โดย : บอน บอระเพ็ด (skbon109@hotmail.com)
ถือเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องประวัติศาสตร์ สำหรับ “Frozen” หรือชื่อไทย “ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ” ที่สามารถกวาดไปถล่มทลายทั้งเงิน กล่อง และชื่อเสียง
Frozen เป็นผลงานการ์ตูนลำดับที่ 53 ของ“วอลต์ นิสดีย์” แอนิเมชันเรื่องนี้ได้รับการยกย่องว่ายอดเยี่ยม สนุก ตื่นเต้น มีเนื้อหาสาระ มีคติสอดแทรก งานแอนิเมชั่นเจ๋ง(มีสาวชาวไทย ฝน วีรสุนทร เป็นหนึ่งในทีมงานเบื้องหลังหนังเรื่องนี้ด้วย) แถมเพลงเพราะอีกต่างหาก
ด้วยความลงตัวในหลายๆด้าน ทำให้ Frozen กวาดรางวัลไปไม่น้อย โดยเฉพาะรางวัลลูกโลกทองคำในสาขาภาพยนตร์แอนิเมชัน และ 2 รางวัลออสการ์ในสาขาแอนิเมชันยอดเยี่ยม และเพลงประกอบยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังขึ้นเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ทำเงินได้มากสูงสุดตลอดกาล(แซง Toy Story 3) อีกทั้งยังเบียดแซง“Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest” ขึ้นหิ้งอันดับ 10 ภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลอีกด้วย
หลังเข้าฉายประสบความสำเร็จถล่มทลายในทั่วโลกและมีการนำมาฉายซ้ำในบ้านเรา ล่าสุดได้มีการทำออกมาเป็น DVD,VCD จำหน่ายให้คนที่ยังไม่ได้ชมในโรง ในยูทูป ไปซื้อหามาชม หรือใครที่ดูแล้วติดใจจะซื้อมาดูซ้ำ ไปพร้อมๆกับฟังเพลงเพราะๆ
Frozen ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเทพนิยายเดนมาร์กเรื่อง “ราชินีหิมะ” (The Snow Queen) ของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน ที่แม้ชื่อหนังจะชวนให้นึกถึงความยะเยือกหนาวเหน็บสุดขั้ว แต่ตัวหนังกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น โดยเฉพาะในเรื่องราวของ“รักแท้”
หนังเรื่องนี้มีตัวละครหลักๆที่เป็นมนุษย์ 4 คน คือ “เจ้าหญิงอันนา”(Anna)-นางเอก : ให้เสียงโดย “คริสเตน เบลล์”(Kristen Bell), “ราชินีเอลซ่า”(Elsa) -พี่สาวนางเอก : ให้เสียงโดย“ไอดินา แมนเซล”(Idina Menzel), “คริสตอฟ”(Kristoff)-พระเอก : ให้เสียงโดย“โจนาธาน กรอฟฟ์”(Jonathan Groff) และ “เจ้าชายฮานส์”(Hans)-รักแรกของนางเอก : ให้เสียงโดย “ซานติโน่ ฟอนทาน่า” (Santino Fontana) นอกจากนี้ยังมี 2 ตัวประกอบสำคัญ ที่มักจะขโมยซีนอยู่บ่อยๆคือ “โอลาฟ”(Olaf)-ตุ๊กตาหิมะมีชีวิต : ให้เสียงโดย“จอร์ช แกด (Josh Gad) และ “สเฟน” หรือ“สเวน” (Sven)-กวางเรนเดียร์คู่ใจของพระเอก
สำหรับในบ้านเราทางวอลต์ ดิสนีย์ ประเทศไทย ได้คัดเลือกทีมงานมาร่วมพากย์และร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเจ้าหญิงอันนา ให้เสียงโดย “หนูนา -หนึ่งธิดา โสภณ”, เจ้าหญิงเอลซ่า ให้เสียงโดย “แก้ม-วิชญาณี เปียกลิ่น”, คริสตอฟ พากย์โดย “อภินันท์ ธีระนันทกุล” นักพากย์มืออาชีพ และขับร้องเพลงโดย “เหมา-พิชญากร แช่มช้อย”, เจ้าชายฮานส์ ให้เสียงโดย “คิว(วงฟลัว) - สุวีระบุญรอด” และ โอลาฟ พากย์โดย“คมสันชัย สุขพิพัฒน์มงคล” ขับร้องเพลงโดย “อาร์ม(เคพีเอ็น) - กรกันต์ สุทธิโกเศศ”
ในส่วนเนื้อเรื่องย่อของ Frozen ผมจะไม่ขอพูดถึง เพราะนั่นจะเป็นการทำลายอรรถรสของคนที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ แต่ที่อยากจะพูดถึงก็คือเพลงประกอบของหนังเรื่องนี้ เพราะนอกจากเพลง “Let It Go” จะคว้ารางวัลรางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแล้ว อัลบั้มซาวนด์แทร็ก “Frozen” (Soundtrack) ยังเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มซาวนด์แทร็กแห่งยุคสมัย
วันนี้ Frozen(OST) ได้ยึดหัวหาดครองอันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ด(Billboard 200) มากว่า 11 สัปดาห์ ทำสถิติอัลบั้มซาวนด์แทร็กที่ติดชาร์ทอันดับ 1 มากที่สุด นับตั้งแต่หนังเรื่อง “ไททานิค”(Titanic) เคยทำไว้ 16 สัปดาห์รวดในปี 1998 (ซาวนด์แทร็ก Frozen ไม่ได้ครองอันดับ 1 ต่อเนื่อง แต่ถูกคั่นอันดับ 1 ในช่วงเวลาสั้นๆ)
อัลบั้ม Frozen(OST) มีเพลงมากถึง 32 แทรค(อันที่จริงมีเพลงมากกว่านี้อีก แต่ถูกตัดออกบางส่วน) อัลบั้มชุดนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือส่วนเพลงร้องในช่วงแรกกับเพลงบรรเลงในช่วงหลัง
ช่วงเพลงร้องที่มีทั้งหมด 10 แทรค(แรก)ไล่เรียงไปตามลำดับเนื้อเรื่อง ผลงานการสร้างสรรค์โดย “คริสเท็น แอนเดอร์สัน โลเปซ”(Kristen Anderson-Lopez) และ โรเบิร์ต โลเปซ(Robert Lopez) ส่วนช่วงสกอร์เพลงบรรเลงที่แต่งโดย “คริสโตฟ เบค”(Christophe Beck) โดยเพลงบรรเลงเกือบทั้งหมดเป็นแทรคสั้นๆ คริสโตฟทำได้ดีมีเสน่ห์สีสันสอดรับไปกับเนื้อเรื่อง
ขณะที่ในส่วนเพลงร้องนั้น ผมยกให้เป็นทีเด็ดเพราะน่าฟังทุกเพลง ขนาดแค่เพลงร้องสั้นๆอย่าง “Reindeer(s) Are Better Than People”(แทรค 6) ที่พระเอกร้องด้วยเสียงคนปนเสียงกวาง(เป็นเพลงเดียวที่พระเอกร้อง) รำพึงกับเจ้ากวางคู่ใจยังน่าฟังเลย หรือบทเพลง “In Summer”(แทรค 7) ที่ร้องโดยเจ้าโอลาฟตุ๊กตาหิมะนี่ก็น่ารักมาก
ส่วน “Frozen Heart” (แทรค 1) เป็นเพลงร้องหมู่เปิดตัวฉายให้เห็นวิถีแห่งน้ำแข็ง พร้อมกับเปิดตัวพระเอกกับกวางคู่ใจในวัยเด็ก “Fixer Upper” (แทรค 9) เป็นอีกแทรคร้องหมู่ที่ฟังสนุกน่ารัก
สำหรับเพลงร้องที่เหลือนั้น ถือเป็นเพลงเอก ร้องนำโดย 2 สาวอันนาและเอลซ่า ได้แก่ Do You Want to Build a Snowman?”(แทรค 2) เพลงนี้เป็นเสียงของเจ้าหญิงอันนาใน 3 ช่วง อายุ คือ วัยเด็กเล็ก เด็กโต และตอนเป็นสาว ตอนขึ้นต้นเพลงมานั้นน่ารักมาก แต่พอฟังไปสักพัก กลับหม่นเศร้า ชนิดที่สาวๆหลายคนดูหนังแล้วถึงกลับน้ำตาซึม
“Love Is an Open Door” (แทรค 4 ) นางเอกดูเอทกับเจ้าชายฮานส์ ฟังน่ารักสดใสไปกับรักแรกของสาวช่างฝัน
“For the First Time in Forever”(แทรค 3) พี่น้องสองสาวร่วมร้องเพลงกัน อันนาร้องเป็นเสียงนำ
เอลซ่าร้องเป็นเสียงตาม ถือเป็นครั้งแรกที่รอมาเนิ่นนานในมิติของความสดใส โลกสวย ผิดกับ “For the First Time in Forever (Reprise)”(แทรค 8) ที่สองพี่น้องดูเอทกันอย่างดุเดือด ดุดัน ฟังรันทด
มาถึงเพลงไฮไลท์สุดติ่งกระดิ่งแมวของหนังเรื่องนี้ นั่นก็คือ “Let It Go” ที่มี 2 แทรคด้วยกัน คือ แทรค 5 และ 10 โดยในแทรค 10 ตัดเป็นซิงเกิ้ลใช้เป็นเพลงปิดเรื่อง ขับร้องโดย “Demi Lovato”
ส่วน Let It Go ในแทรค 5 ที่ขับร้องโดย Idina Menzel นั้น ผมชอบมาก เพราะนี่คือเป็นบทเพลงอันทรงพลังทั้ง เนื้อหา ดนตรี และเสียงร้อง เพลงนี้ไอดินา แมนเซล ร้องได้เยี่ยมมาก ปลดปล่อยพลังความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นของเอลซ่าออกมาได้อย่างถึงกึ๋น Let It Go เวอร์ชั่นนี้ขึ้นต้นมาด้วยเสียงเปียโนหวานๆ ก่อนให้ราชินีเอลซ่าจัดเต็ม “ปล่อยมันไป อย่างที่เป็น เชื่อมใจไปกับลมและฟ้า ปล่อยออกมา เลิกซ่อนเร้น เผชิญมันด้วยความกล้า...”
Let It Go นอกจากจะเป็นบทเพลงอันไพเราะเพราะพริ้ง เป็นเพลงป็อบที่มีเมโลดี้ฟังติดหูง่าย ฟังโดนแล้ว และด้วยความยอดเยี่ยมของเพลง Let It Go ทำให้สามารถคว้ารางวัลออสการ์เพลงประกอบยอดเยี่ยม รวมถึงกลายเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์สุดฮอตฮิต ที่มีการนำมาคัฟเวอร์ถ่ายทอดประกอบหนัง Frozen ในหลายภาษาด้วยกัน ทั้ง ญี่ปุ่น,จีน,เกาหลี,ฝรั่งเศส,เยอรมัน,อิตาลี,มาเลเซีย ฯลฯ รวมไปถึงเวอร์ชั่นเพลงบรรเลง ขณะที่ของไทยเรานั้น น้องแก้มเธอก็ร้องเพลง Let it go(ปล่อยมันไป)ได้ดี ฟังมีพลัง ไปกันได้กับ Frozen ในภาคภาษาไทย
อย่างไรก็ดีด้วยความที่เพลงประกอบในเรื่องนี้ ไม่ใช่เพลงที่แต่งสำหรับภาษาไทย เนื้อหาคำแปลหลายเพลงจึงฟังแปร่งๆฟังไม่เนียนกับเมโลดี้ แถมนักร้อง โดยเฉพาะหนูนาเธอร้องแบบติดกลิ่นแกรมมี่มากไปหน่อย ทำให้เพลงประกอบในภาคภาษาไทยนั้นฟังด้อยอรรถรสกว่าต้นฉบับอยู่พอตัว
และนี่ก็คือบทเพลงชวนฟังจากอัลบั้มซาวนด์แทร็ก Frozen ที่มีเพลง Let It Go เป็นไฮไลท์ เพลงนี้นอกจากจะเป็นบทเพลงประกอบภาพยนตร์อันไพเราะชวนฟังแล้ว เนื้อหาของเพลงยังกว้างไกลกว่าในภาพยนตร์ เนื้อหาของมันสามารถใช้ได้ดีกับชีวิตคนเรา
เพียงแต่ว่าแต่ละคนจะเข้าใจและเข้าถึงคำว่า Let It Go ลึกซึ้งแค่ไหน
*****************************************
คลิกฟังเพลง Let It Go (Idina Menzel )
คลิกฟังเพลง Let It Go ในเวอร์ชั่นภาษาไทย(ปล่อยมันไป) โดยแก้ม วิชญาณี เปียกลิ่น
*****************************************
แกะกล่อง
ศิลปิน : รวมศิลปิน
อัลบั้ม : The Twilight Saga: Forever Love Songs From The Twilight Saga
The Twilight Saga นอกจากจะเป็นเรื่องราวของรักต่างสายพันธุ์ขวัญใจสาวๆแล้ว หนังเรื่องนี้ยังมีเพลงรักเพราะๆ เพลงรักน่าสนใจอยู่หลายเพลงด้วยกัน ซึ่งทางค่าย “Warner Music” ได้นำเพลงรักและเพลงประกอบจากเด่นๆภาพยนตร์เรื่องนี้ในแต่ละภาค มารวมไว้ในอัลบั้ม The Twilight Saga: Forever Love Songs From The Twilight Saga ที่ประกอบไปด้วย 2 ซีดี 34 แทรค โดยมีเพลงน่าสนใจ เช่น Flightless Bird, American Mouth เพลงดังอมตะในฉากแต่งงาน A Thousand Years ที่กลายเป็นเพลงรักที่ถูกพูดถึงและเปิดฟังมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา หรือIt Will Rain จาก Bruno Mars เป็นต้น
ถือเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องประวัติศาสตร์ สำหรับ “Frozen” หรือชื่อไทย “ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ” ที่สามารถกวาดไปถล่มทลายทั้งเงิน กล่อง และชื่อเสียง
Frozen เป็นผลงานการ์ตูนลำดับที่ 53 ของ“วอลต์ นิสดีย์” แอนิเมชันเรื่องนี้ได้รับการยกย่องว่ายอดเยี่ยม สนุก ตื่นเต้น มีเนื้อหาสาระ มีคติสอดแทรก งานแอนิเมชั่นเจ๋ง(มีสาวชาวไทย ฝน วีรสุนทร เป็นหนึ่งในทีมงานเบื้องหลังหนังเรื่องนี้ด้วย) แถมเพลงเพราะอีกต่างหาก
ด้วยความลงตัวในหลายๆด้าน ทำให้ Frozen กวาดรางวัลไปไม่น้อย โดยเฉพาะรางวัลลูกโลกทองคำในสาขาภาพยนตร์แอนิเมชัน และ 2 รางวัลออสการ์ในสาขาแอนิเมชันยอดเยี่ยม และเพลงประกอบยอดเยี่ยม นอกจากนี้ยังขึ้นเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่ทำเงินได้มากสูงสุดตลอดกาล(แซง Toy Story 3) อีกทั้งยังเบียดแซง“Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest” ขึ้นหิ้งอันดับ 10 ภาพยนตร์ทำเงินสูงสุดตลอดกาลอีกด้วย
หลังเข้าฉายประสบความสำเร็จถล่มทลายในทั่วโลกและมีการนำมาฉายซ้ำในบ้านเรา ล่าสุดได้มีการทำออกมาเป็น DVD,VCD จำหน่ายให้คนที่ยังไม่ได้ชมในโรง ในยูทูป ไปซื้อหามาชม หรือใครที่ดูแล้วติดใจจะซื้อมาดูซ้ำ ไปพร้อมๆกับฟังเพลงเพราะๆ
Frozen ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเทพนิยายเดนมาร์กเรื่อง “ราชินีหิมะ” (The Snow Queen) ของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน ที่แม้ชื่อหนังจะชวนให้นึกถึงความยะเยือกหนาวเหน็บสุดขั้ว แต่ตัวหนังกลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น โดยเฉพาะในเรื่องราวของ“รักแท้”
หนังเรื่องนี้มีตัวละครหลักๆที่เป็นมนุษย์ 4 คน คือ “เจ้าหญิงอันนา”(Anna)-นางเอก : ให้เสียงโดย “คริสเตน เบลล์”(Kristen Bell), “ราชินีเอลซ่า”(Elsa) -พี่สาวนางเอก : ให้เสียงโดย“ไอดินา แมนเซล”(Idina Menzel), “คริสตอฟ”(Kristoff)-พระเอก : ให้เสียงโดย“โจนาธาน กรอฟฟ์”(Jonathan Groff) และ “เจ้าชายฮานส์”(Hans)-รักแรกของนางเอก : ให้เสียงโดย “ซานติโน่ ฟอนทาน่า” (Santino Fontana) นอกจากนี้ยังมี 2 ตัวประกอบสำคัญ ที่มักจะขโมยซีนอยู่บ่อยๆคือ “โอลาฟ”(Olaf)-ตุ๊กตาหิมะมีชีวิต : ให้เสียงโดย“จอร์ช แกด (Josh Gad) และ “สเฟน” หรือ“สเวน” (Sven)-กวางเรนเดียร์คู่ใจของพระเอก
สำหรับในบ้านเราทางวอลต์ ดิสนีย์ ประเทศไทย ได้คัดเลือกทีมงานมาร่วมพากย์และร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเจ้าหญิงอันนา ให้เสียงโดย “หนูนา -หนึ่งธิดา โสภณ”, เจ้าหญิงเอลซ่า ให้เสียงโดย “แก้ม-วิชญาณี เปียกลิ่น”, คริสตอฟ พากย์โดย “อภินันท์ ธีระนันทกุล” นักพากย์มืออาชีพ และขับร้องเพลงโดย “เหมา-พิชญากร แช่มช้อย”, เจ้าชายฮานส์ ให้เสียงโดย “คิว(วงฟลัว) - สุวีระบุญรอด” และ โอลาฟ พากย์โดย“คมสันชัย สุขพิพัฒน์มงคล” ขับร้องเพลงโดย “อาร์ม(เคพีเอ็น) - กรกันต์ สุทธิโกเศศ”
ในส่วนเนื้อเรื่องย่อของ Frozen ผมจะไม่ขอพูดถึง เพราะนั่นจะเป็นการทำลายอรรถรสของคนที่ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ แต่ที่อยากจะพูดถึงก็คือเพลงประกอบของหนังเรื่องนี้ เพราะนอกจากเพลง “Let It Go” จะคว้ารางวัลรางวัลเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแล้ว อัลบั้มซาวนด์แทร็ก “Frozen” (Soundtrack) ยังเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มซาวนด์แทร็กแห่งยุคสมัย
วันนี้ Frozen(OST) ได้ยึดหัวหาดครองอันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ด(Billboard 200) มากว่า 11 สัปดาห์ ทำสถิติอัลบั้มซาวนด์แทร็กที่ติดชาร์ทอันดับ 1 มากที่สุด นับตั้งแต่หนังเรื่อง “ไททานิค”(Titanic) เคยทำไว้ 16 สัปดาห์รวดในปี 1998 (ซาวนด์แทร็ก Frozen ไม่ได้ครองอันดับ 1 ต่อเนื่อง แต่ถูกคั่นอันดับ 1 ในช่วงเวลาสั้นๆ)
อัลบั้ม Frozen(OST) มีเพลงมากถึง 32 แทรค(อันที่จริงมีเพลงมากกว่านี้อีก แต่ถูกตัดออกบางส่วน) อัลบั้มชุดนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือส่วนเพลงร้องในช่วงแรกกับเพลงบรรเลงในช่วงหลัง
ช่วงเพลงร้องที่มีทั้งหมด 10 แทรค(แรก)ไล่เรียงไปตามลำดับเนื้อเรื่อง ผลงานการสร้างสรรค์โดย “คริสเท็น แอนเดอร์สัน โลเปซ”(Kristen Anderson-Lopez) และ โรเบิร์ต โลเปซ(Robert Lopez) ส่วนช่วงสกอร์เพลงบรรเลงที่แต่งโดย “คริสโตฟ เบค”(Christophe Beck) โดยเพลงบรรเลงเกือบทั้งหมดเป็นแทรคสั้นๆ คริสโตฟทำได้ดีมีเสน่ห์สีสันสอดรับไปกับเนื้อเรื่อง
ขณะที่ในส่วนเพลงร้องนั้น ผมยกให้เป็นทีเด็ดเพราะน่าฟังทุกเพลง ขนาดแค่เพลงร้องสั้นๆอย่าง “Reindeer(s) Are Better Than People”(แทรค 6) ที่พระเอกร้องด้วยเสียงคนปนเสียงกวาง(เป็นเพลงเดียวที่พระเอกร้อง) รำพึงกับเจ้ากวางคู่ใจยังน่าฟังเลย หรือบทเพลง “In Summer”(แทรค 7) ที่ร้องโดยเจ้าโอลาฟตุ๊กตาหิมะนี่ก็น่ารักมาก
ส่วน “Frozen Heart” (แทรค 1) เป็นเพลงร้องหมู่เปิดตัวฉายให้เห็นวิถีแห่งน้ำแข็ง พร้อมกับเปิดตัวพระเอกกับกวางคู่ใจในวัยเด็ก “Fixer Upper” (แทรค 9) เป็นอีกแทรคร้องหมู่ที่ฟังสนุกน่ารัก
สำหรับเพลงร้องที่เหลือนั้น ถือเป็นเพลงเอก ร้องนำโดย 2 สาวอันนาและเอลซ่า ได้แก่ Do You Want to Build a Snowman?”(แทรค 2) เพลงนี้เป็นเสียงของเจ้าหญิงอันนาใน 3 ช่วง อายุ คือ วัยเด็กเล็ก เด็กโต และตอนเป็นสาว ตอนขึ้นต้นเพลงมานั้นน่ารักมาก แต่พอฟังไปสักพัก กลับหม่นเศร้า ชนิดที่สาวๆหลายคนดูหนังแล้วถึงกลับน้ำตาซึม
“Love Is an Open Door” (แทรค 4 ) นางเอกดูเอทกับเจ้าชายฮานส์ ฟังน่ารักสดใสไปกับรักแรกของสาวช่างฝัน
“For the First Time in Forever”(แทรค 3) พี่น้องสองสาวร่วมร้องเพลงกัน อันนาร้องเป็นเสียงนำ
เอลซ่าร้องเป็นเสียงตาม ถือเป็นครั้งแรกที่รอมาเนิ่นนานในมิติของความสดใส โลกสวย ผิดกับ “For the First Time in Forever (Reprise)”(แทรค 8) ที่สองพี่น้องดูเอทกันอย่างดุเดือด ดุดัน ฟังรันทด
มาถึงเพลงไฮไลท์สุดติ่งกระดิ่งแมวของหนังเรื่องนี้ นั่นก็คือ “Let It Go” ที่มี 2 แทรคด้วยกัน คือ แทรค 5 และ 10 โดยในแทรค 10 ตัดเป็นซิงเกิ้ลใช้เป็นเพลงปิดเรื่อง ขับร้องโดย “Demi Lovato”
ส่วน Let It Go ในแทรค 5 ที่ขับร้องโดย Idina Menzel นั้น ผมชอบมาก เพราะนี่คือเป็นบทเพลงอันทรงพลังทั้ง เนื้อหา ดนตรี และเสียงร้อง เพลงนี้ไอดินา แมนเซล ร้องได้เยี่ยมมาก ปลดปล่อยพลังความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นของเอลซ่าออกมาได้อย่างถึงกึ๋น Let It Go เวอร์ชั่นนี้ขึ้นต้นมาด้วยเสียงเปียโนหวานๆ ก่อนให้ราชินีเอลซ่าจัดเต็ม “ปล่อยมันไป อย่างที่เป็น เชื่อมใจไปกับลมและฟ้า ปล่อยออกมา เลิกซ่อนเร้น เผชิญมันด้วยความกล้า...”
Let It Go นอกจากจะเป็นบทเพลงอันไพเราะเพราะพริ้ง เป็นเพลงป็อบที่มีเมโลดี้ฟังติดหูง่าย ฟังโดนแล้ว และด้วยความยอดเยี่ยมของเพลง Let It Go ทำให้สามารถคว้ารางวัลออสการ์เพลงประกอบยอดเยี่ยม รวมถึงกลายเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์สุดฮอตฮิต ที่มีการนำมาคัฟเวอร์ถ่ายทอดประกอบหนัง Frozen ในหลายภาษาด้วยกัน ทั้ง ญี่ปุ่น,จีน,เกาหลี,ฝรั่งเศส,เยอรมัน,อิตาลี,มาเลเซีย ฯลฯ รวมไปถึงเวอร์ชั่นเพลงบรรเลง ขณะที่ของไทยเรานั้น น้องแก้มเธอก็ร้องเพลง Let it go(ปล่อยมันไป)ได้ดี ฟังมีพลัง ไปกันได้กับ Frozen ในภาคภาษาไทย
อย่างไรก็ดีด้วยความที่เพลงประกอบในเรื่องนี้ ไม่ใช่เพลงที่แต่งสำหรับภาษาไทย เนื้อหาคำแปลหลายเพลงจึงฟังแปร่งๆฟังไม่เนียนกับเมโลดี้ แถมนักร้อง โดยเฉพาะหนูนาเธอร้องแบบติดกลิ่นแกรมมี่มากไปหน่อย ทำให้เพลงประกอบในภาคภาษาไทยนั้นฟังด้อยอรรถรสกว่าต้นฉบับอยู่พอตัว
และนี่ก็คือบทเพลงชวนฟังจากอัลบั้มซาวนด์แทร็ก Frozen ที่มีเพลง Let It Go เป็นไฮไลท์ เพลงนี้นอกจากจะเป็นบทเพลงประกอบภาพยนตร์อันไพเราะชวนฟังแล้ว เนื้อหาของเพลงยังกว้างไกลกว่าในภาพยนตร์ เนื้อหาของมันสามารถใช้ได้ดีกับชีวิตคนเรา
เพียงแต่ว่าแต่ละคนจะเข้าใจและเข้าถึงคำว่า Let It Go ลึกซึ้งแค่ไหน
*****************************************
คลิกฟังเพลง Let It Go (Idina Menzel )
คลิกฟังเพลง Let It Go ในเวอร์ชั่นภาษาไทย(ปล่อยมันไป) โดยแก้ม วิชญาณี เปียกลิ่น
*****************************************
แกะกล่อง
ศิลปิน : รวมศิลปิน
อัลบั้ม : The Twilight Saga: Forever Love Songs From The Twilight Saga
The Twilight Saga นอกจากจะเป็นเรื่องราวของรักต่างสายพันธุ์ขวัญใจสาวๆแล้ว หนังเรื่องนี้ยังมีเพลงรักเพราะๆ เพลงรักน่าสนใจอยู่หลายเพลงด้วยกัน ซึ่งทางค่าย “Warner Music” ได้นำเพลงรักและเพลงประกอบจากเด่นๆภาพยนตร์เรื่องนี้ในแต่ละภาค มารวมไว้ในอัลบั้ม The Twilight Saga: Forever Love Songs From The Twilight Saga ที่ประกอบไปด้วย 2 ซีดี 34 แทรค โดยมีเพลงน่าสนใจ เช่น Flightless Bird, American Mouth เพลงดังอมตะในฉากแต่งงาน A Thousand Years ที่กลายเป็นเพลงรักที่ถูกพูดถึงและเปิดฟังมากที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา หรือIt Will Rain จาก Bruno Mars เป็นต้น