รู้จัก "ใต้ถุน" มั้ยครับ?
สำหรับเด็กรุ่นใหม่ๆ ลืมตาเกิดมาเห็นแต่เพดานตึก เห็นแต่คอนโดฯ ถ้านึกภาพไม่ออกก็ให้จินตนาการเวลาไปเที่ยวตามชนบทหรือเวลาคุณพ่อคุณแม่พาไปเที่ยว พาไปเยี่ยมปู่ เยี่ยมย่า เยี่ยมตา เยี่ยมยายตามต่างจังหวัดบ้านนอกจะเห็นบ้านไม้ มีเสาสูงๆ พื้นที่โล่งๆ จากพื้นบ้านจนถึงพื้นดินนั่นแหละครับที่เรียกว่า ใต้ถุน(บ้าน)
ประโยชน์ของเจ้าใต้ถุนนี่ต้องบอกว่าสารพัด นอกจากจะเป็นเสมือนกับเครื่องปรับอากาศทำให้ตัวบ้านเย็นลง มีลมถ่ายเท เอาไว้หนีน้ำท่วม มันยังเป็นที่เก็บเครื่องไม้เครื่องมือทำนา-ทำไร่, เป็นที่รับแขก ขณะที่บางบ้านก็ทำเป็นคอกเลี้ยงสัตว์วัว-ควายก็มี
แต่สำหรับ "ใต้ถุนศาล" ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ
...
ชีวิตนี้สารภาพตามตรงว่าไม่เคยมีความต้องการอยากจะเดินไปขึ้นโรงขึ้นศาลกับเขาเลยครับ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไรก็ตามที
แต่กระนั้นโอกาสที่ว่าก็เข้ามาเยี่ยมเยือนจนได้
ส่วนสาเหตุก็อันเนื่องมาจากเนื้อหาที่เขียนผ่านคอลัมน์นี้แหละครับ ทว่าไม่ขอลงรายละเอียดแล้วกันเพราะเกรงว่าจะทำให้เสียรูปคดี (555)
ครั้งแรกของการไปขึ้นศาล ได้เข้าไปในห้องพิจารณคดี ได้ทำความเคารพท่านผู้พิพากษา ถูกผู้คุมพาตัวลงลิฟท์ ถูกจับพิมพ์ลายนิ้วหัวแม่มือทั้งซ้าย-ขวา ถูกถ่ายภาพ ก่อนจะถูกพาตัวเข้าไปที่ใต้ถุนศาลเพื่อรอเวลาระหว่างทำเรื่องประกันตัว แม้จะเป็นประสบการณ์ที่ชวนตื่นเต้นอยู่พอสมควร แต่เอาเข้าจริงๆ ที่เหนือความตื่นเต้นที่มีก็คือความรู้สึกสงสัยครับ
สงสัยเพราะผมรู้สึกว่าขั้นตอนกระบวนการต่างๆ ทั้งการพิมพ์ลายนิ้วมือ ถ่ายภาพ ทั้งการเข้าไปอยู่ร่วมกับผู้ต้องหาคนอื่นๆ ซึ่งแม้มันจะไม่ใช่ห้องขังแต่บรรยากาศตลอดจนการที่ต้องมาถูกผู้คุมถามว่าโดนข้อหาอะไรมาล่ะเรา? มันทำให้ผมรู้สึกว่านี่ผมกลายเป็นคนผิดไปแล้วหรือนี่?
"ก็มันเป็นขั้นตอนของกฏหมายเขา..." พี่ที่ออฟฟิศคนหนึ่งบอกกล่าวด้วยความมีประสบการณ์กับเรื่องทำนองนี้
"แต่มันเหมือนนักโทษเลยนะพี่ ทั้งที่นี่มันแค่ไปรับฟังว่าถูกเขาฟ้องเองนะ ยังไม่ได้มีการไต่สวนพิสูจน์อะไรเลยว่าตกลงหมิ่นไม่หมิ่น ทำไมต้องลงลิฟท์ไปกับผู้คุม ทำไมจะต้องไปพิมพ์ลายนิ้วเหมือนกับนักโทษ ทำไมต้องวางเงินประกันตัวด้วย ไม่ใช่ความผิดแบบว่าเมาแล้วขับ วิวาทชกต่อย เล่นการพนัน เสพยา อะไรซะเมื่อไหร่ ใครมันจะหนีไปไหนถ้าหนีก็ยอมรับว่าผิดแล้วสิ แล้วทำไมคนเป็นจำเลยต้องมาศาลแต่คนฟ้องกลับให้ทนายมาแทนได้ จำเลยให้ทนายรับฟังข้อกล่าวหาแทนไม่ได้หรือ ฯ..."
ทั้งหมดไม่ได้พูดออกไปหรอกครับได้แต่คิดอยู่ในใจ
หลังได้ประสบการณ์จากการขึ้นศาลครั้งแรก โอกาสไปศาลในคดีเดียวกันเป็นครั้งที่สองก็มาถึงในอีกไม่นาน แต่คราวนี้คนละศาลกันครับ
เพราะความค่อนข้างจะรู้ขั้นตอนดีแล้วครั้งนี้เลยไม่ได้ตื่นเต้นหรือรู้สึกอะไรมากมาย
แต่ปรากฏว่าผิดคาดครับ
"เอ่อ ต้องใส่กุญแจมือด้วยหรือพี่..." ผมถามผู้คุมระหว่างที่ท่านบอกให้ยื่นแขนทั้งสองข้างออกไป
"เอาน่าพอเป็นพิธี..." ท่านว่าพลางสวมกุญแจเหล็กลงไปที่ข้อมือเล็กๆ ของผมทั้งสองข้าง
จริงๆ คำว่า "พอเป็นพิธี" มันก็เป็นคำตอบที่เดียวกับที่ผู้คุมบอกผมในการไปศาลครั้งแรกนั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าครั้งนั้นคำว่า "เป็นพิธี" ก็คือท่านเอากุญแจมือมาด้วยก็จริง แต่ไม่ได้มีการสวมลงไปแต่อย่างใด
ถูกสวมกุญแจมือเท่านั้นไม่พอ เพราะทันทีที่ลิฟท์ที่จะพาผมกับผู้คุมลงไปใต้ถุนศาลเปิดออก ผมถึงกับผงะเลยครับเนื่องจากในนั้นนอกจากจะมีผู้คุมอยู่ 2- 3 คนแล้วยังประกอบไปด้วยเหล่าชายดูเหี้ยมหาญในชุดสีส้มมอซอๆ ที่ข้อเท้าทั้งสองประดับด้วยตรวนอยู่อีกราวๆ 5-6 คน
พอประตูปิด ลิฟท์เริ่มเคลื่อนตัวลง หูผมก็ได้ยินบทสนทนาที่แสดงถึงความสนิทสนมเป็นกันเองประมาณว่า...
ผู้คุมคนหนึ่ง : พ้นโทษเมื่อไหร่ล่ะไอ้...
นช.คนที่ถูกถาม : ใกล้แล้วครับ...
ผู้คุมคนเดิม : เออ ก่อนไปก็จัดเอาคืนมันหนักๆ เลย...(พูดพลางหันไปทาง "มัน" ซึ่งเป็นผู้คุมอีกคนที่เป็นผู้คุมนักโทษที่ถูกถาม พลางหัวเราะหึๆ)
เชื่อมั้ยครับว่าช่วงระยะเวลาครึ่งนาทีในลิฟท์ที่เคลื่อนตัวลงมาใต้ถุนศาล ปรากฏว่ามีฉากแอ็กชั่นที่นักโทษฆ่าผู้คุมเพื่อแหกคุกผ่านเข้ามาในจินตนาการของผมไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง
หลังถูกพิมพ์ลายนิ้วมือก็ถูกส่งตัวไปอยู่ในห้องเพื่อรอการประกันตัว ซึ่งคราวนี้บรรยากาศต่างจากครั้งแรกสิ้นเชิงครับ เพราะครั้งแรกนั้นเป็นห้องธรรมดาๆ แต่ครั้งนี้ดูยังไงๆ มันก็คือห้องกรงดีๆ นี่เอง
ในห้องที่ผมอยู่มีคนอยู่ประมาณ 6-7 คนได้ครับ หลายคนไปยืนเกาะลูกกรงตะโกนคุยกับญาติที่ถูกกั้นด้วยกรงเหล็กอีกหนึ่งชั้น บางคนถามว่าโทรไปหาคนนั้นให้หรือยัง บางคนบอกให้ซื้อข้าวซื้อน้ำมาฝาก ฟากของญาติเองบางคนร้องห่มร้องไห้ ญาติบางคนสมน้ำหน้าคนที่อยู่ข้างใน บางคนบอกใจเย็นๆ กำลังทำเรื่องประกันอยู่ ฯ
หลายคนที่เข้ามาอยู่ในห้องแรกๆ ก็ตัวใครตัวมันครับ ต่างคนต่างอยู่ แต่สักพักก็เริ่มคุยกันแถมเหมือนจะถูกคอเสียด้วย โดนคดีอะไร, ได้ประกันหรือเปล่า, โดนกี่ปี, ไปขังที่ไหน ฯ ขณะที่บางคนก็ถูก "รุ่นพี่" ที่อยู่ห้องขังข้างๆ ซึ่งทุกคนล้วนมีตรวนเป็นเครื่องประดับชวนพูดคุยด้วย มีการแนะนำตัว, ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ฯ
ผมเองนั่งนิ่งๆ พยายามจะไม่ไปโดนลูกกรง ไม่สบตาใคร พร้อมภาวนาอย่าให้ใครมาชวนคุย
ดูเหมือนคำภาวนาจะได้ผลครับ แต่แค่ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ระหว่างที่นั่งคิดอะไรเพลินๆ ผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกเพราะมีมือสอดรอดผ่านลูกกรงเข้ามาจากห้องข้างๆ พร้อมๆ กับถุงขนมขบเคี้ยว 2 ถุง และน้ำเปล่า 1 ขวด
"เอ้าน้อง...หิวมั้ย... เอาไปแบ่งให้เพื่อนๆ กินกัน โดนคดีอะไรล่ะเรา..."
"เอ่อ ไม่เป็นไรครับพี่..."
"เอาไปเถอะ พี่จะไปแล้ว" พูดจบผู้มีน้ำใจก็เดินลากตรวนเสียงดังกรุ๊งกริ๊งๆ ไปเข้าแถวตามการตะโกนเรียกของผู้คุม
ยอมรับครับว่าตอนนั้นทั้งหิว ทั้งกระหาย แต่ผมกลับไม่กล้าทานของที่ได้มาแต่อย่างใด ก่อนที่จะมีเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งขอไปรับประทาน
หลังจากการแจกข้าวกล่อง เวลาเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ นักโทษในห้องขังถัดๆ ไปเริ่มบางตาเพราะมีรถมารับเพื่อนำตัวกลับไปขังตามเรือนจำต่างๆ แม้จะรู้ว่าเดี๋ยวก็ได้ออกไปเพราะข้างนอกมีคนกำลังทำเรื่องประกันตัวให้อยู่แต่กระนั้นมันก็อดที่จะเริ่มคิดมากไม่ได้ครับ ทั้งด้วยความหิว ทั้งด้วยบรรยากาศรอบข้าง แถมตั้งแต่เข้าห้องขังมาคนทำเรื่องประกันนั้นไม่ได้มาให้ผมเห็นหน้าเลยสักครั้งเดียว
"ใครชื่ออำนาจ มานี่สิ..." เสียงผู้คุมหน้าห้องเรียก
"ตกลงยังไงเนี่ย มีคนมาประกันมั้ย
"เอ่อ มีครับ..."
"แน่ใจนะ..." ผู้คุมถามย้ำ ก่อนบอก "ไม่มีอะไร เรียกมาจะถามว่าของเนี่ย...(ควักโทรศัพท์ของผมขึ้นมาพร้อมกระเป๋าเงินที่มีเงินอยู่ 120 กว่าบาท) จะฝากไว้มั้ย เพราะมันใกล้จะหมดเวลาแล้ว ถ้ามีคนทำเรื่องอยู่ก็แล้วไป แต่แน่ใจนะว่ามี..."
"งั้นผมขอโทรศัพท์นิดนึงได้มั้ยครับ..."
กว่าจะทำเรื่องประกันตัวเสร็จเรียบร้อยเวลาก็เย็นย่ำกันเลยแหละครับ ซึ่งระหว่างที่กำลังเซ็นชื่อออกมา ผู้คุมคนหนึ่งก็ถามด้วยสำเนียงท้องถิ่นปักษ์ใต้บ้านเราว่า...
"อ้าว ทำงานอยู่ที่...เหรอ"
"ครับ"
"แล้วรู้จักอา....มั้ยล่ะ คนนั้นมาบ่อย" ผู้คุมเอ่ยชื่อของรุ่นใหญ่ที่ออฟฟิศคนหนึ่งออกมา..."
"อ๋อ อา...รู้จักครับ"
เท่านั้นแหละครับ ผู้คุม 2-3 คนที่อยู่ใกล้ๆ ต่างพูดขึ้นมาพร้อมๆ กันด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเอง "อ้าว แล้วก็ไม่บอกว่าเป็นเด็กอา..." "รู้แบบนี้จะได้ดูแลให้ดี..." "เออ...ทีหลังถ้ามาก็บอกแล้วกัน..." ฯ
ผมได้แต่ยิ้มๆ พร้อมกับตอบออกไปสั้นๆ ว่า "ครับ" ขณะที่ในใจนึกว่า เอ่อมันใช่ที่ใครอยากจะมาบ่อยๆ กันมั้ยล่ะครับพี่?
สำหรับเด็กรุ่นใหม่ๆ ลืมตาเกิดมาเห็นแต่เพดานตึก เห็นแต่คอนโดฯ ถ้านึกภาพไม่ออกก็ให้จินตนาการเวลาไปเที่ยวตามชนบทหรือเวลาคุณพ่อคุณแม่พาไปเที่ยว พาไปเยี่ยมปู่ เยี่ยมย่า เยี่ยมตา เยี่ยมยายตามต่างจังหวัดบ้านนอกจะเห็นบ้านไม้ มีเสาสูงๆ พื้นที่โล่งๆ จากพื้นบ้านจนถึงพื้นดินนั่นแหละครับที่เรียกว่า ใต้ถุน(บ้าน)
ประโยชน์ของเจ้าใต้ถุนนี่ต้องบอกว่าสารพัด นอกจากจะเป็นเสมือนกับเครื่องปรับอากาศทำให้ตัวบ้านเย็นลง มีลมถ่ายเท เอาไว้หนีน้ำท่วม มันยังเป็นที่เก็บเครื่องไม้เครื่องมือทำนา-ทำไร่, เป็นที่รับแขก ขณะที่บางบ้านก็ทำเป็นคอกเลี้ยงสัตว์วัว-ควายก็มี
แต่สำหรับ "ใต้ถุนศาล" ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุที่จะเล่าให้ฟังในวันนี้นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ
...
ชีวิตนี้สารภาพตามตรงว่าไม่เคยมีความต้องการอยากจะเดินไปขึ้นโรงขึ้นศาลกับเขาเลยครับ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไรก็ตามที
แต่กระนั้นโอกาสที่ว่าก็เข้ามาเยี่ยมเยือนจนได้
ส่วนสาเหตุก็อันเนื่องมาจากเนื้อหาที่เขียนผ่านคอลัมน์นี้แหละครับ ทว่าไม่ขอลงรายละเอียดแล้วกันเพราะเกรงว่าจะทำให้เสียรูปคดี (555)
ครั้งแรกของการไปขึ้นศาล ได้เข้าไปในห้องพิจารณคดี ได้ทำความเคารพท่านผู้พิพากษา ถูกผู้คุมพาตัวลงลิฟท์ ถูกจับพิมพ์ลายนิ้วหัวแม่มือทั้งซ้าย-ขวา ถูกถ่ายภาพ ก่อนจะถูกพาตัวเข้าไปที่ใต้ถุนศาลเพื่อรอเวลาระหว่างทำเรื่องประกันตัว แม้จะเป็นประสบการณ์ที่ชวนตื่นเต้นอยู่พอสมควร แต่เอาเข้าจริงๆ ที่เหนือความตื่นเต้นที่มีก็คือความรู้สึกสงสัยครับ
สงสัยเพราะผมรู้สึกว่าขั้นตอนกระบวนการต่างๆ ทั้งการพิมพ์ลายนิ้วมือ ถ่ายภาพ ทั้งการเข้าไปอยู่ร่วมกับผู้ต้องหาคนอื่นๆ ซึ่งแม้มันจะไม่ใช่ห้องขังแต่บรรยากาศตลอดจนการที่ต้องมาถูกผู้คุมถามว่าโดนข้อหาอะไรมาล่ะเรา? มันทำให้ผมรู้สึกว่านี่ผมกลายเป็นคนผิดไปแล้วหรือนี่?
"ก็มันเป็นขั้นตอนของกฏหมายเขา..." พี่ที่ออฟฟิศคนหนึ่งบอกกล่าวด้วยความมีประสบการณ์กับเรื่องทำนองนี้
"แต่มันเหมือนนักโทษเลยนะพี่ ทั้งที่นี่มันแค่ไปรับฟังว่าถูกเขาฟ้องเองนะ ยังไม่ได้มีการไต่สวนพิสูจน์อะไรเลยว่าตกลงหมิ่นไม่หมิ่น ทำไมต้องลงลิฟท์ไปกับผู้คุม ทำไมจะต้องไปพิมพ์ลายนิ้วเหมือนกับนักโทษ ทำไมต้องวางเงินประกันตัวด้วย ไม่ใช่ความผิดแบบว่าเมาแล้วขับ วิวาทชกต่อย เล่นการพนัน เสพยา อะไรซะเมื่อไหร่ ใครมันจะหนีไปไหนถ้าหนีก็ยอมรับว่าผิดแล้วสิ แล้วทำไมคนเป็นจำเลยต้องมาศาลแต่คนฟ้องกลับให้ทนายมาแทนได้ จำเลยให้ทนายรับฟังข้อกล่าวหาแทนไม่ได้หรือ ฯ..."
ทั้งหมดไม่ได้พูดออกไปหรอกครับได้แต่คิดอยู่ในใจ
หลังได้ประสบการณ์จากการขึ้นศาลครั้งแรก โอกาสไปศาลในคดีเดียวกันเป็นครั้งที่สองก็มาถึงในอีกไม่นาน แต่คราวนี้คนละศาลกันครับ
เพราะความค่อนข้างจะรู้ขั้นตอนดีแล้วครั้งนี้เลยไม่ได้ตื่นเต้นหรือรู้สึกอะไรมากมาย
แต่ปรากฏว่าผิดคาดครับ
"เอ่อ ต้องใส่กุญแจมือด้วยหรือพี่..." ผมถามผู้คุมระหว่างที่ท่านบอกให้ยื่นแขนทั้งสองข้างออกไป
"เอาน่าพอเป็นพิธี..." ท่านว่าพลางสวมกุญแจเหล็กลงไปที่ข้อมือเล็กๆ ของผมทั้งสองข้าง
จริงๆ คำว่า "พอเป็นพิธี" มันก็เป็นคำตอบที่เดียวกับที่ผู้คุมบอกผมในการไปศาลครั้งแรกนั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าครั้งนั้นคำว่า "เป็นพิธี" ก็คือท่านเอากุญแจมือมาด้วยก็จริง แต่ไม่ได้มีการสวมลงไปแต่อย่างใด
ถูกสวมกุญแจมือเท่านั้นไม่พอ เพราะทันทีที่ลิฟท์ที่จะพาผมกับผู้คุมลงไปใต้ถุนศาลเปิดออก ผมถึงกับผงะเลยครับเนื่องจากในนั้นนอกจากจะมีผู้คุมอยู่ 2- 3 คนแล้วยังประกอบไปด้วยเหล่าชายดูเหี้ยมหาญในชุดสีส้มมอซอๆ ที่ข้อเท้าทั้งสองประดับด้วยตรวนอยู่อีกราวๆ 5-6 คน
พอประตูปิด ลิฟท์เริ่มเคลื่อนตัวลง หูผมก็ได้ยินบทสนทนาที่แสดงถึงความสนิทสนมเป็นกันเองประมาณว่า...
ผู้คุมคนหนึ่ง : พ้นโทษเมื่อไหร่ล่ะไอ้...
นช.คนที่ถูกถาม : ใกล้แล้วครับ...
ผู้คุมคนเดิม : เออ ก่อนไปก็จัดเอาคืนมันหนักๆ เลย...(พูดพลางหันไปทาง "มัน" ซึ่งเป็นผู้คุมอีกคนที่เป็นผู้คุมนักโทษที่ถูกถาม พลางหัวเราะหึๆ)
เชื่อมั้ยครับว่าช่วงระยะเวลาครึ่งนาทีในลิฟท์ที่เคลื่อนตัวลงมาใต้ถุนศาล ปรากฏว่ามีฉากแอ็กชั่นที่นักโทษฆ่าผู้คุมเพื่อแหกคุกผ่านเข้ามาในจินตนาการของผมไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง
หลังถูกพิมพ์ลายนิ้วมือก็ถูกส่งตัวไปอยู่ในห้องเพื่อรอการประกันตัว ซึ่งคราวนี้บรรยากาศต่างจากครั้งแรกสิ้นเชิงครับ เพราะครั้งแรกนั้นเป็นห้องธรรมดาๆ แต่ครั้งนี้ดูยังไงๆ มันก็คือห้องกรงดีๆ นี่เอง
ในห้องที่ผมอยู่มีคนอยู่ประมาณ 6-7 คนได้ครับ หลายคนไปยืนเกาะลูกกรงตะโกนคุยกับญาติที่ถูกกั้นด้วยกรงเหล็กอีกหนึ่งชั้น บางคนถามว่าโทรไปหาคนนั้นให้หรือยัง บางคนบอกให้ซื้อข้าวซื้อน้ำมาฝาก ฟากของญาติเองบางคนร้องห่มร้องไห้ ญาติบางคนสมน้ำหน้าคนที่อยู่ข้างใน บางคนบอกใจเย็นๆ กำลังทำเรื่องประกันอยู่ ฯ
หลายคนที่เข้ามาอยู่ในห้องแรกๆ ก็ตัวใครตัวมันครับ ต่างคนต่างอยู่ แต่สักพักก็เริ่มคุยกันแถมเหมือนจะถูกคอเสียด้วย โดนคดีอะไร, ได้ประกันหรือเปล่า, โดนกี่ปี, ไปขังที่ไหน ฯ ขณะที่บางคนก็ถูก "รุ่นพี่" ที่อยู่ห้องขังข้างๆ ซึ่งทุกคนล้วนมีตรวนเป็นเครื่องประดับชวนพูดคุยด้วย มีการแนะนำตัว, ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ฯ
ผมเองนั่งนิ่งๆ พยายามจะไม่ไปโดนลูกกรง ไม่สบตาใคร พร้อมภาวนาอย่าให้ใครมาชวนคุย
ดูเหมือนคำภาวนาจะได้ผลครับ แต่แค่ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ระหว่างที่นั่งคิดอะไรเพลินๆ ผมก็ต้องสะดุ้งเฮือกเพราะมีมือสอดรอดผ่านลูกกรงเข้ามาจากห้องข้างๆ พร้อมๆ กับถุงขนมขบเคี้ยว 2 ถุง และน้ำเปล่า 1 ขวด
"เอ้าน้อง...หิวมั้ย... เอาไปแบ่งให้เพื่อนๆ กินกัน โดนคดีอะไรล่ะเรา..."
"เอ่อ ไม่เป็นไรครับพี่..."
"เอาไปเถอะ พี่จะไปแล้ว" พูดจบผู้มีน้ำใจก็เดินลากตรวนเสียงดังกรุ๊งกริ๊งๆ ไปเข้าแถวตามการตะโกนเรียกของผู้คุม
ยอมรับครับว่าตอนนั้นทั้งหิว ทั้งกระหาย แต่ผมกลับไม่กล้าทานของที่ได้มาแต่อย่างใด ก่อนที่จะมีเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งขอไปรับประทาน
หลังจากการแจกข้าวกล่อง เวลาเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ นักโทษในห้องขังถัดๆ ไปเริ่มบางตาเพราะมีรถมารับเพื่อนำตัวกลับไปขังตามเรือนจำต่างๆ แม้จะรู้ว่าเดี๋ยวก็ได้ออกไปเพราะข้างนอกมีคนกำลังทำเรื่องประกันตัวให้อยู่แต่กระนั้นมันก็อดที่จะเริ่มคิดมากไม่ได้ครับ ทั้งด้วยความหิว ทั้งด้วยบรรยากาศรอบข้าง แถมตั้งแต่เข้าห้องขังมาคนทำเรื่องประกันนั้นไม่ได้มาให้ผมเห็นหน้าเลยสักครั้งเดียว
"ใครชื่ออำนาจ มานี่สิ..." เสียงผู้คุมหน้าห้องเรียก
"ตกลงยังไงเนี่ย มีคนมาประกันมั้ย
"เอ่อ มีครับ..."
"แน่ใจนะ..." ผู้คุมถามย้ำ ก่อนบอก "ไม่มีอะไร เรียกมาจะถามว่าของเนี่ย...(ควักโทรศัพท์ของผมขึ้นมาพร้อมกระเป๋าเงินที่มีเงินอยู่ 120 กว่าบาท) จะฝากไว้มั้ย เพราะมันใกล้จะหมดเวลาแล้ว ถ้ามีคนทำเรื่องอยู่ก็แล้วไป แต่แน่ใจนะว่ามี..."
"งั้นผมขอโทรศัพท์นิดนึงได้มั้ยครับ..."
กว่าจะทำเรื่องประกันตัวเสร็จเรียบร้อยเวลาก็เย็นย่ำกันเลยแหละครับ ซึ่งระหว่างที่กำลังเซ็นชื่อออกมา ผู้คุมคนหนึ่งก็ถามด้วยสำเนียงท้องถิ่นปักษ์ใต้บ้านเราว่า...
"อ้าว ทำงานอยู่ที่...เหรอ"
"ครับ"
"แล้วรู้จักอา....มั้ยล่ะ คนนั้นมาบ่อย" ผู้คุมเอ่ยชื่อของรุ่นใหญ่ที่ออฟฟิศคนหนึ่งออกมา..."
"อ๋อ อา...รู้จักครับ"
เท่านั้นแหละครับ ผู้คุม 2-3 คนที่อยู่ใกล้ๆ ต่างพูดขึ้นมาพร้อมๆ กันด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเอง "อ้าว แล้วก็ไม่บอกว่าเป็นเด็กอา..." "รู้แบบนี้จะได้ดูแลให้ดี..." "เออ...ทีหลังถ้ามาก็บอกแล้วกัน..." ฯ
ผมได้แต่ยิ้มๆ พร้อมกับตอบออกไปสั้นๆ ว่า "ครับ" ขณะที่ในใจนึกว่า เอ่อมันใช่ที่ใครอยากจะมาบ่อยๆ กันมั้ยล่ะครับพี่?