xs
xsm
sm
md
lg

“โก้” ปัดกร่างทิ้งโน้ตข่มขู่ บก.นิตยสารดัง รับมักง่ายแต่ไม่มีเจตนาร้าย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“โก้ ชาญชัย” ปัดทำตัวกร่างทิ้งโน้ตแปะหน้ารถข่มขู่ บก.นิตยสารดัง ยอมรับมักง่ายแต่ไม่มีเจตนาร้ายแค่อยากให้โทรศัพท์มาเคลียร์กัน เผยขอบคุณที่ทำให้ตนดังโดยไม่ทันตั้งตัว ลั่นหากยังไม่พอใจยินดีไหว้ขอโทษ รับลาออกจากช่อง 3 เพราะอยากก้าวหน้าและตนแก่เกินอ่านข่าวภาคดึกแล้ว ตั้งเป้าดันรายการบันเทิง “PP E News” แจ้งเกิดเต็มสูบ

กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมออนไลน์หลังได้มีการแชร์ภาพพร้อมข้อความที่ระบุว่าเป็นจดหมายจากอดีตผู้ประกาศข่าวช่อง 3 “โก้ ชาญชัย กายสิทธิ์” โดยเนื้อหาจดหมายเป็นการขอบคุณและขอโทษที่จอดรถทับที่คนอื่นแล้วโดนล็อกล้อรถ แต่หากรถของตนเกิดริ้วรอยก็ต้องเอาเรื่องเหมือนกัน โดยได้ทิ้งท้ายจดหมายด้วยชื่อของโก้และเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ด้วย ต่อมาภายหลังปรากฏว่าเจ้าของที่จอดรถคนดังกล่าว คือ “ชัชวิน อุณหะนันทน์” บรรณาธิการนิตยสาร Men’s Health โดยลูกน้องของอีกฝ่ายได้ตอบโต้โก้ด้วยข้อความเผ็ดร้อน ระบุว่าโก้ผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ข่มขู่โดยอ้างชื่อตัวเองคิดว่าใหญ่เสียเหลือเกิน แสดงอำนาจบาตรใหญ่โดยคิดว่าชื่อเสียงและหน้าที่การงานจะทำให้ได้เปรียบคนอื่นในการใช้ชีวิตในสังคมจนมีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมากตามเว็บไซต์ชื่อดังต่างๆ

ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้เจอโก้ในงานแถลงข่าว PPTV HD Home of The Best Series & Variety Show แนะนำผังรายการใหม่ พร้อมสรุปภาพรวมผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และแนวทางในอนาคตของช่องดิจิตอล PPTV โดยเจ้าตัวนั่งแท่นเป็นผู้บริหารและผู้อำนวยการฝ่ายข่าวบันเทิง ก็ได้เปิดใจถึงเรื่องดังกล่าว ยืนยันคู่กรณีแปลเจตนาของตนผิดจนทำให้ตนโดนด่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พร้อมเคลียร์หากอีกฝ่ายยังไม่พอใจ เปิดใจลาออกจากช่อง 3 เพราะอยากเติบโต และมองว่าตนมีความสามารถมากกว่าการอ่านข่าวภาคดึกอย่างเดียว เปรยแก่แล้วสุขภาพไม่เอื้ออำนวย พร้อมตั้งเป้าดันรายการบันเทิง PP E New เป็นบันเทิงที่ครบรส และไม่ขายเรื่องฉาวดารา

“ตอนนี้เรื่องราวมันไปไกลมากเขาแปลเจตนาผมผิดมาก คือคนเราถ้าจะขู่หรือว่าไม่เคารพกฎเกณฑ์ หรือจะไปทำร้ายใครทำไมเขาจะต้องเขียนชื่อ เขียนเบอร์โทรศัพท์เพื่อให้ตามตัวได้ขนาดนั้น เพราะนิสัยผมผู้ใหญ่หรือทุกคนที่รู้จักก็จะรู้ดีว่าผมเป็นยังไง ผมไม่ได้มีความคิดที่จะไปอะไรอย่างที่เขาว่าเลยแม้แต่น้อย แล้วพอเขาแปลความผิดเขาก็ไปเขียนจากบรรทัดเดียวกลายเป็นยาวเลย”

“กลายเป็นว่าผมไปเบ่งกับเขาซึ่งมันไม่ใช่ ผมก็ได้แต่นิ่งและไม่ตอบโต้อะไรไม่ว่าจะทางไหน เหมือนเราเดินออกมาจากบ้านแล้วมีคนมายืนชี้หน้าด่าผมก็ตกใจนะแต่ก็ยืนฟังอยู่แป๊บหนึ่ง ซึ่งพอฟังแล้วก็รู้สึกว่าเขาด่าคนที่ไม่ใช่เรา เราไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วเราจะเดือดร้อนทำไม ก็เลยเฉยๆ ส่วนใครจะไปพูดต่อ ด่าผมต่อมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ คนในวงการทุกคนก็เจอเรื่องแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่ต้องทำใจ”

“เจตนาผมไม่ใช่แบบนั้นเลย ฉะนั้นเมื่อเจตนาเราไม่ใช่สิ่งที่เขาเขียนมาทั้งหมดก็ไม่เป็นความจริง ซึ่งความจริงที่ผมลงชื่อและเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ คือจะบอกว่าคุณไม่พอใจอะไรผมถึงสั่งให้ล็อกรถกันเลย แล้วหน้ารถของผมก็มีรอยมือเต็มไปหมด ก็โทรมาหาผมสิผมก็จะขอโทษอย่างเป็นกิจลักษณะ แต่เขาไม่เลือกวิธีโทรมาหาผม เขากลับแคปข้อความแล้วเอาไปส่งต่อ กลายเป็นเรื่องยาว ผมก็งงเหมือนกันนะว่าเดี๋ยวนี้มันกลายเป็นเรื่องของการว่าคนโดยที่ไม่ดูถึงเหตุผล และต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง แล้วก็ทำให้เขาเสียไปเลย”

“ต้องบอกตรงๆ ว่าผมเพิ่งเข้าไปอยู่ตึกนั้นได้ประมาณ 10 วัน ก็เหมือนโดนรับน้อง คือบัตรจอดรถในวันนั้นผมได้ชั้น 4b แต่พอจะไปจอดจริงๆ เขาจะให้ไปจอดช่องที่เข็นซึ่งรถผมมันเข็นไม่ได้ เพราะมันเป็นรถยุโรป ก็เลยต้องเข้าซอง ผมก็วนขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วที่จอดรถที่นั่นทุกชั้นก็มีแปะไว้หมด แล้วแต่ว่าเขาจะจัดสรรยังไงว่าใครจะจอด มันเหมือนมีเจ้าของหมดทุกที่ผมก็ขึ้นไปถึงชั้น 6a คิดว่ามันก็สูงพอสมควรแล้วล่ะ และมันก็ได้เวลาทำงานแล้ว ตอนนั้นประมาณ 10 โมง ก็จอดไปก็ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่พอลงมาโดนล็อกล้อ ผมก็ถามรปภ.ว่าอะไรยังไง ก็ถามจนรู้ว่าเป็นที่จอดรถของเขา ผมก็เลยเขียนโน้ตแล้วก็ถามรปภ. ว่ารถเขาคันไหน แล้วไปแปะไว้ที่กระจกรถของเขา ซึ่งเขาขึ้นไปจอดอีกชั้นหนึ่ง ที่ผมเขียนก็เพื่อจะได้คุย ได้ขอโทษเขาไม่อย่างนั้นจะมีการสื่อสารกันได้ยังไง”

ยันคู่กรณีแปลเจตนาผิดจนเกิดผลเสียยากเยียวยาเพราะตนโดนด่าอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน
“ผมก็ไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว และคนที่เป็นเจ้าของรถก็ไม่ได้เป็นคนที่เขียนด่าผมนะ คนที่เป็นเจ้าของรถน่าจะเป็นหัวหน้าของเขา ซึ่งผมก็ไม่อยากจะพูดไปประเด็นนั้น เดี๋ยวจะหาว่าผมไปว่าเขามันก็ไม่จบอีก แต่เหตุการณ์ครั้งนี้มันกระทบผมโดยตรงเลย โกรธไหมคนโดนด่าแบบนี้มันก็ต้องมีรู้สึกนะ แต่จริงๆ ผมขอบคุณเขามากกว่า เพราะว่ามันเป็นการเตือนให้ผมได้รู้ว่าการกระทำอะไรก็แล้วแต่ต่อให้เราระวังแค่ไหน ถ้าเกิดว่ามันมีสถานการณ์หรือมีเรื่องอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องเจตนาก็ถูกแปลและเกิดผลเสียที่ยากจะเยียวยาได้ ต่อไปผมจะได้ระมัดระวังตัวมากขึ้นก็เท่านั้นเอง”

“ตอนนี้คนก็แท็กต่อกันไปด่าผมสาดเสียเทเสียเยอะแยะเต็มไปหมด ผมก็เลือกที่จะไม่ดูเพราะมันคอนโทรลไม่ได้ แต่ผมก็ขอบคุณเขาอีกด้านหนึ่งที่เขาทำให้ผมเป็นที่รู้จักถึงแม้จะเป็นในเรื่องที่ไม่ดีก็เถอะ ผมก็เลยใช้โอกาสนี้ฝากไปถึงคนสองกลุ่มเป็นอย่างน้อยนะครับ คือพี่ๆ ในวงการแฟชั่นซึ่งน่าจะรู้จักผมดีแล้วจากเหตุการณ์นี้ (หัวเราะ) ก็ฝากบอกพี่เขาว่าตอนนี้น่าจะเคลียร์แล้ว เข้าใจเจตนาผมแล้วว่าผมไม่มีอะไรจริงๆ และผมก็ขอโทษถ้าจะทำให้รู้สึกไม่ดีกัน”

“แต่ผมขอใช้โอกาสนี้ รายการ PP E News ของผมมันมีคอลัมน์แฟชั่นด้วย ออกอากาศทุกวัน ถ้าพี่มีเรื่องราวแฟชั่นอะไรพี่เรียกผมเลย ผมจะส่งคนไปทำข่าว ผมจะพาน้องๆ ไปสวัสดีพี่ๆ เพื่อทำความเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะผมไม่ได้อยากจะมีเรื่องทะเลาะกับใคร และส่วนคนดู ผมก็อยากจะฝากไปถึงคนดูทุกๆ คนที่รู้จักผมในแง่ไม่ดีแล้ว แต่พอเข้าใจเจตนาของผมก็อยากจะให้เปิดใจและเปิดโอกาสในการทำงานต่อไปของผม ทั้งอ่านข่าวปกติ ทำข่าวก็อยากจะให้ดูผลงานของผม เพราะผลงานต่างๆ เหล่านั้นก็จะเป็นสิ่งที่แสดงตัวตน ความคิด ทัศนคติของผมลงไปในงานทุกอย่าง แล้วคุณก็ลองพิสูจน์ดูว่าสิ่งที่ผมทำที่ออกมาสู่สาธารณะมันคือตัวตนที่แท้จริงของผมแบบนั้น และมันเป็นอย่างที่เขากล่าวหาหรือเปล่า”

ลั่นพร้อมยกมือไหว้ขอโทษหากทำให้ขุ่นเคืองใจ
“จะให้ผมไปเคลียร์กับเจ้าของรถเมื่อไหร่ก็ได้เลย จะว่าผมมักง่ายก็ได้ผมยอมรับ ผมยกมือไหว้เลยก็ได้นะถ้าเกิดมันทำให้ขุ่นเคืองได้ขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะให้เบอร์โทรศัพท์ไปทำไม ผมก็อยากเจอแล้วก็มาพูดคุยกันดีๆ ผมไม่ได้มีเจตนาอะไรเลย ผมอยากคุยคือผมนิสัยเสียเพราะผมชอบเคลียร์ ผมไม่อยากคาใจ ผมทำงานมาขนาดนี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมตระหนักอยู่เสมอคือ การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้คน ผมไม่เคยโดนด่าเรื่องแบบนี้เลย ผมก็แปลกใจว่ามันเกิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง”

เผยลาออกจากช่อง 3 ด้วยดี ยันแก่เกินอ่านข่าวภาคดึก อีกทั้งได้โอกาสดีนั่งแท่นผู้บริหาร PPTV
“ผมออกจากช่อง 3 มาตั้งแต่สิ้นเดือนเมษายนครับ แล้วก็หยุดพักไปหนึ่งเดือนก่อนมาเริ่มงานกับที่นี่เดือนมิถุนายน ก็เซ็นสัญญาอยู่กับที่นี่เลยครับ ผมพยายามทำงานให้ดีที่สุดและอยู่ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ที่ตัดสินใจออกมาจากช่อง3 มันมีหลายปัจจัยนะ แต่กับช่อง 3 ที่เราทำรายการตระเวนข่าว ดูจากเรตติ้งแล้วไม่น่าเชื่อว่าดึกขนาดนั้นคนยังดูได้มากขนาดนั้น ผมก็มีความสุขนะ”

“แต่ด้วยอายุก็จะ 40 อยู่แล้ว สุขภาพด้วย ถ้าเรายังโหมอยู่ในช่วงเวลาที่ดึกๆ แบบนั้น ในระยะยาวผมว่ามันจะลำบากมาก ก็เลยต้องตัดสินใจว่าเราควรจะไปในช่วงเวลาที่คนยังจดจำ และไปเริ่มทำงานอะไรใหม่ๆ ซึ่งทาง PPTV ก็ให้โอกาสในการทำงานอย่างอื่นด้วย ก็ให้ผมมาเป็นผู้บริหาร ผมมาในตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายข่าวบันเทิง ผมก็เลยได้มีโอกาสปั้นรายการ PP E News รายการข่าวบันเทิงซึ่งเตรียมจะออกอากาศ 30 กรกฎาคม ผมดูทั้งหมด ทั้งคอนเทนต์เนื้อหาวิธีการสื่อสารพิธีกร ต้องบอกว่าได้มีโอกาสได้ใช้ประสบการณ์ที่เก็บเกี่ยวมากับรายการอย่างเต็มที่ ส่วนงานอ่านข่าวก็ยังอ่านอยู่ ก็มาอ่านอยู่รายการ เข้มข่าวค่ำนี่แหละครับ”

ฟุ้งเน้นบันเทิงมีสาระ รับหวั่นใจว่าจะถูกใจคนดูมากน้อยแค่ไหน
“เป็นโอกาสที่ท้าทายความสามารถดี ความคาดหวังของผมก็คือ เราได้มาทำอะไรใหม่ๆ ซึ่งผมขอบคุณ PPTV มากที่ให้โอกาสได้นำเสนอแนวความคิดอะไรใหม่ๆ แต่เรื่องที่กังวลก็คือมันจะถูกใจคนดูหรือเปล่า ถ้าไม่ถูกใจก็ถือเป็นโอกาสที่ดีให้เราได้ปรับปรุง และทำให้มันเข้ากับตลาดมากขึ้น เพราะผมเน้นเรื่องของการทำบันเทิงที่มีสาระ มีความสนุกสนานและถูกใจคนดู เพราะความบันเทิงของผมต้องเป็นความบันเทิงที่คนดูสามารถสัมผัส จับต้องได้”

เผยเคยเสนอทำรายการช่อง 3 แต่ผู้ใหญ่ติดภาพผู้ประกาศข่าวมากเกินไปจนนึกไม่ถึงว่าตนทำอะไรได้
“ที่ผมไม่ได้ทำรายการที่ช่อง 3 ต่อ เพราะมันแล้วแต่จังหวะและโอกาสมากกว่า ในช่อง 3 ตอนนี้คนก็เข้ามามากพอสมควร ฉะนั้นช่องทางที่จะทำของแต่ละคนก็ย่อมมีความแตกต่างกันไม่เท่ากันบ้างก็แล้วแต่ อาจจะเป็นที่ผู้ใหญ่อาจจะมองว่า คนนี้อาจจะเหมาะกับตรงนี้ๆ เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับแต่ละคน ผมก็มีช่องทางในการที่ผมจะได้แสดงความสามารถของผมตรงนี้เท่านั้นเอง”

“ก็มีการนำเสนอ มีการคุยกับผู้ใหญ่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่รายการแบบบันเทิงจ๋าขนาดนี้ ซึ่งเขาอาจจะมองภาพผมมาตั้งแต่แรกจนปัจจุบันว่าอยู่กับข่าวมาตลอด ก็อาจจะติดภาพตรงนั้นมั้ง ก็อาจจะนึกไม่ถึงว่าจริงๆ แล้วผมก็น่าจะทำรายการประเภทอื่นๆ ได้ บันเทิงผมก็คุมได้ ทำได้และรายการอื่นๆ ที่มีคอนเซ็ปต์อยู่ในใจก็มีอยู่เยอะ แต่ว่าด้วยภาพของเรามันก็เลยทำให้กลบทุกสิ่งอย่าง แต่จริงๆ แล้วคนเราทำได้หลายรูปแบบ”

ปัดน้อยใจจนทำให้ลาออก ยันรักผู้ใหญ่ช่อง 3 เหมือนเดิมเพราะจากกันด้วย
“ไม่ได้มีเรื่องน้อยใจอะไรกันเลยครับ ต้องบอกว่าผู้ใหญ่ทางช่อง3 ทุกท่านน่ารักและมีความเมตตาผมนะ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ผมมีปัญหา ในช่วงที่ไม่มีเสียงท่านก็ยังให้ทำงาน นั่นคือสิ่งที่เป็นน้ำใจเป็นบุญคุณ เพราะผมอยู่บ้านนี้มาทั้งหมด 17 ปี ผมยังสำนึกไว้อยู่เสมอ และไม่คิดว่าจะมาเป็นประเด็นที่ทำให้ผมย้ายนะ คือทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง แล้วพอดีผมมีโอกาสตรงนี้ก็มาเปลี่ยนแปลงในหน้าที่ของการทำงาน จากคนที่อยู่เบื้องหน้าซะอย่างเดียว ตอนนี้มาอยู่เบื้องหลังบ้าง แต่ว่าเบื้องหน้าเราก็ไม่ได้ละทิ้ง ก็มีโอกาสที่จะได้ทำอะไรที่มากขึ้นกว่าเดิม”

“มันเป็นเรื่องของโอกาสในการทำงานมากกว่า แต่ไม่ได้มีประเด็นว่าน้อยใจผู้ใหญ่เลย จากกันด้วยดีครับ ถึงวันนี้ผมก็ยังรักคุณประวิทย์อยู่เหมือนเดิม รักผู้ใหญ่ในช่อง3 เหมือนเดิม แต่โลกนี้มันก็ไม่แน่นอน วันนี้เราทำงานอยู่ PPTV ก็อาจจะมีอะไรที่จอยกับช่อง 3 ก็ได้ ทุกอย่างมันเป็นวัฐจักรเดียวกันหมดในวงการบันเทิง และผมถือมากๆ คือความกตัญญู ความรักในสถานที่ที่ให้บุญคุณกับเรามา ผมว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เขาให้เรามาขนาดนี้ เหมือนเป็นโรงเรียน เป็นบ้าน เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วเราจะไปมีเรื่องกับเขามันก็ไม่ใช่ ก็ยังรักอยู่เหมือนเดิม แต่ว่าที่นี่เป็นที่ที่ให้โอกาสในการทำงานใหม่ๆ ซึ่งเราก็ต้องเต็มที่กับตรงนี้เหมือนกัน ไม่ว่าไปอยู่บ้านไหนก็ต้องเต็มที่กับที่นั่นทุกที่”

โต้ชวน “ปราย ธนาอำพุฒ” อดีตผู้ประกาศข่าวช่อง 3 ย้ายมาทำด้วยกัน ยันปรายออกก่อน ตนมาทีหลัง
“ตอนนี้ปรายก็มาอยู่ที่นี่มาดูเรื่องรายการ เขาก็ปั้นรายการเกี่ยวกับวาไรตี้แล้วก็มีอีกหลายรายการมาก เราสองคนยังมานั่งคุยกันนอกรอบ เพราะเราเป็นคนที่มีอะไรอยู่ในหัวเยอะมาก แต่มันยังไม่มีโอกาสได้แสดงออก ฉะนั้นพอมีโอกาสเราก็เลยจัดเต็มในแนวคิด ความเป็นตัวตน หรือวิธีการอะไรที่เราคิดว่ามันน่าจะนำเสนอได้เยอะมากขึ้น”

“จริงๆ ปรายเขาออกมาก่อนผมอีก แต่เราไม่ได้คุยกันก่อนล่วงหน้านะ ปรายมาก่อนด้วยซ้ำผมก็อยู่ในช่วงตัดสินใจ สุดท้ายก็โอเคว่ามา ปรายก็ดูเรื่องรายการต่างๆ ผมก็ดูเรื่องข่าวบันเทิง ส่วนพี่ปุ้ย (พิมลวรรณ หุ่นทองคำ) ก็เพิ่งออกไปอยู่ช่อง 2 (ยิ้ม) แต่ผมว่าไม่ใช่เรื่องการดึงตัวอะไรหรอกครับ ผมคิดว่าการที่เราจะได้เริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ บางทีมันก็ต้องมีจุดเปลี่ยนนะ คือช่อง 3 เราก็รัก เป็นบ้านเป็นครอบครัวไปแล้ว แต่พอถึงจุดหนึ่งเราก็ต้องการความเติบโต อย่างเรื่องบริหารผมไม่เคยทำ พอมีโอกาสได้ทำก็ต้องลอง”

“พอมาทำงานบริหารก็มีปัญหาและอุปสรรคเยอะมากเพราะผมไม่เคยทำ ก็เลยต้องจัดระบบชีวิตใหม่หมด เราไม่ได้ดูแลแค่ตัวเองแล้ว ตอนเป็นผู้ประกาศข่าววก็จบแค่งานของตัวเองรับผิดชอบให้ดีที่สุด แต่จริงๆ แล้วงานเบื้องหลังมันมีเยอะมากกว่านั้น กว่าจะออกมาเป็นรายการหนึ่งรู้ซึ้งเลยว่า กว่าจะออกมาแค่คอนเทนต์เนื้อหารายการ เขียนข่าวยังไง ออกไปทำข่าวยังไง ทำสกู๊ปยังไง ต้องฝึกคนใหม่ๆ ผู้สื่อข่าวเอย คนรายงานข่าวเอย ซึ่งปรากฏว่าสิ่งต่างๆ ที่เราไม่เคยทำในเชิงบริหาร แต่พอเรามานั่งปุ๊บประสบการณ์มันบอกเราเลยว่าจากตรงนี้เราจะตัดสินใจสั่งการแต่ละอย่างอย่างไร จัดการกับปัญหาตรงนี้อย่างไร คือมันออกมาโดยอัตโนมัติอย่างที่เราก็ไม่เคยรู้มาก่อนเหมือนกันว่าเราทำได้ ก็เลยรู้สึกว่ามันสั่งสม มันอยู่กับตัวเรามาตั้งนานแล้ว และก็ได้โอกาสใช้มัน”

ลั่นขอทำรายการแข่งกับตัวเอง หวังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ข่าวบันเทิงไม่เน้นบันเทิงที่ฉาบฉวย ปั้นพิธีกรนักข่าวใหม่ทั้งหมด
“ซึ่งผมบอกได้เลยว่ารายการบันเทิงของผมจะเป็นบันเทิงแบบครบรส ผมตีโจทย์ความบันเทิงว่าไม่ใช่มีแค่เรื่องดาราที่แค่มีประเด็นตอบโต้กันไปวันๆ แต่ก็มีนะไม่ใช่ไม่มี แต่จะมากขึ้นไปคือเราจะมีสกู๊ปเสริม และงานไหนเป็นงานที่มีประโยชน์ อย่างวิ่งเพื่อการกุศลมีกิจกรรมปลูกป่า คือมีอะไรที่ทำเพื่อสังคมได้ตรงนั้นผมก็จะเน้นว่าควรจะมีเนื้อเรื่องนะ มากกว่าที่จะมีแต่เรื่องของดาราอย่างเดียวและตีโจทย์เรื่องความบันเทิงใหม่ว่าไม่ใช่แค่เรื่องดาราแล้วล่ะ การดูหนัง ฟังเพลง ชิล ช้อป ชิม แฟชั่นเราจะครอบคลุมทั้งหมด พยายามจะทำให้ได้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะว่าทุกอย่างมันคือข่าวบันเทิงที่ควรดู ซึ่งเราจะต้องตอบสนองโจทย์ตรงนี้ให้ได้”

“ตอนนี้รายการบันเทิงมีเยอะมากจริงๆ แต่เราก็ต้องแข่งกับตัวเองก่อน ถามว่าจะเป็นบันเทิงแบบตลาดเลยไหม เม้าท์กัน เผาขนกันแล้วมาตามแก้ข่าวกัน เราคงไม่ไปเกาะประเด็น เพราะว่าจริงๆ แล้วเราคำนึงถึงคนที่อยู่ในข่าวด้วยนะ คือเวลาที่ดาราเขาออกงานแต่ละที ก็คงมีประเด็นที่เขาอยากจะพูดตั้งหลายเรื่อง หรือประเด็นที่เขาไม่อยากจะพูดเลย แต่ก็จี้จนกว่าจะได้ ถามว่าเราตามไหมก็ตาม แต่ว่าท้ายที่สุดแล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้เราต้องย้อนกลับมาดูว่ามันให้ประโยชน์อะไรกับคนดู บางทีไปขุดเรื่องเขามา บางทีก็มีคลิปโน่นนี่ บางทีผมก็รู้สึกว่ามันหมิ่นเหม่ต่อศีลธรรมนะ เราจะพยายามทำข่าวให้ดาราหรือคนที่ตกเป็นข่าวรู้สึกว่าไว้วางใจเรา และวันหนึ่งอยากให้เขารู้สึกว่าเลือก PPTV สิ อยากจะพูดอยากจะอธิบายในเรื่องที่เป็นประเด็น อยากจะเป็นสื่อที่คนดูก็ชื่นชอบ ดาราหรือคนในข่าวก็ไว้ใจ และให้อะไรกับสังคมมากกว่าความบันเทิงที่ฉาบฉวย นั่นคือสิ่งที่ต้องการจะต่อสู้ต่อไป”

“ผมตั้งใจจะปั้นพิธีกรและนักข่าวใหม่เลยครับ เพราะเรื่องบันเทิงก็ควรจะเป็นเด็กรุ่นใหม่ๆ นะ ผมมีความสุขนะที่วันหนึ่งได้มาเป็นคนเลือกพวกเขา และได้มาฝึกตั้งแต่พวกเขายังทำข่าวไม่เป็น ช่วงแรกๆ ผมพาออกงานด้วยเลยนะ พาไปดูว่าควรสัมภาษณ์ยังไง พูดยังไง ประเด็นยังไง ทำให้เขารู้สึกว่ามันเป็นงานที่เราจะต้องทำ ไม่ใช่แค่มานั่งอ่านแต่ในสตูดิโอ แต่ผมพาผู้ประกาศของผมลงสนาม และผมก็ดูด้วยตัวเองว่าต้องสัมภาษณ์ยังไง ทำอย่างไรให้ดารารู้สึกเป็นมิตรกับเราและให้เราสัมภาษณ์ คือฝึกกันอย่างนั้นเลยครับ และพอออกมา ณ วันนี้ผมรู้สึกดีนะงานยังไม่ออกมานะ แต่เด็กที่เราฝึกฝนมาจะด้วยศักยภาพของเขา จะด้วยพรสวรรค์ จะด้วยสิ่งที่เราเสริมเข้าไป มันรู้สึกสบายใจ และผมก็พร้อมที่จะผลักดันเด็กของผมเต็มที่ ปั้นมากับมือเลย”

“ตอนนี้มีพิธีกรอยู่ 3 คู่ เพราะรายการเรามีอยู่ 2 ช่วง คือ 13.00 - 13.30 น. และ 20.20 - 20.30 น. ซึ่งเป็นรายการเจ็ดวัน พิธีกร 3 คู่ก็จะสลับสับเปลี่ยนกันไป ก็ใช้เวลาปั้นกันเป็นเดือนนะ ถือว่า 1 เดือนเป็นเวลาที่น้อยมากสำหรับการที่จะปั้นคนขึ้นมาให้ทำได้ แต่ผมก็อัดเต็มที่ให้ออกมาเท่าที่ได้ประมาณนี้ ที่เหลือก็ต้องฝากคนดูแล้วว่าจะดูแลน้องๆ ผมยังไง จะให้โอกาสน้องๆ ผมไหม เพราะผมจะทำยังไงก็ได้ให้น้องๆ ผมออกสื่อมากที่สุด และโตไปได้เป็นบุคลากรของวงการบันเทิงที่มีคุณภาพที่มากกว่าจะเป็นแค่พิธีกรรายการผม (ยิ้ม)”

ลั่นต่อไปถ้าใครจะดูข่าวบันเทิง จะต้องดู PPTV เป็นทางเลือกแรก
“ถ้าถามว่าอยากจะทำมาโค่นใคร ถ้าเป็นเชิงธุรกิจเราก็ต้องการเอาชนะแหละ ต้องการทำให้ดีเป็นที่พูดถึงว่าถ้าพูดถึงวงการบันเทิงก็ต้องดู PPTV นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุด แต่ผลพวงหลังจากนั้นมันจะชนะใครอีกเรื่องหนึ่ง สุดท้ายแล้วทุกคนในวงการก็เป็นพี่เป็นน้องกัน ไม่ได้ออกมาฆ่าใคร เพราะเจตนาผมคือเป็นมิตรกับทุกรายการ เราอาจจะเป็นสื่อที่ลิงค์กันก็ได้ในอนาคต”

“ผมตั้งเป้าไว้ว่าภาพรวมใน 3 เดือนหลังจากออกอากาศผลจะเป็นยังไง ผมจะคอยดูคอยปรับให้มันดีขึ้น ไม่ใช่ว่าทำเสร็จแล้วปล่อยออกอากาศไปตามยถากรรม เพราะผมนั่งเขียนสคริปต์ให้น้องๆ เองเลยนะ ผมดูละเอียดจริงๆ พอให้เขาคุ้น ก็จะให้เขาลองทำเองและต่อไปก็คาดว่าพวกเด็กๆ ต้องทำรายการสดได้ ตอนนี้อาจจะเป็นเทปตามประสารายการบันเทิงทั่วไป แต่ผมหวังว่าเด็กๆ ของผมจะต้องจัดรายการสดได้ 3 เดือนหลังจากนี้”

“ถ้าให้คะแนนเต็ม 10 ตอนนี้ผมให้ตัวเอง 0 นะ เพราะผมเริ่มจากศูนย์แต่มันจะต้องพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ผมเพิ่งเริ่มหัดเดิน แต่ต่อไปผมจะต้องวิ่ง แต่หลังจาก 3 เดือนไปแล้วก็ไม่หวังว่าจะได้เต็ม 10 นะ ผมขอสัก 8 หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยต้องเกินครึ่งล่ะ เพราะตั้งใจขนาดนี้แล้ว”

ฟุ้งอยากอยู่วงการข่าวให้นานเหมือน “สรยุทธ สุทัศนะจินดา”
“ตอนนี้ได้มีโอกาสมาทำข่าวบันเทิงแล้ว อ่านข่าวของตัวเองให้ดี และก็อยากจะมีรายการวาไรตี้ของตัวเองที่ตัวเองเป็นพิธีกร ณ วันหนึ่ง เพราะว่าคนเราคงอ่านข่าวตลอดชีวิตไม่ได้หรอก ผมก็อยากอยู่ให้ได้นานๆ เหมือนพี่สรยุทธ ผมก็รักพี่เขาแต่ก็มองว่างานทุกๆ อย่างในวงการบันเทิงมันก็เป็นแขนงเดียวกัน จะเป็นข่าวหรือจะเป็นบันเทิงก็แล้วแต่ อยู่ที่ว่าเราจะทำตรงไหนได้เหมาะสมได้ดีที่สุด ถ้ามีโอกาสก็อยากทำ ด้านผู้จัดละครก็แอบสนใจนะ แต่ตอนนี้เรายังไม่มีความชำนาญในด้านนั้น คงต้องใช้เวลาในการเรียนรู้อีกเยอะ แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากทำครับ”





ติดตามรับชมช่อง “Super บันเทิง” ได้ที่ Super บันเทิง live



ข่าวบันเทิง, ถูกต้อง, รวดเร็วฉับไว ทั้งไทย และเทศ http://www.superent.co.th

ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม







เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ 7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย
ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540
ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก
ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000
*ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก

กำลังโหลดความคิดเห็น