เรียนตามตรงครับว่าหลายปีที่ผ่านมาผมฟังเพลงของบรรดานักร้องทั้งที่มาแบบเดี่ยว แบบคู่ แบบเป็นวง ทั้งที่เป็นผู้หญิงทั้งกายทั้งใจ ผู้ชายทั้งกายทั้งใจ ผู้ชายแต่กายแต่ใจเป็นผู้หญิง ผู้หญิงแต่กายแต่ใจเป็นผู้ชาย ฯ ที่ออกมาใหม่ค่อนข้างจะน้อยมาก
อันที่จริงก็ฟังเยอะแหละครับ เพียงแต่ฟังแล้วก็แล้วกันไป ไม่ฝังใจสักเท่าไหร่
ไม่ใช่ว่าเพลงใหม่ๆ ที่ถูกทำออกมาทั้งหลายแหล่จะไม่เพราะนะครับ หลายเพลงหรือเกือบจะทั้งหมดนั้นเพราะครับ
เพียงแต่อาจจะเป็นเพราะความที่มันมีปริมาณจำนวนที่มาก แถมยังเป็นความมากที่คล้ายๆ กันไปซะหมด โดยเฉพาะในสายดนตรีที่เรียกกันว่าเพลงป็อปจะเป็นป็อปแขนงไหนก็ตาม ฟังแล้วไม่รู้เพลงใครเป็นเพลงใคร ที่สำคัญก็คือเทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบันที่ทำให้มีเพลงฟรีฟังหลากหลายช่องทางมากๆ มันก็เลยพาลให้คิดว่าไม่เห็นจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องไปจับจ่ายเสียเงินซื้อหามาเป็นเจ้าของ
อยากจะได้เพลงไหนก็เปิดคอมฯ เข้าอินเทอร์เน็ต โหลดออกมา
ฟากค่ายเพลงหรือตัวศิลปินเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดจนสถานการณ์พฤติกรรมของคนฟังเพลงที่เป็นจริงอยู่ในปัจจุบันนี้ดีครับ ดังจะเห็นได้ว่าเดี๋ยวนี้นักร้องส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะออกงานที่เป็นอัลบั้มกันแล้วหากแต่เน้นออกเน้นขายกันเป็นเพลงๆ ไป
บางคน - บางวงออกมาเพลงเดียวดังระเบิดระเบ้อก็ออกตระเวนทัวร์ได้แล้ว เพราะเดี๋ยวนี้บ้านเราค่อนข้างฮิตกันเหลือเกินกับเทศกาลดนตรีทั้งหลายแหล่ที่ขนเอานักร้องมารวมตัวเวทีเดียวกันให้เพียบ จนบางครั้งบางวงอาจจะใช้เวลาตั้งเครื่อง-ปรับเสียงกันนานกว่าทำการแสดงซะอีก

แต่ทั้งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลยครับสำหรับนักร้องรุ่นใหม่ๆ ที่พอจะเป็นทางเลือกที่ทำให้เรายอมควักเงินออกมาซื้อเก็บสะสมงาน
หนึ่งนั้นที่ผมคิดว่าได้เลย ใช่เลยก็คือวงดนตรีที่ชื่อว่า MILD (มายด์)
ว่ากันว่ายุคนี้ หากอยากจะรู้ว่าเพลงไหนของใครดัง เพลงอะไรของใครฮิต ก็ให้ไปลองนั่งฟังนักร้องในผับในบาร์ว่าพวกนักดนตรีเหล่านั้นเขาเล่นเพลงอะไรกันบ้าง
เหมือนกับคนส่วนใหญ่ครับ ผมเองเริ่มรู้จักกับวงมายด์ก็จากเพลงอย่าง "อีกนานไหม", "Unloveable" รวมถึง "รักล้นใจ" ซึ่ง 2 เพลงแรกนั้นจัดได้ว่าเป็นสองในบรรดาเพลงชาติประจำร้านเหล้าเลยก็ว่าได้
สารภาพตามตรงอีกครั้งว่าช่วงนั้นฟัง 2 เพลงนี้บ่อยมาก ทั้งจากร้านเหล้า ร้านอาหาร ผับ บาร์ รายการวิทยุ ข้างห้อง ฯ ฟังกันจนเกิดอาการรำคาญขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่คิดลึกๆ อยู่ในใจว่าลงเอยวงดนตรีวงนี้ก็คงจะเหมือนกับอีกหลายๆ วงที่เป็นประเภท "มาเร็วเคลมเร็ว"
แม้อีกราวๆ ปีถัดมาหลังจากมีงานอัลบั้มรวมอย่างเป็นทางการที่ชื่อ Mild ในสังกัด Nano Records เมื่อพวกเขาปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ "ผู้ป่วยความจำเสื่อม" ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี ต่อด้วย "เข้าใจ แต่ทำไม่ได้" ก่อนจะมีอัลบั้มชุดที่สอง "Ma Show" ออกมา พร้อมกับเพลงคุ้นหูอย่าง "รักเราไม่เท่ากัน" รวมอยู่ด้วย ผมก็ยังคงมีความรู้สึกเหมือนเดิมคือไม่เท่าไหร่
แต่หลังจากที่ทิ้งช่วงไปราวๆ สองปี ก่อนที่พวกเขาจะทยอยปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ออกมาจนสุดท้ายจะกลายมาเป็นอัลบั้มล่าสุดของเขาที่มีชื่อว่า MASTER PEACE กับเพลงเพราะๆ ทั้ง กรรมตามสนอง, ดาว, love sick ฯ ในสังกัดบ้านใหม่ "สไปร์ซซี่ ดิสก์" ถึงตอนนี้ต้องบอกว่า ไม่Mindคงไม่ได้แล้ว
ไม่ใช่แค่เพียงความลงตัวที่นับวันจะมากขึ้นๆ เรื่อยๆ ของสมาชิกในวง ทั้ง เป้ บดินทร์ เจริญราษฎร์ (ร้องนำ), เต่า เจน มโนภินิเวศ (กีตาร์), ขุน พิทวัส ขุนทอง (เบส), ทอม ณธีพัฒน์ ประเสริฐมนูกิจ (คีย์บอร์ด), เป้ ไพสิฐ คำกลั่น (แซ็กโซโฟน) และ ไมค์ ธงไชย ทิมพูล (กลอง) เท่านั้น หากแต่อัลบั้มชุดนี้เห็นได้ชัดเลยครับว่าพวกเขาเติบโตและมีพัฒนาการขึ้นทั้งในเรื่องของงานดนตรีและเนื้อหาของบทเพลง
ไม่ใช่จะมาเอาแปลก-เอาเท่ห์-เอามัน-เอาสะใจเข้าว่าเพียงอย่างเดียวเหมือนกับเด็กวัยรุ่นอีกต่อไปแล้ว แต่มายด์วันนี้เป็นมายด์ที่มีรสชาติประมาณว่าไม่หนัก ไม่เบา ไม่มาก ไม่น้อย กลมกล่อม อบอุ่น ละมุน พอดีๆ เหมือนกับความหมายของชื่อวงนั่นแหละครับ
จากเด็กมัธยมที่มาพบเจอกันเพราะหัวใจที่รักเสียงเพลงเหมือนกันบนถนนคนเดินในค่ำคืนหนึ่งที่จ.เชียงใหม่ ก่อนจะมารวมตัวกันเล่นดนตรีเปิดหมวก เล่นร้านกลางคืน เข้าประกวดจนได้เป็นแชมป์ "พานาโซนิค สตาร์ ชาเลนจ์" ปี พ.ศ. 2546 ต้องผ่าฟันอุปสรรคปัญหามากมายทั้งเรื่องส่วนตัว การเรียน ครอบครัว ถูกโกง ถูกหลอก ฯ เกิดความท้อจนคิดจะเลิกทำตามความฝัน กระทั่งมีงานเพลงที่สร้างชื่อให้กับตนเองอย่างในวันนี้ ผมคิดว่าตลอดเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมามันได้เป็นเครื่องพิสูจน์และการันตีอะไรหลายๆ อย่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยไม่ต้องสาธยายอะไรมากมาย
ไม่กี่วันสมาชิกของวงมายด์ให้เกียรติแวะเวียนมาแนะนำอัลบั้มใหม่ถึงที่ออฟฟิศ หนุ่มเป้นักร้องนำบอกว่าย้อนเวลากลับไปทำอย่างไรพวกเขาก็คงจินตนาการนึกภาพไม่ออกอย่างแน่นอนถึงสิ่งที่มายด์กำลังเป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน แถมทั้งหมดยังถ่อมตนด้วยว่าจนถึงวันนี้พวกเขาก็ยังคงเป็นวงดนตรีทั่วๆ ไปอีกวงหนึ่งของบ้านเราเท่านั้นหาได้ดีเด่นดังมากมายอะไร
เท่าที่ได้สนทนาแม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเลยครับว่าทำไมวงดนตรีวงนี้ถึงได้มีแฟนเพลงจำนวนไม่น้อยให้การยอมรับ
ที่ผมชอบมากก็คือวิธีคิดในการทำงานที่มีการวางแผนที่ค่อนข้างชัดเจน มีรูปแบบเป็นขั้นเป็นตอน ที่สำคัญงานต้องออกมาเป๊ะ ชนิดที่บางเพลงอาจจะต้องรื้อทำใหม่ 3-4 รอบก็ต้องยอม ซึ่งตรงนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระยะเวลาในการออกอัลบั้มชุดนี้ค่อนข้างจะห่างจากชุดที่แล้วพอสมควร
ใครที่ไม่เคยติดตามงานของวงดนตรีวงนี้มาก่อน หรือติดตามแบบผ่านๆ ลองติดตามแบบไม่ผ่านกันดู ผมเชื่อว่าไม่น่าจะผิดหวัง หรือถ้าจะผิดหวังผมก็เชื่อว่าไม่น่าจะมากสักเท่าไหร่
ส่วนใครที่เป็นแฟนขาประจำอยู่แล้ว มีข่าวดีมาบอกครับว่าต้นปีหน้าเตรียมสนุกกับคอนเสิร์ตใหญ่ของพวกเขาได้
แต่ตอนนี้เก็บเงินนอนฟังเพลงอัลบั้มใหม่ MASTER PEACE กันไปพลางๆ ก่อน
อันที่จริงก็ฟังเยอะแหละครับ เพียงแต่ฟังแล้วก็แล้วกันไป ไม่ฝังใจสักเท่าไหร่
ไม่ใช่ว่าเพลงใหม่ๆ ที่ถูกทำออกมาทั้งหลายแหล่จะไม่เพราะนะครับ หลายเพลงหรือเกือบจะทั้งหมดนั้นเพราะครับ
เพียงแต่อาจจะเป็นเพราะความที่มันมีปริมาณจำนวนที่มาก แถมยังเป็นความมากที่คล้ายๆ กันไปซะหมด โดยเฉพาะในสายดนตรีที่เรียกกันว่าเพลงป็อปจะเป็นป็อปแขนงไหนก็ตาม ฟังแล้วไม่รู้เพลงใครเป็นเพลงใคร ที่สำคัญก็คือเทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบันที่ทำให้มีเพลงฟรีฟังหลากหลายช่องทางมากๆ มันก็เลยพาลให้คิดว่าไม่เห็นจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องไปจับจ่ายเสียเงินซื้อหามาเป็นเจ้าของ
อยากจะได้เพลงไหนก็เปิดคอมฯ เข้าอินเทอร์เน็ต โหลดออกมา
ฟากค่ายเพลงหรือตัวศิลปินเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดจนสถานการณ์พฤติกรรมของคนฟังเพลงที่เป็นจริงอยู่ในปัจจุบันนี้ดีครับ ดังจะเห็นได้ว่าเดี๋ยวนี้นักร้องส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะออกงานที่เป็นอัลบั้มกันแล้วหากแต่เน้นออกเน้นขายกันเป็นเพลงๆ ไป
บางคน - บางวงออกมาเพลงเดียวดังระเบิดระเบ้อก็ออกตระเวนทัวร์ได้แล้ว เพราะเดี๋ยวนี้บ้านเราค่อนข้างฮิตกันเหลือเกินกับเทศกาลดนตรีทั้งหลายแหล่ที่ขนเอานักร้องมารวมตัวเวทีเดียวกันให้เพียบ จนบางครั้งบางวงอาจจะใช้เวลาตั้งเครื่อง-ปรับเสียงกันนานกว่าทำการแสดงซะอีก
แต่ทั้งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเอาซะเลยครับสำหรับนักร้องรุ่นใหม่ๆ ที่พอจะเป็นทางเลือกที่ทำให้เรายอมควักเงินออกมาซื้อเก็บสะสมงาน
หนึ่งนั้นที่ผมคิดว่าได้เลย ใช่เลยก็คือวงดนตรีที่ชื่อว่า MILD (มายด์)
ว่ากันว่ายุคนี้ หากอยากจะรู้ว่าเพลงไหนของใครดัง เพลงอะไรของใครฮิต ก็ให้ไปลองนั่งฟังนักร้องในผับในบาร์ว่าพวกนักดนตรีเหล่านั้นเขาเล่นเพลงอะไรกันบ้าง
เหมือนกับคนส่วนใหญ่ครับ ผมเองเริ่มรู้จักกับวงมายด์ก็จากเพลงอย่าง "อีกนานไหม", "Unloveable" รวมถึง "รักล้นใจ" ซึ่ง 2 เพลงแรกนั้นจัดได้ว่าเป็นสองในบรรดาเพลงชาติประจำร้านเหล้าเลยก็ว่าได้
สารภาพตามตรงอีกครั้งว่าช่วงนั้นฟัง 2 เพลงนี้บ่อยมาก ทั้งจากร้านเหล้า ร้านอาหาร ผับ บาร์ รายการวิทยุ ข้างห้อง ฯ ฟังกันจนเกิดอาการรำคาญขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่คิดลึกๆ อยู่ในใจว่าลงเอยวงดนตรีวงนี้ก็คงจะเหมือนกับอีกหลายๆ วงที่เป็นประเภท "มาเร็วเคลมเร็ว"
แม้อีกราวๆ ปีถัดมาหลังจากมีงานอัลบั้มรวมอย่างเป็นทางการที่ชื่อ Mild ในสังกัด Nano Records เมื่อพวกเขาปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ "ผู้ป่วยความจำเสื่อม" ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี ต่อด้วย "เข้าใจ แต่ทำไม่ได้" ก่อนจะมีอัลบั้มชุดที่สอง "Ma Show" ออกมา พร้อมกับเพลงคุ้นหูอย่าง "รักเราไม่เท่ากัน" รวมอยู่ด้วย ผมก็ยังคงมีความรู้สึกเหมือนเดิมคือไม่เท่าไหร่
แต่หลังจากที่ทิ้งช่วงไปราวๆ สองปี ก่อนที่พวกเขาจะทยอยปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ออกมาจนสุดท้ายจะกลายมาเป็นอัลบั้มล่าสุดของเขาที่มีชื่อว่า MASTER PEACE กับเพลงเพราะๆ ทั้ง กรรมตามสนอง, ดาว, love sick ฯ ในสังกัดบ้านใหม่ "สไปร์ซซี่ ดิสก์" ถึงตอนนี้ต้องบอกว่า ไม่Mindคงไม่ได้แล้ว
ไม่ใช่แค่เพียงความลงตัวที่นับวันจะมากขึ้นๆ เรื่อยๆ ของสมาชิกในวง ทั้ง เป้ บดินทร์ เจริญราษฎร์ (ร้องนำ), เต่า เจน มโนภินิเวศ (กีตาร์), ขุน พิทวัส ขุนทอง (เบส), ทอม ณธีพัฒน์ ประเสริฐมนูกิจ (คีย์บอร์ด), เป้ ไพสิฐ คำกลั่น (แซ็กโซโฟน) และ ไมค์ ธงไชย ทิมพูล (กลอง) เท่านั้น หากแต่อัลบั้มชุดนี้เห็นได้ชัดเลยครับว่าพวกเขาเติบโตและมีพัฒนาการขึ้นทั้งในเรื่องของงานดนตรีและเนื้อหาของบทเพลง
ไม่ใช่จะมาเอาแปลก-เอาเท่ห์-เอามัน-เอาสะใจเข้าว่าเพียงอย่างเดียวเหมือนกับเด็กวัยรุ่นอีกต่อไปแล้ว แต่มายด์วันนี้เป็นมายด์ที่มีรสชาติประมาณว่าไม่หนัก ไม่เบา ไม่มาก ไม่น้อย กลมกล่อม อบอุ่น ละมุน พอดีๆ เหมือนกับความหมายของชื่อวงนั่นแหละครับ
จากเด็กมัธยมที่มาพบเจอกันเพราะหัวใจที่รักเสียงเพลงเหมือนกันบนถนนคนเดินในค่ำคืนหนึ่งที่จ.เชียงใหม่ ก่อนจะมารวมตัวกันเล่นดนตรีเปิดหมวก เล่นร้านกลางคืน เข้าประกวดจนได้เป็นแชมป์ "พานาโซนิค สตาร์ ชาเลนจ์" ปี พ.ศ. 2546 ต้องผ่าฟันอุปสรรคปัญหามากมายทั้งเรื่องส่วนตัว การเรียน ครอบครัว ถูกโกง ถูกหลอก ฯ เกิดความท้อจนคิดจะเลิกทำตามความฝัน กระทั่งมีงานเพลงที่สร้างชื่อให้กับตนเองอย่างในวันนี้ ผมคิดว่าตลอดเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมามันได้เป็นเครื่องพิสูจน์และการันตีอะไรหลายๆ อย่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยไม่ต้องสาธยายอะไรมากมาย
ไม่กี่วันสมาชิกของวงมายด์ให้เกียรติแวะเวียนมาแนะนำอัลบั้มใหม่ถึงที่ออฟฟิศ หนุ่มเป้นักร้องนำบอกว่าย้อนเวลากลับไปทำอย่างไรพวกเขาก็คงจินตนาการนึกภาพไม่ออกอย่างแน่นอนถึงสิ่งที่มายด์กำลังเป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน แถมทั้งหมดยังถ่อมตนด้วยว่าจนถึงวันนี้พวกเขาก็ยังคงเป็นวงดนตรีทั่วๆ ไปอีกวงหนึ่งของบ้านเราเท่านั้นหาได้ดีเด่นดังมากมายอะไร
เท่าที่ได้สนทนาแม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเลยครับว่าทำไมวงดนตรีวงนี้ถึงได้มีแฟนเพลงจำนวนไม่น้อยให้การยอมรับ
ที่ผมชอบมากก็คือวิธีคิดในการทำงานที่มีการวางแผนที่ค่อนข้างชัดเจน มีรูปแบบเป็นขั้นเป็นตอน ที่สำคัญงานต้องออกมาเป๊ะ ชนิดที่บางเพลงอาจจะต้องรื้อทำใหม่ 3-4 รอบก็ต้องยอม ซึ่งตรงนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระยะเวลาในการออกอัลบั้มชุดนี้ค่อนข้างจะห่างจากชุดที่แล้วพอสมควร
ใครที่ไม่เคยติดตามงานของวงดนตรีวงนี้มาก่อน หรือติดตามแบบผ่านๆ ลองติดตามแบบไม่ผ่านกันดู ผมเชื่อว่าไม่น่าจะผิดหวัง หรือถ้าจะผิดหวังผมก็เชื่อว่าไม่น่าจะมากสักเท่าไหร่
ส่วนใครที่เป็นแฟนขาประจำอยู่แล้ว มีข่าวดีมาบอกครับว่าต้นปีหน้าเตรียมสนุกกับคอนเสิร์ตใหญ่ของพวกเขาได้
แต่ตอนนี้เก็บเงินนอนฟังเพลงอัลบั้มใหม่ MASTER PEACE กันไปพลางๆ ก่อน