xs
xsm
sm
md
lg

FLIGHT : แน่ใจว่าเอาอยู่? /ไก่ อำนาจ

เผยแพร่:   โดย: อำนาจ เกิดเทพ

ความมั่นอกมั่นใจในทักษะและความสามารถของตนเองถือเป็นเรื่องที่ดีและน่านับถือครับ

แต่ถ้ามั่นจนชนิดที่ว่า "สุดโต่ง" ไปเลยนั้นอันนี้ท่าจะไม่ดี

ก็เหมือนกับคำพระท่านว่าไว้แหละครับ ตึงไปก็ไม่ดี... หย่อนไปก็ไม่ดี

มากไปก็ไม่ดี... น้อยไปก็ไม่ดี

ดีที่สุดก็คือ "พอดี"

แต่ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาเจอในจุดที่ว่า แถมหลายๆ ครั้งเรามักจะพบว่ามันอาจจะต้องแลกด้วยสิ่งที่เราเรียกว่า "บทเรียน" ในราคาที่ถูก-แพงแตกต่างกันไปอีกต่างหาก

...
นอกจากจะไม่ใช่หนังหนังแนวแอ็กชั่นที่โปรดปราน แถมยังเป็นหนังประเภทนำเสนอประเด็นเครียดๆ ที่ไม่พิศมัยเอาเสียเลย แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ต้องบอกว่าสนุกมากเลยครับสำหรับภาพยนตร์ที่มีโอกาสได้ดูล่าสุดอย่าง "FLIGHT" (ผ่าวิกฤตเที่ยวบินระทึก)

หนังว่าด้วยเรื่องราวของ "วิป วิทเทเกอร์" นักบินฝีมือระดับเทพที่กลายเป็นฮีโร่ขึ้นมานับตั้งแต่นาทีที่เขานำเครื่องบินที่กำลังจะตกลงจอดฉุกเฉินด้วยท่าสุดพิสดารกระทั่งทำให้ผู้โดยสารและลูกเรือกว่า 100 คนบนเครื่องรอดชีวิตเกือบจะทั้งหมด

แต่แล้วเมื่อมีการสอบสวนถึงสาเหตุที่ทำให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเรื่องก็กลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า คราวนี้เมื่อใครต่อใครต่างก็พากันสงสัยว่าเขาสมควรจะเป็นพระเอกตัวจริงที่ไม่จำเป็นต้องไปโฆษณาขายเครื่องเล่นดีวีดีหรือไม่?

เพราะเรื่องของเรื่องก็คือแม้ฮีโร่คนนี้แม้จะได้ชื่อว่าเป็นนักบินที่มีฝีมือฉมังเก่งกาจแบบหาใครเทียบได้ยาก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นที่รับรู้กันว่าเจ้าตัวนั้นเป็นนักดื่มตัวยง ติดเหล้างอมแงม มีปัญหาครอบครัวจนต้องแยกกันอยู่กับภรรยาและลูก แต่อะไรก็ไม่เลวร้ายเท่ากับความจริงที่ว่าก่อนที่จะขึ้นบินไฟลท์นั้น เขาซัดทั้งเหล้า ซัดทั้งแอร์โฮสเตท จนเกือบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนติดต่อกัน 3 คืน 4 คืน ก่อนจะแก้อาการแฮงค์ทังหลายทั้งปวงด้วยโคเคนอีก 1 ซู้ด!

ซึ่งทั้งหมดยืนยันได้จากผลการตรวจเลือดของเขา

หลายคนที่เกี่ยวข้องพยายามที่จะช่วยเหลือให้วิปได้กลายเป็นฮีโร่อย่างแท้จริงแทนที่จะต้องติดคุกในข้อหาประมาทจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต ทว่าวิปกลับรู้สึกในทางตรงกันข้าม

ด้วยความเป็นจริงที่ว่าเหตุของการเกิดขึ้นของสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นมาจากอุปการณ์ของเครื่องบินที่ขัดข้องไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเขาเลย

ความเป็นจริงที่ว่า ณ วินาทีแห่งสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นตัวของเขาเองมีสติสัมปชัญญะในการตัดสินใจต่างๆ อย่างเต็มเปี่ยมโดยที่ฤทธิ์ของแอลกอฮอลล์ไม่มีผลใดๆ

รวมถึงความเป็นจริงที่ว่าก็คือการที่เครื่องบินลำดังกล่าวไม่ตกจนกลายเป็นโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่นั้นล้วนมาจากความสามารถในการนำเครื่องลงของเขาโดยมีการจำลองสถานการณ์ที่ว่าแล้วให้นักบินหลายๆ คนทำหน้าที่ขับเครื่องดังกล่าวปรากฏว่าตกทุกลำ ไม่มีใครสามารถนำเครื่องลงจอดได้แบบเขาเลย (อันที่จริงการลงจอดของวิปนั้น "อาจจะ" ไม่มีคนเสียชีวิตด้วยซ้ำหากปีกของเครื่องบินไม่ "บังเอิญ" ไปฟาดกับยอดโบสถ์เข้าเสียก่อนจนทำให้เครื่องเสียการทรงตัว)

FLIGHT เป็นการกลับมาที่สุดยอดอีกครั้งของผู้กำกับมือรางวัลออสการ์อย่าง "โรเบิร์ต เซเมคคิส" เจ้าของผลงานขึ้นหิ้งของนักดูหนังอย่าง Forrest Gump รวมถึงอาจจะเป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ดีที่สุดไปแล้วแน่ๆ ของนักแสดงคนดังอย่าง "เดนเซล วอชิงตัน" ที่ปกติแกก็เล่นหนังดีอยู่แล้วแต่เล่นเรื่องนี้ได้ดีเหลือเกินในบทของนักบินผู้มั่นใจในตัวเองสุดๆ

วิปไม่เคยเชื่อเรื่องความบังเอิญ ไม่เคยเชื่อในความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า หากแต่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจากความคิดและการกระทำของตัวเอง

ฉากหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าวิปเชื่อมั่นในความคิดตัวเองขนาดไหนก็คือฉากที่เขาบันดาลโทสะใส่ "นิโคล" แสดงโดย"เคลลี่ ไรลีย์" อีกหนึ่งตัวละครสำคัญที่ชักชวนให้เขาเข้าบำบัดอาการติดเหล้าพร้อมกับตนเอง

ซึ่งเรื่องนี้ทำเอาเขาที่มั่นใจว่าตนเองเอาอยู่ในทุกเรื่องถึงกับออกอาการปรี๊ดแตกเพราะเชื่อว่าความสามารถของตนเองนั้นหาได้ตกเป็นทาสของมันแต่อย่างใด

"คิดว่าตัวเองเป็นใคร พระเจ้ารึ...ไม่ต้องมาห่วงฉันหรอก ห่วงตัวเองไปเถอะไม่ต้องมาห่วงฉัน (เรามีปัญหาเดียวกัน) ไม่เห็นจะเหมือน ไม่เหมือนสักนิด ฉันไม่ต้องไปอมจู๋ใครแลกกับยา อย่ามาอ้างว่าเพราะแม่ตายเลยต้อง ตอแหลๆๆ แม่ตายเลยติดยา เลยต้องอัพยา มีหลายคนที่แม่ตายก็ไม่แตะเหล้า เออ แต่ฉันยอมรับว่าติด...โธ่เอ๊ย ฉันเลือกที่จะดื่มเอง ฉันเลือกที่จะดื่มเอง และฉันก็โทษตัวเอง ฉันพอใจอย่างนั้น รู้ไหมทำไม เพราะฉันเลือกที่จะดื่มเอง...ฉันมีเมียกับลูกชายที่ไม่คุยกับฉัน รู้ไหมทำไม เพราะฉันเลือกที่จะดื่มเอง..."

แต่กระนั้นกับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ใช่ว่าพระเอกของเราจะไม่หวั่นไหวเอาเสียเลยนะครับกับความคิดของตนเอง

ในตอนท้ายของเรื่องวิปต้องตัดสินใจครับว่าเขาจะต้องโกหกเพื่อให้ตนเองรอดคุก หรือต้องพูดในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นซึ่งเขาคิดอยู่เสมอว่าคนอื่นน่าจะมาสนใจ "ความจริง" ตรงนี้ที่ว่าเขาช่วยชีวิตคนไม้มากมายมากกว่าที่จะมาจ้องเล่นงานตัวเขาเองด้วยแง่ทางกฏหมาย

จริงๆ ถ้าเรื่องนี้เป็นหนังแอ็กชั่นเข้าสูตรประเภทพระเอกเก่ง แต่ขี้เมา ลูกเมียทิ้งเช่นนี้เรื่องคงจะจบอย่างแฮปปี้ เอนดิ้ง แบบที่ว่าเขากลายเป็นฮีโร่ ได้รับคำชม ลูกเมียมองเห็นความดี-ความเก่งกลับมาคืนดีด้วย

ใครที่ชอบหนังดรามาหนักๆ ประเด็นเครียดๆ เชื่อว่าน่าจะถูกใจแน่นอน

เช่นเดียวกับคนที่ชอบหนังอารมณ์แบบที่เรียกกันว่าหนังอาร์ต ตัวหนังเองก็มีสัญลักษณ์อะไรให้ตีความอยู่บ้าง

นอกจากจะดูไบ เอ๊ย ดูไปแล้วก็คิดไปด้วยว่าจริงๆ แล้วคนสุดโต่งอย่างตัวเอกในหนังนั้นควรที่จะได้รับการ "สรรเสริญ" ในทักษะความสามารถหรือสมควรจะโดนการ "สั่งสอน" ในความเป็นคนยโสโอหังสูงด้วยทิฐิมากกว่ากันแล้ว หนังยังทำให้คิดไปถึงข่าวคราวคนดังๆ ของบ้านเราหลายๆ คนกับประโยคทำนองว่า "(ผม)เอา(มัน)อยู่"

ซึ่งสุดท้ายผลที่ออกมาก็อย่างเห็นๆ กันคือเอาไม่ค่อยอยู่สักราย

อีกประเด็นที่อาจจะไม่เกี่ยวกันสักเท่าไหร่ก็คือเรื่องของกฏหมายซึ่งเกี่ยวกับครอบครัวที่เรามักจะเห็นผ่านในหนังฮอลลีวูดหลายต่อหลายเรื่องที่ศาลท่านสั่งห้ามผัวเข้าใกล้เมีย เมียเข้าใกล้ลูก ฯ ผมว่าบ้านเราน่าจะเอามาใช้แบบจริงๆ จังๆ กันได้แล้วนะครับ

เพราะยิ่งนับวันหลายครอบครับที่อยู่กันนั้นแยกไม่ออกเลยว่านี่มันบ้าน ค่ายมวย หรือแม้กระทั่งซ่อง

แน่ใจว่าไม่มีแล้วหรือครับสำหรับทางออกนอกจากเหตุผลที่ว่าอยู่เพราะรัก อยู่เพราะลูก

แน่ใจหรือว่าการที่ต้องทนเพราะรัก ต้องทนเพราะลูกนั้น คือการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด

อย่างที่ใครหลายๆ คนพูดไว้อย่างน่าคิดครับว่า...ปัญหาทุกอย่างจะแก้ไม่ได้เลยถ้าหากเริ่มต้นด้วยการที่เราเองไม่ยอมรับความจริงเสียก่อน เพราะว่ากันว่าคนเราลองเริ่มต้นด้วยการโกหกแล้วก็มักจะต้องโกหกต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

สุดท้าย อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะครับและโปรดใช้วิจารณญาณในขั้นสูงสุดก่อนการอ่าน ก็คือ...

ขอบคุณหนังเรื่องนี้ที่ทำให้ผมมั่นใจขึ้นมาอีกว่าศีล 5 นั้นไล่เรียงจากข้อควรห้ามมากสุดไปยังน้อยที่สุด 555
กำลังโหลดความคิดเห็น