที่ว่านักแสดงสาวรุ่นใหญ่ได้ลงไปช่วยคนขี่มอเตอร์ไซค์ที่ถูกรถชน แถมยังขับรถไปปาดขวางรถคันที่ก่อเหตุดังกล่าวไว้อีกต่างหาก

มีสิ่งดีๆ ที่น่าชื่นชมเช่นนี้ “Super บันเทิง” เลยต้องขอเปิดใจคุยกับนักแสดงหญิงรุ่นใหญ่คนนี้เสียหน่อยว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเป็นเช่นไร หรือว่ามีข้อมูลอะไรตรงไหนผิดถูกคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงกันบ้าง...

“คือวันนั้นพี่ถ่ายละครเมื่อวันเสาร์ที่ 16 ส.ค. ค่ะ พอดีมันเลิกเร็ว เลิก 4 โมง วันนั้นน้องชายเป็นคนขับรถพี่ไม่ได้ขับเอง ไปลงกันผิดหมดเลย เสียหายกัน ไม่ดี วันนั้นเหตุการณ์ที่เกิดมันใกล้ๆ บ้าน ตรงสะพานแถวแฟชั่นไอส์แลนด์ มันเป็นสะพานข้ามแยก สองเลน แล้วช่วงนั้นแบบไม่มีรถเลย พอขึ้นมาถึงก็เห็นมอเตอร์ไซค์ล้มอยู่เลนอีกฝั่งหนึ่ง แล้วก็มองเห็นผู้ชายคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่”

“น้องชายเขาเป็นคนเห็นก่อนเพราะว่าพี่นั่งข้างหลัง เขาบอกว่าพี่ตุ๊กคนโดนรถชน พอดีระหว่างที่จะจอดก็เห็นรถข้างหน้าคันหนึ่งขับชะลออยู่ เราก็มองไปว่านั่นใช่รถคู่กรณีคันนั้นหรือเปล่า ก็เห็นว่าข้างรถเขามีรอยบุบ พี่ก็เลยบอกน้องชายว่าขับไปข้างหน้าเขาก่อน แล้วไปปาดจอดข้างหน้าเขาเอาไว้ก่อน เผื่อไว้ แต่เขาอาจจะไม่ได้คิดหนีอะไรหรอก ก็ไปปาดๆ จอดข้างหน้าเขาเอาไว้”

ตอนนั้นรู้สึกกลัวบ้างมั้ย?
“ก็คิดนะคะ ก็ถึงบอกว่าให้เนียนๆ แต่คือไม่ได้อยู่กลางเลน และเขาก็แบบว่าชะลอรถแล้ว เราก็เหมือนกับแซงเขาขึ้นไปก็ไปจอดข้างหน้าเขา พี่ไม่ได้เป็นแบบใจกล้าบ้าบิ่นไม่ได้เหมือนในข่าวเลยนะ ในข่าวคนเขียนเพิ่มๆ ไป พี่ไม่ได้จะอะไรขนาดนั้น พี่ก็กลัว เราแค่เนียนตีคู่เขาไปก่อน ถ้าเขาไม่ได้เร่งอะไรก็จอดขวางข้างหน้าเขา ก็ทำเป็นว่าเราเปิดไฟเลี้ยวจอด”

“ก็จอดรถและเห็นคันหลังเขายังไม่เร่งอะไร พี่ก็บอกว่าเดี๋ยวแป๊บนึง ขอพี่ถ่ายรูปก่อน เผื่อว่าถ้าเราลงไปแล้วเขาขับหนีไป ก็คิดเหมือนกันว่าถ้าเกิดลงไปแล้วเขายิงขึ้นมาจะทำไง เพราะว่าเดี๋ยวนี้มันอันตรายมาก แต่เวลานั้นคือเราห่วงคนมากกว่า แล้วเราก็ดูแล้วว่าเขาไม่ใช่รถซิ่ง เป็นรถปกติ แล้วเขาก็ชะลออยู่ ก็ไม่ได้จะคิดจะหนีไปไหน”

“ในความรู้สึกของพี่เหตุการณ์น่าจะพึ่งเกิดนะ ที่เขาไม่ลงเพราะเขายังงงอยู่มากกว่า ก็มองในรถเห็นเป็นผู้หญิง พอเราเห็นว่าในรถเป็นผู้หญิงเราก็ไม่เป็นไรแล้ว เห็นเขาทำหน้างง พี่ก็เคาะแล้วถามว่าหนูชนเขาหรือเปล่า เขาก็บอกว่าหนูไม่ทราบ ที่หนูยังงงอยู่ เพราะว่าขับมาหนูได้ยินเสียงดังที่รถหนู หนูมองกระจกหลังไม่เห็นอะไร”

“คือพอไม่เห็นอะไรก็งงอยู่ว่ามันคือเสียงอะไร เสร็จแล้วมองไปเห็นอีกฝั่งหนึ่งเห็นว่ามีคนกับรถนอนอยู่ เขาก็เลยงงอยู่ เขาถึงได้ชะลอ”

จากนั้นเหตุการณ์เป็นอย่างไรต่อไป?
“...ก็เลยบอกว่าเดี๋ยวน้องคนขับคุยกับน้องชายพี่ไปก่อน เดี๋ยวพี่ขอตัวไปดูทางนั้นก่อน พี่กลัวรถชน เพราะว่าทางนี้เขาก็โทร.เรียกประกัน โทร.เรียกตำรวจ เราก็โทร.แจ้งกู้ภัย คือต่างคนต่างทำ พี่ก็เลยข้ามไปอีกฝั่งคนเดียว พอข้ามไปเสร็จก็ไม่รู้จะทำไงดี พี่เห็นมอเตอร์ไซค์เขาก็ลงมา พี่ก็เลยบอกน้องเอามอเตอร์ไซค์ไปกั้นด้านนี้ก่อนได้ไหม เผื่อรถขึ้นมาเขาจะได้เห็น เขาก็ช่วยดีนะคะ เสร็จแล้วพี่ก็บอกว่าต้องหารถอีกคันหนึ่งมากั้นด้านนั้น ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเราก็เกิดอุบัติเหตุกันเอง”

“แล้วมอเตอร์ไซค์คนนั้นเขาก็จะไปจับคน พี่ก็บอกว่าอย่าไปจับเขา เพราะพี่ไปดูแล้ว เขาไม่เสียชีวิตแต่ว่าศีรษะแตก มีกองเลือดที่ศีรษะ เราก็บอกว่าอย่าจับเขา เพราะการปฐมพยาบาลเบื้องต้นต้องให้ผู้ชำนาญการมาจับ เดี๋ยวเผื่อเขาแตกหักตรงไหนแล้วมันเคลื่อน มอเตอร์ไซค์เขาก็ให้ความร่วมมือดี พี่ก็บอกว่าหนูลองค้นดูในเบาะรถเขาเพื่อมีเอกสารอะไร เดี๋ยวเราจะได้โทรไป เขาก็บอกว่าพี่มีเอกสารอันนี้ชื่อคุณชูศักดิ์ อะไรสักอย่างเป็นเจ้าของรถ”

“ตอนแรกที่มีมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาพี่ก็เริ่มถ่ายรูปเอาไว้ เผื่อว่าถ้าไม่มีกู้ภัยหรือไม่มีอะไรมา เราจะได้แชร์ไปให้ญาติเพราะเดี๋ยวนี้มันเร็ว พี่ก็เตรียมไว้แล้ว พอเราเริ่มประสานงานเอารถเอาอะไรมากั้น เพราะตอนนั้นก็เริ่มมีรถมาแล้ว...พอดีกู้ภัยมา เขาก็จัดการ เขาบอกว่าไหปลาร้าหักแล้วก็ศีรษะแตก เขาก็จัดการปฐมพยายาล เราก็นั่งเรียกลุงเป็นยังไงบ้าง ที่จริงเขาอ่อนกว่าพี่นะ แต่ด้วยความที่เราไม่เห็นหน้าไม่เห็นอะไร”

“ในระหว่างที่ปฐมพยาบาลเราก็ดูว่ามอเตอร์ไซค์เขาอยู่ครบหรือเปล่า ของเขาอยู่ไหม โทรศัพท์ ก็ดูให้เขา พอปฐมพยาบาลจนฟื้นเรียบร้อยแล้วก็มีคนบอกว่าลูกสาวชื่อนี้เป็นพยาบาลที่โรงบาลนี้ เราก็เลยบอกว่ารู้จักกันหรอ ถ้ารู้จักกันก็ดีแล้ว แล้วน้องคนที่ขับรถเขาก็ลงมาช่วยเหลือ เขาแจ้งประกันอะไรให้ เขาก็เดินมาช่วยเหลือ เขาไม่ได้หนีไปไหนเลย น้องเขาก็น่ารักมาก เขาไม่มีเจตนาค่ะ”

“จากนั้นพอเห็นคนดูแลเรียบร้อยแล้ว เราก็ถามน้องคนนั้นที่รอประกันมา โอเคนะ เรียบร้อยนะทางนี้ คือทั้งกู้ภัยและทุกคนก็รู้ว่าน้องคนนี้ขับ แต่ก็เป็นอะไรที่เขาเข้าใจกันดีแล้ว พี่ก็เลยบอกว่างั้นพี่ไปก่อนนะ เพราะทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว กู้ภัยเขาก็ขอบคุณ ตอนแรกเขาแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นพี่ ก็ไม่ได้คิดอะไรเลย ลืมไปเลย ก็กลับมาบ้านก็ไม่ได้คิดอะไร”
กับบทบาทในงานแสดง
“เรื่องเกิดเมื่อวันเสาร์ วันอาทิตย์เราก็ไปถ่ายละคร พอวันอังคารไปธุระไหนไม่ทราบก็ไม่ได้เปิดโทรศัพท์เลย พอมาเปิดโทรศัพท์ก็เห็นลูกศิษย์ของดร.เสรี เขาส่งภาพมา บอกว่าพี่สาวเราน่ารักมาก เราก็ถามเขากลับไปว่าไปเอารูปพี่มาจากไหน ตอนแรกพี่นึกว่าที่กองถ่ายหรือเปล่า เขาบอกว่าคนเขาแชร์กันในเน็ต แล้วก็มีลูกหลานส่งมาให้บอกว่าเยี่ยมมาก เราก็อ๋อ...”

กลายเป็นฮีโร่ไปเลย
“พี่รู้สึกเฉยๆ นะ พี่ดีใจว่าพี่ทำดีแล้วมีคนเห็น แต่จริงๆ พี่ว่ามันไม่ใช่ตรงนี้ พี่อยากจะพูดว่า พี่เชื่อว่ามีคนทำอย่างนี้เยอะแยะ พี่เชื่อว่าถ้าเห็นเหตุการณ์แบบนี้คนลงมาช่วยทุกคน ถ้าเขามีเวลานะ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้มีชื่อเสียงก็เลยไม่ได้เป็นข่าว พี่เชื่อว่ามีคนทำแบบพี่เยอะ จริงๆ พี่ไม่อยากให้สัมภาษณ์อะไรมากเลยนะ คือเรื่องของเรื่องเราไม่รู้ว่าเราควรจะพูดหรือไม่พูด หนึ่งพี่ไม่อยากให้คนมาหมั่นไส้ สองพี่ไม่เคยเอารูปในเหตุการณ์วันนั้นมาแชร์หรือขึ้นอินสตาแกรมสักรูปเลยนะ พี่มาเอาขึ้นตรงที่ว่ามีคนถามมามาก พี่เลยเอารูปที่พี่ไปเยี่ยมคุณลุงขึ้นว่าคุณลุงปลอดภัยดี คุณลุงกลับบ้านได้แล้ว”

“และคนที่ขับรถในวันนั้นเป็นน้องชายพี่ ไม่ได้เป็นพี่ สิ่งที่พี่อยากจะบอกก็คือเขาแชร์กันไปจนทำให้คู่กรณีเขาเสียหาย ที่พี่ให้สัมภาษณ์ไม่ใช่ว่าอยากดังนะ ให้สัมภาษณ์เพื่ออยากจะแก้ให้น้องผู้หญิงคนนั้นว่าเข้าไม่ได้หนี แล้วพี่ก็ไม่ได้ซิ่งแบบไปปาดหน้าเขา พอมันไปเรื่อยๆ พออ่านแล้วน้องชายพี่บอกว่า พี่ตุ๊กมันไม่แฟร์กับคนนั้นนะ เขาไม่ได้หนี แล้วเขาก็ดูแล มันน่าเกลียดนะ แล้วน้องเขาจะนึกยังไงกับพี่ คุยกันรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว แต่ทำไมพี่ไปออกข่าวยังนั้น คนไม่คิดหรอกว่าคนอื่นออกข่าว คนคิดว่าพี่เป็นคนให้สัมภาษณ์ แล้วมันเสียหายไหม”

“ตรงนี้พี่มีความรู้สึกว่าพี่ไม่อยากให้เขาเสียความรู้สึกกับพี่ เพราะเขาน่ารักมาก ไม่อยากให้เขาเป็นจำเลยสังคม ถึงแม้ว่าคนจะไม่รู้เลยว่าเขาคือใคร แต่เขาก็ต้องนั่งเศร้าที่บ้าน เขารู้ว่าคือเขาและเขาก็รู้สึกไม่ดีกับเรา รู้สึกแย่มากๆ อันนี้ที่พี่แคร์นะ”

นับวันว่ากันว่าน้ำใจคนนั้นยิ่งหายากขึ้นเรื่อยๆ อยากให้พี่ตุ๊กพูดถึงตรงนี้หน่อย
“คือพี่เข้าใจว่าสังคมสมัยนี้มันมีมิจฉาชีพมีอะไรมากขึ้น และต้องบอกว่าตอนนี้ขาดคุณธรรมและจริยธรรมกันไปพอสมควรในระยะที่ผ่านมา เพราะว่าสภาวะแวดล้อมหรืออะไรแก่แล้วแต่ทำให้คนต้องดิ้นรน ที่ต้องทำให้คนรู้สึกว่าคนคิดว่าไม่ใช่เรื่องของตัวไม่อยากเสียเวลา อย่างเมื่อ10 ปีที่แล้ว พี่เคยช่วยคนกรณีแบบนี้หน้ามหาวิทยาลัยเกษตร มอเตอร์ไซค์โดนรถชนแล้วกระเด็นตกไปในน้ำที่คลอง เราก็จอดช่วย ก็เรียกแท็กซี่เอาไว้เพื่อให้แท็กซี่พาไปพาหมอ ก็ช่วยคนขึ้นมาจากน้ำ เป็นสามีภรรยา เห็นแล้วว่าภรรยาขาหักแน่ๆ”

“เราก็ตามแท็กซี่เพื่อไปส่งโรงพยาบาล ก็เรียกตำรวจเขาถามว่าใครชน เขาชี้มาที่เรา เราก็บอกทำไมคุณเป็นอย่างนี้ พี่ก็บอกว่าคุณมั่วมากเลย แท็กซี่เขาก็บอกว่าคุณมั่วมากเลยคนนี้เขาเป็นคนเรียกรถผมเองเพื่อให้ช่วยคุณ พี่ก็เลยบอกว่าโอเคแค่นี้จบนะ ถึงมือหมอแล้ว เพราะว่าเสียความรู้สึก ก็ไม่ได้สนใจ ตำรวจเขาก็ไม่ได้สนใจ เขาก็ให้เรากลับ ก็อาจจะมีคนที่เขาเคยเจอแบบนี้เขาก็เลยไม่อยากช่วย”

“แต่พี่ไม่คิดนะ อย่างเห็นสัตว์ทุกตัวที่มาล้มตรงหน้าพี่ พี่เอาไปรักษาหมด พี่มีความรู้สึกว่าถ้าทุกคนมองเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเหมือนญาติมันจะไม่ทำร้ายกัน ไม่คิดร้ายต่อกัน มันจะคิดดีต่อกัน นี่คือความรู้สึกของพี่ แต่ก็อย่างว่า ทุกวันนี้มีอัตราเสี่ยงที่จะเจอมิจฉาชีพก็เยอะ”

“เพราะฉะนั้นเราไปเจอเหตุการณ์แบบนี้ก็ระวังไว้ด้วย ช่วยเท่าที่จะช่วยได้ อย่างน้อยๆ ก็ถ่ายรูปแล้วก็แชร์ ขอให้แจ้งเถอะ แจ้งตำรวจ แจ้งอะไรก็ได้ เพราะสมัยนี้อยากจะบอกว่าโซเชียลมันไปเร็วมาก ไม่ควรนิ่งดูดาย...”
กำลังโหลดความคิดเห็น