โดย : บอน บอระเพ็ด (skbon109@hotmail.com)
แม้ชื่อเล่นจะเหมือนผู้หญิง แต่ลีลาการเป่าแซ็กโซโฟนของเขาถือว่าสุดติ่งกระดิ่งแมวมาก สำหรับ “มิ้นท์ - ภาสกร โมระศิลปิน” หนุ่มน้อยร่างใหญ่ที่เป็นนักแซ็กโซโฟนดาวรุ่ง มีดีกรีคว้ารางวัลจากการประกวดมาหลายเวที
อย่างไรก็ดีด้วยความที่ตลาดเพลงแจ๊ซบ้านเรายังจำกัดวงคนฟังอยู่ ทำให้ชื่อของมิ้นท์-ภาสกร ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในตลาดเพลงกระแสหลัก แต่ในแวดวงแจ๊ซนั้นต่างรู้จักเขากันไม่น้อย และยอมรับในฝีมือฝีปากการเป่าแซ็กของหนุ่มคนนี้ว่าเด็ดนัก
เท่าที่เคยดูมิ้นท์เล่นสดๆมาบ้าง ผมชอบสำเนียง สไตล์ การอิมโพรไวซ์ของเขามาก โดยเฉพาะลูกโซโลอันดุดันกราดเกรี้ยวนั้นผมชื่นชอบเป็นพิเศษ เพราะมันทรงพลังเร้าใจ สามารถกระชากอารมณ์ร่วมของคนฟังให้โลดแล่นไปกับเสียงแซ็กอันรื่นไหลของเขาได้เป็นอย่างดี
สำหรับมิ้นท์เขาเคยเรียนที่คณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร จากนั้นได้เข้าเป็นมือแซ็กประจำวง “อินฟินิตี้”อยู่หลายปี กระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ มิ้นท์กับผองเพื่อนตกผลึกทางความคิดจึงทำอัลบั้ม “My Diary” ออกมา โดยมีค่ายเพลงที่เน้นการทำเพลงคุณภาพและกล้าทำเพลงสวนกระแสอย่าง “ใบชาsong” เป็นผู้จัดจำหน่าย
อัลบั้ม My Diary นอกจากมิ้นท์ที่มีร่ายลีลาแซ็กโซโฟนเป็นตัวชูโรงแล้ว ยังมีทีมนักดนตรีได้แก่ “ซอล-สร้างสรรค์วัฒนกุล” : คีย์บอร์ด, “อัฐ-วารินทร์ ถาธัญ” : เบส, “สำลี-สถิตพร สมพงษ์” : กลอง และ แนท-บัณฑิตา ประชามอญ มาร่วมฝากเสียงร้องไว้ 2 เพลง โดยมีมิ้นท์รับทำหน้าที่โปรดิวซ์และบันทึกเสียงเอง
My Diary เป็นอัลบั้มที่มีความพิเศษ เพราะเป็นการบันทึกเสียงกันสดๆในสตูดิโอเพื่อให้ได้อารมณ์ร่วมในแบบแจ๊ซกันเต็มที่ โดยมีบทเพลงทั้งหมด 7 แทรค เปิดตัวกันด้วย “Slide” ที่มิ้นท์เป็นคนแต่งเอง เพลงนี้มาในกลิ่นฟังก์กี้แจ๊ซร็อก เปิดพื้นที่ให้แซ็กโซโซโฟนวาดขับเคลื่อนลีลาในแบบมิ้นท์ คือ ดุดัน ทรงพลัง มีทางของตัวโน้ตที่น่าฟัง พร้อมกับการอิมโพรไวซ์พูดคุยกันของเครื่องดนตรีต่างๆกันอย่างเข้าขา
ต่อกันด้วย “One Note Samba” ของเจ้าพ่อบอสซ่า “อันโตนิโอ คาร์ลอส โจบิม” ที่ฉีกแนวรสบอสซ่าจากต้นตำรับมาเป็นแจ๊ซติดกลิ่นหลอนๆ โดยเฉพาะกับซาวนด์คีย์บอร์ดลอยๆที่เล่นคุมเป็นแบ็คกราวน์ เพลงนี้มิ้นท์ลดความดุมาเป็นเป่าแบบสบายๆ เน้นกรู้ฟที่น่าฟัง มีสนทนาภาษาดนตรีกันอย่างสนุก ทั้ง แซ็ก เบส คีย์บอร์ด แต่งานนี้ไม่ต้องไปนึกอารมณ์บอสซ่าตามต้นตำรับ เพราะไม่มีให้ฟัง
ส่วนเพลง “The Shadow in the Darkness” ที่มิ้นท์แต่งเองในแทรคที่ 3 นั้น ได้แสดงลายเซ็นของความเป็นมิ้นท์มาอย่างเต็มที่ ทั้งกระเส่า เร่าร้อน ดุดัน รื่นไหลไปกับผองเพื่อน ทั้ง คีย์บอร์ด เบส กลอง ซึ่งผลัดกันรับ-ส่งตัวโน้ตไปตามไอเดียการสร้างสรรค์ของแต่ละคน แต่ฟังแล้วมีความกลมกลืนต่อเนื่อง ไม่รู้สึกสะดุด โดดออกมา ถือเป็นอีกหนึ่งเพลงแจ๊ซฝีมือคนไทยที่เทียบชั้นมาตรฐานสากลได้อย่างไม่เคอะเขิน
เปลี่ยนอารมณ์มาฟังสำเนียงแบบไทยๆในลีลาแจ๊ซเลือดผสมกับ “นกขมิ้น”(Nok Khamin) บทประพันธ์ของครู“พยงค์ มุกดา” ที่มาในโหมดหวานกับเสียงโซโลโซปราโนแซ็กหวานๆ แรกๆตัวเพลงขับเคลื่อนๆมาในกลิ่นไทยๆ น้ำหอม น้ำอบ ประพรม โดยมีเสียงร้องเอื้อนหวานๆ(เฉพาะเอื้อน)และเบสในทางเมโลดี้ไทยมาร่วมกันสร้างสีสัน และค่อยๆทวีดีกรีความเข้มข้นขึ้น ก่อนจัดเต็มลูกอิมโพไวซ์ร่ายตัวโน้ตอันรื่นไหลอย่างสุดมัน โดยมีเสียงร้องเอื้อนแบบเพลงไทยเดิมของแนทมาเป็นตัวขโมยซีน
เพลงนกขมิ้นถือเป็นอีกหนึ่งไอเดียใหม่ๆของการนำเพลงไทยเดิมมาผสมกับความเป็นแจ๊ซในแบบสากล ที่ฟังแล้วได้อรรถรสแตกต่าง ไม่ย่ำรอยเดิม
ใช่ว่าจะแต่งแต่เพลงดุๆแต่กับเพลงช้าๆมิ้นท์ก็แต่งได้ กับ “Sandglass” เพลงบัลลาดหวานอ้อยสร้อย มีกลิ่นของความเป็นป็อบเจือกับท่วงทำนองสวยงามดนตรีไม่ซับซ้อน
ต่อกันในโหมดเพลงช้ากับ “Time in the Bottle” บทเพลงอมตะของ “จิม โครเซ” ที่ถูกนำมาตีความใหม่ แบบลืมรสต้นตำรับไปได้เลย
เพลงนี้ใส่ไอเดียใหม่เข้าไปในขวดโหล ในความช้าเนิบของบทเพลงไม่วายที่ยังมีลูกอิมโพรไวซ์อันเข้มข้นของเสียแซ็กมาทิ้งเป็นลายเซ็นฝากไว้ ส่วนเสียงเปียโนจากการพรมนิ้วของซอลที่มาพร้อมกับเมโลดี้สวยๆนั้นก็สร้างอารมณ์ร่วมได้เป็นอย่างดี ขณะที่เสียงร้องของแนทที่มาร่วมอิมโพรไวซ์ ในรูปแบบของ Voice(ร้องเป็นตัวโน้ต ไม่ได้ร้องเพลงเป็นภาษา) คล้ายๆงานของ แพท เมธินี นั้น ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสีสันที่ทำให้เพลงเอกของจิม โครเซ เพลงนี้น่าฟังยิ่งขึ้น
จากนั้นมิ้นท์เลือกปิดท้ายกับ “Slide(Cover)” บทเพลงสั้นๆจากการแต่งของเขา ที่มีเสียงแซ็กอัดซ้อนไลน์ดวลกันอย่างร้อนเร่าเมามัน ทิ้งท้ายลายเซ็นเสียงแซ็กในแบบฉบับของมิ้นท์ได้เป็นอย่างดี
ครับและนี่ก็เป็นบันทึกแห่งเสียงดนตรีของ มิ้นท์ - ภาสกร หนุ่มน้อยร่างใหญ่ ซึ่งมนต์เสน่ห์จากฝีมือและไอเดียการสร้างสรรค์ในอัลบั้มชุดนี้ส่งผลให้สามารถคว้ารางวัล คม ชัด ลึก อวอร์ด ครั้งที่ 11 ในสาขาเพลงบรรเลงยอดเยี่ยมมาครองได้ นอกจากนี้เข้ายังได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงในสาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมในรายการเดียวกันด้วย
สำหรับอัลบั้ม My Diary นั้นแม้จะมีเพลงไม่มากไม่มาย แค่ 7 เพลง แต่ก็เป็นอัลบั้มที่อัดแน่นไปด้วยพลัง ไฟ แห่งการสร้างสรรค์ ผ่านลีลาเพลงแจ๊ซจากตัวชูโรงคือเสียงแซ็กโซโฟนอันลื่นไหล เร่าร้อน ดุดัน หากแต่บทจะหวานก็พลิกอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม
อัลบั้มชุดนี้มีการแจม อิมโพรไวซ์กันอย่างเข้มข้น มากไอเดีย แต่ก็มีที่ฟังยากในบางเพลงสำหรับผู้ที่ไม่ใช่คอเพลงแจ๊ซ เพราะนี่ไม่ใช่งานป็อบแจ๊ซ เพลงบรรเลงไลท์มิวสิค หรืออีซี่ลิสซึ่นนิ่ง หากแต่เป็นงานแจ๊ซเข้มๆ กับคุณภาพที่สูงในระดับสากล ซึ่งนานๆจะได้เห็นสักชิ้นในบ้านเรา สำหรับมิ้นท์(และผองเพื่อน)นับเป็นอีกหนึ่งคนดนตรีอนาคตไกล ที่ต้องช่วยสนับสนุนให้เขามีกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง
แม้ชื่อเล่นจะเหมือนผู้หญิง แต่ลีลาการเป่าแซ็กโซโฟนของเขาถือว่าสุดติ่งกระดิ่งแมวมาก สำหรับ “มิ้นท์ - ภาสกร โมระศิลปิน” หนุ่มน้อยร่างใหญ่ที่เป็นนักแซ็กโซโฟนดาวรุ่ง มีดีกรีคว้ารางวัลจากการประกวดมาหลายเวที
อย่างไรก็ดีด้วยความที่ตลาดเพลงแจ๊ซบ้านเรายังจำกัดวงคนฟังอยู่ ทำให้ชื่อของมิ้นท์-ภาสกร ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในตลาดเพลงกระแสหลัก แต่ในแวดวงแจ๊ซนั้นต่างรู้จักเขากันไม่น้อย และยอมรับในฝีมือฝีปากการเป่าแซ็กของหนุ่มคนนี้ว่าเด็ดนัก
เท่าที่เคยดูมิ้นท์เล่นสดๆมาบ้าง ผมชอบสำเนียง สไตล์ การอิมโพรไวซ์ของเขามาก โดยเฉพาะลูกโซโลอันดุดันกราดเกรี้ยวนั้นผมชื่นชอบเป็นพิเศษ เพราะมันทรงพลังเร้าใจ สามารถกระชากอารมณ์ร่วมของคนฟังให้โลดแล่นไปกับเสียงแซ็กอันรื่นไหลของเขาได้เป็นอย่างดี
สำหรับมิ้นท์เขาเคยเรียนที่คณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร จากนั้นได้เข้าเป็นมือแซ็กประจำวง “อินฟินิตี้”อยู่หลายปี กระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ มิ้นท์กับผองเพื่อนตกผลึกทางความคิดจึงทำอัลบั้ม “My Diary” ออกมา โดยมีค่ายเพลงที่เน้นการทำเพลงคุณภาพและกล้าทำเพลงสวนกระแสอย่าง “ใบชาsong” เป็นผู้จัดจำหน่าย
อัลบั้ม My Diary นอกจากมิ้นท์ที่มีร่ายลีลาแซ็กโซโฟนเป็นตัวชูโรงแล้ว ยังมีทีมนักดนตรีได้แก่ “ซอล-สร้างสรรค์วัฒนกุล” : คีย์บอร์ด, “อัฐ-วารินทร์ ถาธัญ” : เบส, “สำลี-สถิตพร สมพงษ์” : กลอง และ แนท-บัณฑิตา ประชามอญ มาร่วมฝากเสียงร้องไว้ 2 เพลง โดยมีมิ้นท์รับทำหน้าที่โปรดิวซ์และบันทึกเสียงเอง
My Diary เป็นอัลบั้มที่มีความพิเศษ เพราะเป็นการบันทึกเสียงกันสดๆในสตูดิโอเพื่อให้ได้อารมณ์ร่วมในแบบแจ๊ซกันเต็มที่ โดยมีบทเพลงทั้งหมด 7 แทรค เปิดตัวกันด้วย “Slide” ที่มิ้นท์เป็นคนแต่งเอง เพลงนี้มาในกลิ่นฟังก์กี้แจ๊ซร็อก เปิดพื้นที่ให้แซ็กโซโซโฟนวาดขับเคลื่อนลีลาในแบบมิ้นท์ คือ ดุดัน ทรงพลัง มีทางของตัวโน้ตที่น่าฟัง พร้อมกับการอิมโพรไวซ์พูดคุยกันของเครื่องดนตรีต่างๆกันอย่างเข้าขา
ต่อกันด้วย “One Note Samba” ของเจ้าพ่อบอสซ่า “อันโตนิโอ คาร์ลอส โจบิม” ที่ฉีกแนวรสบอสซ่าจากต้นตำรับมาเป็นแจ๊ซติดกลิ่นหลอนๆ โดยเฉพาะกับซาวนด์คีย์บอร์ดลอยๆที่เล่นคุมเป็นแบ็คกราวน์ เพลงนี้มิ้นท์ลดความดุมาเป็นเป่าแบบสบายๆ เน้นกรู้ฟที่น่าฟัง มีสนทนาภาษาดนตรีกันอย่างสนุก ทั้ง แซ็ก เบส คีย์บอร์ด แต่งานนี้ไม่ต้องไปนึกอารมณ์บอสซ่าตามต้นตำรับ เพราะไม่มีให้ฟัง
ส่วนเพลง “The Shadow in the Darkness” ที่มิ้นท์แต่งเองในแทรคที่ 3 นั้น ได้แสดงลายเซ็นของความเป็นมิ้นท์มาอย่างเต็มที่ ทั้งกระเส่า เร่าร้อน ดุดัน รื่นไหลไปกับผองเพื่อน ทั้ง คีย์บอร์ด เบส กลอง ซึ่งผลัดกันรับ-ส่งตัวโน้ตไปตามไอเดียการสร้างสรรค์ของแต่ละคน แต่ฟังแล้วมีความกลมกลืนต่อเนื่อง ไม่รู้สึกสะดุด โดดออกมา ถือเป็นอีกหนึ่งเพลงแจ๊ซฝีมือคนไทยที่เทียบชั้นมาตรฐานสากลได้อย่างไม่เคอะเขิน
เปลี่ยนอารมณ์มาฟังสำเนียงแบบไทยๆในลีลาแจ๊ซเลือดผสมกับ “นกขมิ้น”(Nok Khamin) บทประพันธ์ของครู“พยงค์ มุกดา” ที่มาในโหมดหวานกับเสียงโซโลโซปราโนแซ็กหวานๆ แรกๆตัวเพลงขับเคลื่อนๆมาในกลิ่นไทยๆ น้ำหอม น้ำอบ ประพรม โดยมีเสียงร้องเอื้อนหวานๆ(เฉพาะเอื้อน)และเบสในทางเมโลดี้ไทยมาร่วมกันสร้างสีสัน และค่อยๆทวีดีกรีความเข้มข้นขึ้น ก่อนจัดเต็มลูกอิมโพไวซ์ร่ายตัวโน้ตอันรื่นไหลอย่างสุดมัน โดยมีเสียงร้องเอื้อนแบบเพลงไทยเดิมของแนทมาเป็นตัวขโมยซีน
เพลงนกขมิ้นถือเป็นอีกหนึ่งไอเดียใหม่ๆของการนำเพลงไทยเดิมมาผสมกับความเป็นแจ๊ซในแบบสากล ที่ฟังแล้วได้อรรถรสแตกต่าง ไม่ย่ำรอยเดิม
ใช่ว่าจะแต่งแต่เพลงดุๆแต่กับเพลงช้าๆมิ้นท์ก็แต่งได้ กับ “Sandglass” เพลงบัลลาดหวานอ้อยสร้อย มีกลิ่นของความเป็นป็อบเจือกับท่วงทำนองสวยงามดนตรีไม่ซับซ้อน
ต่อกันในโหมดเพลงช้ากับ “Time in the Bottle” บทเพลงอมตะของ “จิม โครเซ” ที่ถูกนำมาตีความใหม่ แบบลืมรสต้นตำรับไปได้เลย
เพลงนี้ใส่ไอเดียใหม่เข้าไปในขวดโหล ในความช้าเนิบของบทเพลงไม่วายที่ยังมีลูกอิมโพรไวซ์อันเข้มข้นของเสียแซ็กมาทิ้งเป็นลายเซ็นฝากไว้ ส่วนเสียงเปียโนจากการพรมนิ้วของซอลที่มาพร้อมกับเมโลดี้สวยๆนั้นก็สร้างอารมณ์ร่วมได้เป็นอย่างดี ขณะที่เสียงร้องของแนทที่มาร่วมอิมโพรไวซ์ ในรูปแบบของ Voice(ร้องเป็นตัวโน้ต ไม่ได้ร้องเพลงเป็นภาษา) คล้ายๆงานของ แพท เมธินี นั้น ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสีสันที่ทำให้เพลงเอกของจิม โครเซ เพลงนี้น่าฟังยิ่งขึ้น
จากนั้นมิ้นท์เลือกปิดท้ายกับ “Slide(Cover)” บทเพลงสั้นๆจากการแต่งของเขา ที่มีเสียงแซ็กอัดซ้อนไลน์ดวลกันอย่างร้อนเร่าเมามัน ทิ้งท้ายลายเซ็นเสียงแซ็กในแบบฉบับของมิ้นท์ได้เป็นอย่างดี
ครับและนี่ก็เป็นบันทึกแห่งเสียงดนตรีของ มิ้นท์ - ภาสกร หนุ่มน้อยร่างใหญ่ ซึ่งมนต์เสน่ห์จากฝีมือและไอเดียการสร้างสรรค์ในอัลบั้มชุดนี้ส่งผลให้สามารถคว้ารางวัล คม ชัด ลึก อวอร์ด ครั้งที่ 11 ในสาขาเพลงบรรเลงยอดเยี่ยมมาครองได้ นอกจากนี้เข้ายังได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงในสาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยมในรายการเดียวกันด้วย
สำหรับอัลบั้ม My Diary นั้นแม้จะมีเพลงไม่มากไม่มาย แค่ 7 เพลง แต่ก็เป็นอัลบั้มที่อัดแน่นไปด้วยพลัง ไฟ แห่งการสร้างสรรค์ ผ่านลีลาเพลงแจ๊ซจากตัวชูโรงคือเสียงแซ็กโซโฟนอันลื่นไหล เร่าร้อน ดุดัน หากแต่บทจะหวานก็พลิกอารมณ์ได้อย่างยอดเยี่ยม
อัลบั้มชุดนี้มีการแจม อิมโพรไวซ์กันอย่างเข้มข้น มากไอเดีย แต่ก็มีที่ฟังยากในบางเพลงสำหรับผู้ที่ไม่ใช่คอเพลงแจ๊ซ เพราะนี่ไม่ใช่งานป็อบแจ๊ซ เพลงบรรเลงไลท์มิวสิค หรืออีซี่ลิสซึ่นนิ่ง หากแต่เป็นงานแจ๊ซเข้มๆ กับคุณภาพที่สูงในระดับสากล ซึ่งนานๆจะได้เห็นสักชิ้นในบ้านเรา สำหรับมิ้นท์(และผองเพื่อน)นับเป็นอีกหนึ่งคนดนตรีอนาคตไกล ที่ต้องช่วยสนับสนุนให้เขามีกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานเพลงออกมาอย่างต่อเนื่อง