“แอ๊ด คาราบาว” ออกตัวแรง ท้ารบ จุฬาฯ ฮุบที่อุเทนถวาย จวกอาจารย์จุฬาฯ ไม่อายบ้างเหรอ นายทุนในคราบนักบุญอาจารย์ นี่คือความเสื่อมของจุฬาฯ หาแต่ผลประโยชน์ ยันที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์อุเทนถวายชนะแน่นอน จะมาอ้างอะไรกับสัญญาที่ทำกับรัฐบาลจอมพล ป. คนที่ถูกเนรเทศออกนอกประเทศ ลั่นถ้าจะต้องย้ายจุฬาฯ นั่นแหละย้ายออกไป
ออกตัวแรงเลยทีเดียวสำหรับ “แอ๊ด คาราบาว” ยืนยง โอภากุล อดีตศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย ที่ลุกขึ้นมาแต่งเพลง “รังสีน้ำเงิน” มีเนื้อหาต่อต้าน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่จะมาเอาพื้นที่อุเทนถวายคืน ทั้งที่เป็นสถาบันที่พระราชดำริก่อตั้งโดยรัชกาลที่ 5 และสานต่อมายังรัชกาลที่ 6 ถือเป็นสถาบันเก่าแก่ที่เปิดการเรียนการสอนมาอย่างยาวนาน
โดยแอ๊ดกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวขณะมาร่วมงานแถลงข่าว "คอนเสิร์ตเพลินจิต 2 ตอน คาราบาว ออเคสตร้า" ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของอุเทนฯ อย่างถูกต้อง แต่เพิ่งจะมาเปลี่ยนแปลงในยุคของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ทำให้เกิดปัญหาเรื่อยมา ซัดอาจารย์จุฬาฯ หน้าไม่อายบ้างเหรอ นายทุนในคราบอาจารย์ ฉะได้ที่ไปก็คงเอาไปเซ้งเปิดศูนย์การค้า ซึ่งที่ดินของจุฬาฯ ก็ล้วนกลายเป็นศูนย์การค้าไม่ว่าจะเป็น สยามสแควร์ มาบุญครอง จามจุรีสแควร์ สร้างคอนโดฯลฯ
“ก็อยากให้กำลังใจน้องๆ พี่ๆ ชาวอุเทนถวายเพราะเราได้รับความไม่เป็นธรรม เมื่อมันเป็นที่ดินที่เป็นมรดกเป็นสถาบันที่เป็นมรดกถูกตั้งขึ้นมาพระราชดำริของราชการที่ 5 กระทั่งราชการที่ 6 ทำจนสำเร็จ ให้ผู้หลักผู้ใหญ่สมัยนั้นทำคนก็รับรู้กันไปทั่ว”
“แต่สิ่งที่จุฬาฯ มาเอาที่ดินผืนนี้ไปกับการที่ไปเซ็นสัญญากับทางรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องกัน ผมว่าอุเทนไม่ต้องออกอยู่ตรงนี้แหละ ที่เยอะแยะไปถ้าจุฬาฯ จะไปทำอะไร ถ้าต้องย้ายจุฬาฯ ย้ายไปดีกว่า เพราะว่าจุดประสงค์ของในหลวงท่านต้องการให้เราเป็นสถาบันศึกษา ก็ควรจะเป็นสถาบันศึกษาต่อไป และถ้าจุฬาฯ เอาไป ผมว่าแน่นอนเลยต้องเอาไปเซ้งศูนย์การค้า”
“เขาเอาไปทำอะไรเละเทะหมด เขาทำอะไรก็ทำไม่ขึ้นหรอก เดี๋ยวนี้การค้าทุนนิยมมันเข้าไปถึงรั้วสถาบันแล้วเหรอ ผมอยากถามตรงนี้ บรรดาอาจารย์ที่มานั่งๆ นี่คุณไม่อายเขาเหรอ ขนาดผมน้องๆ ผมที่จบจุฬาฯ มาเขายังว่าเลยครูสมัยนี้ทำไมจิตใจมันเป็นแบบนี้ เขาบอกไม่ต้องย้าย ขนาดเขาจบจุฬาฯมาเขายังบอกให้เราไม่ต้องย้ายมันทำไม่ถูก คุณไปเอาที่อื่นไป ไปเอาที่ไหนก็ได้ก็ไปเอาสิ เพราะอะไรถึงเป็นแบบนี้ ก็เพราะต้องการผลประโยชน์ แต่จริงๆ คุณก็ได้มาตั้งเยอะแยะแล้วผลประโยชน์”
“สถาบันนี้เป็นสถาบันที่มีเกียรติในหลวงเป็นคนตั้ง อยู่ดีๆ จะไปย้ายได้ไง จะไปยึดอะไรจอมพล ป. เพราะจอมพล ป. ก็เป็นคนที่ถูกเนรเทศออกนอกประเทศ แล้วเอาเศษกระดาษนี่มาอ้างมันไม่มีความหมายหรอกเพราะในหลวงพระราชทานให้ก็คือให้ และคุณก็รับรู้โดยปริยาย เป็นธรรมชาติยิ่งกว่าตุลาการใดๆ ทั้งสิ้น มันไม่ต้องมีเอกสารใดๆ มาหรอก มันคือสิทธิของอุเทนเต็มร้อยเลย ก็มารบกันดิ เอาสิศิษย์จุฬาฯ มารบกับศิษย์อุเทน ถ้าจะเกิดเป็นเรื่องเป็นก็เป็นสิไม่เห็นเป็นไร อุเทนก็พร้อมอยู่แล้ว เราไม่ยุ่งอยู่แล้วแต่ให้กำลังใจศิษย์อุเทนทั้งหมด”
“กับเพลงที่แต่งออกมาเนื้อหามันก็ตามนั้น ลองไปพิจารณาดูเอาเอง เราเป็นชาวพุทธอย่าโกหกอย่าตอแหลมาพูดความจริงกันดีกว่า ความโลภมันบังตา มันเป็นนายทุนที่อยู่ในคราบของนักบุญที่ทำเป็นครูบาอาจารย์สอนลูกศิษย์ลูกหา แต่จริงๆ มันคือนายทุนซากเดนของทุนนิยมที่ไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบ นี่มันคือความเสื่อมของจุฬาฯ”
“จะมาอ้างอะไรว่าเป็นสิทธิ์ของจุฬาฯ มันคือสิทธิ์ของอุเทนจะไปอ้างอะไรก็เรื่องของเขา เรื่องนี้มันขึ้นโรงขึ้นศาลไปแล้ว แต่ศาลไม่มีสิทธิ์มาตัดสินเรื่องแบบนี้หรอก อันนี้ด้วยความเคารพนะ เพราะอันนี้มันเหนือวิจารณญาณของศาล ศาลพวกนี้เป็นคนใหม่เกิดมาไม่ทันเหตุการณ์นี้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นเขาย่อมไม่รู้ ไม่ซึมลึกย่อมไม่เข้าใจถึงจิตวิญญาณการเป็นอุเทนถวาย ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งศาล ไม่จำเป็นต้องไปอุทธรณ์ฎีกาอะไรทั้งสิ้น ไม่จำเป็นคือเราไม่ออก”
“เรื่องนี้มันไม่ใช่เพิ่งเกิดมันเป็นตั้งแต่สมัยที่ผมเรียนแล้ว ก็คุยเรื่องนี้กันมาเป็นระลอกๆ ไป มันฮึ่มๆ มาทีเราก็ฮึ่มกลับก็เท่านั้นแหละ แต่อย่างไรก็ตามเราต้องใช้สันติวิธีในการต่อสู้ใช้เหตุใช้ผล พวกเราเยอะปัญญาชนที่เขาเข้าข้างเราเยอะไม่ต้องกลัว อุเทนชนะแน่”
ข่าวนี้ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมากนัก โดยเฉพาะสื่อใหญ่ๆ แม้กระทั่ง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” นักเล่าข่าวชื่อดังซึ่งมักจะไม่พลาดหยิบจับประเด็นร้อนมาพูดถึงเสมอ ก็ดูจะไม่ค่อยสนใจประเด็นนี้ซักเท่าไหร่ ท่ามกลางกระแสข่าวว่า สรยุทธเคยมีเรื่องกับอุเทนถวายมาก่อน ถึงขั้นขึ้นโรงพัก
“ผมว่าสื่อก็อาจจะโดนซื้อไปหมดแล้ว หรือถ้าไม่โดนซื้อก็ต้องระวังตัว เพราะสื่อตอนนี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากทุนต่างๆ ก็คงจะพิจารณาเป็นรายๆ ไป แต่สื่อที่เข้าข้างเราก็มีอย่างเนชั่น ไทยพีบีเอส ก็นำเสนอ ส่วนคุณสรยุทธที่ยังไม่นำเสนอ ผมว่าเป็นเรื่องของความรู้สึกส่วนตัวมากกว่า จริงๆ แล้วคุณสรยุทธกับผมก็รักกันและผมก็เชื่อมั่นว่าคุณสรยุทธย่อมทำให้สิ่งที่ถูก แต่อาจจะยังไม่ถึงเวลาก็ได้”
สำหรับจุฬาฯ ปัจจุบันมีที่ดินในย่านธุรกิจอยู่ในมือ 385 ไร่อยู่ในพื้นที่ สามย่าน, ปทุมวัน, สวนหลวง และเชียงกง ล้วนอยู่ในเขตเศรษฐกิจ และหารายได้โดยการให้เช่าที่ดิน ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ และบริหารอสังหาริมทรัพย์ โดยรายได้ใหญ่อยู่ที่บริเวณพื้นที่สยามสแควร์ ซึ่งนอกจากจะมีรายได้จากการให้เช่าพื้นที่แล้วยังมีรายได้จากค่าบริการจอดรถในรูปแบบสัมปทานบริษัทเอกชน ค่าเช่าพื้นที่การทำกิจกรรม ค่าเช่าพื้นที่ตามซอกตึกและเส้นทางสัญจรระหว่างซอย ด้วยการจัดแบ่งพื้นที่ในย่านสยามสแควร์เป็นศูนย์การค้าเล็กๆ อีกหลายจุด รวมไปถึงรายได้ป้ายสื่อโฆษณาบริเวณสยามสแควร์ ซึ่งเฟื่องฟูมีราคาแพงมาก
นอกจากนั้นแล้วจุฬาฯ ยังได้ทำสัญญาเช่าและลงทุนพัฒนาที่ดินกับบริษัท เอ็มบีเค จำกัด (มหาชน) โดยมีพื้นที่ของโครงการประมาณ 23 ไร่ สิ้นสุดสัญญาเช่าในวันที่ 21 เมษายน 2556 ว่ากันว่าได้มีการต่อสัญญาสัมปทานศูนย์การค้า สำนักงาน และโรงแรม ในโครงการ MBK ต่อไปอีก 30 ปี ด้วยมูลค่าราว 25,000 ล้านบาท
ส่วนในย่านสวนหลวงนั้นได้มีการก่อสร้างอาคารหอพักนานาชาติ เป็นโครงการอาคารพักอาศัยสูงราว 20 ชั้น จำนวน 2 อาคาร ตั้งอยู่บนพื้นที่ราว 6 ไร่ ในบริเวณสวนหลวง พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นที่พักอาศัยสำหรับรองรับนิสิตต่างชาติ และส่วนหนึ่งเป็นที่พักอาศัยสำหรับบุคลากรของมหาวิทยาลัย
ไม่เพียงที่ดินในเขตปทุมวัน จุฬาฯ ยังมีที่ดินเชิงพาณิชย์บริเวณเขาตะเกียบ หัวหิน ซึ่งผู้ลงทุนได้พัฒนาที่ดินเป็นโรงแรมบูติกที่มีชื่อว่า วรปุร รีสอร์ท แอนด์ สปา เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2547 ระยะเวลาเช่า 15 ปี เป็นต้น