“เวิร์คพอยท์” หน้าแตก “แม่ของสิทธัตถะ” ยืนยันว่าลูกชายผิดปกติทางจิต แต่ที่ตอนแรกบอกว่าปกติก็เพราะทีมงานเวิร์คพอยท์ มาขอร้องให้พูดแบบนี้ สุดโกรธคณะกรรมการเหยียดหยามศักดิ์ศรีลูกชาย เรียกร้องให้เปลี่ยนตัวคณะกรรมการใหม่
ปีที่แล้วเอาผู้หญิงมาใช้หน้าอกวาดรูปในรายการไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ซีซัน 3 จนดังระเบิดมาแล้ว ล่าสุดเวิร์คพอยท์ผู้ผลิตรายการดังกล่าว ก็นำเอา “สิทธัตถะ เอมเมอรัล” มาเข้าประกวด ผลก็คือถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะถูกคณะกรรมการในรายการพูดจาในลักษณะเหยียดหยาม จนหลายฝ่ายออกมาต่อต้านและเรียกร้องให้ยุบรายการนี้ไปซะ
ล่าสุดบริษัท เวิร์คพอยท์ เอนเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตรายการก็ทนไม่ไหวส่งจดหมายชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยืนยันว่าสิทธัตถะได้ผ่านการคัดเลือกเข้ารอบเหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป โดยระบุว่าคุณแม่ของสิทธัตถะก็ยืนยันว่าลูกไม่มีความผิดปกติทางจิต เพียงแต่เป็นคนพูดน้อยเท่านั้น สวนทางกับคำพูดของคุณแม่สิทธัตถะที่ยืนยันว่าลูกชายตนเองผิดปกติ แต่ยังไม่เคยพาไปพบจิตแพทย์เพราะลูกบ่ายเบี่ยง
ส่วนข้อสงสัยที่ว่ามีการเตี๊ยมกับทางรายการหรือไม่ คุณแม่บอกว่าไม่มี แต่เห็นว่าพฤติกรรมของคณะกรรมการทั้ง 3 คน ไม่เหมาะสมจะเป็นผู้ตัดสิน เพราะเหยียดหยามศักดิ์ศรีลูกชายเกินไป คณะกรรมการควรมีความอดทนมากกว่านี้ ไม่ใช่ยังไม่ทันร้องเพลงก็กดเครื่องหมายไม่ให้ผ่านแล้ว ตรงนี้เป็นสิ่งที่ทำให้แม่ของสิทธัตถะไม่พอใจ แต่ไม่กล้าต่อว่า และอยากจะเรียกร้องให้เปลี่ยนคณะกรรมการตัดสิน
เผยสิทธัตถะเป็นคนที่ชอบร้องเพลง และตนเป็นคนพาไปออดิชันในรายการเอง ตอนแรกก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมผ่านการคัดเลือก แต่ก็ไม่ได้สอบถามทีมงาน พร้อมทั้งเผยว่า เมื่อวานมีทีมงานผู้หญิงจากเวิร์คพ้อยท์มาที่บ้าน ก่อนจะพูดในทำนองขอร้องว่า อย่าไปเอาเรื่อง เห็นว่าพูดจาดีก็เลยยกโทษให้ เขาให้บอกยอมรับว่าลูกชายเป็นปกติก็เลยเออออตามเขาไป
นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งอ้างว่า เคยเป็นอาจารย์สอนสิทธัตถะสมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษา ได้กล่าวยืนยันว่า สิทธัตถะมีอาการผิดปกติทางจิตไม่ค่อยพูดคุยกับใคร ชอบไปซ่อนตัวในห้องน้ำ และแบกทรายใส่กระเป๋าไปโรงเรียน
“ความจริงบางประการที่เกี่ยวกับ สิทธัตถะ เอมเมอรัล ก่อนที่จะอ่านต่อไป ขอให้ผู้อ่านจินตนาการว่าถ้าเป็นตัวเองจะเป็นอย่างไร ตื่นเช้ามาเจอแม่พูดอยู่ตลอดเวลา บ่นทุกเรื่อง ไปโรงเรียนที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนที่ดีมากแห่งหนึ่งของประเทศไทย และด้วยความคิดนี้เอง ทำให้ผู้ปกครองทั้งที่มีฐานะบ้างแต่ไม่มากพอที่จะส่งลูกไปโรงเรียนระดับอินเตอร์ หรือไม่ค่อยมีฐานะ ใช้ความพยายามทุกวิถีทางให้ลูกเข้าเรียนที่นี่ให้ได้ จึงทำให้ในห้องเรียนมีนักเรียน 55-60 คน (บางห้องมีเกินกว่านี้)”
“เมื่อครูเข้าห้องสอนก็ต้องเจอหน้าถึง 55-60 หน้า ถ้า 1 วัน สอน 4 ห้อง ครูต้องเจอนักเรียน 220-240 คน ความสามารถในการจำหน้าคน จะมีกันสักแค่ไหน คนที่ห้อมล้อมเราแยะขนาดนี้ คนละพ่อคนละแม่ ยุ่งด้วยก็เรื่องมากอีก ฉะนั้น เราอย่าไปพูดกับพวกมันเลยดีกว่าไหม กินข้าวในโรงอาหารก็ไม่ได้ เดี๋ยวต้องเอ่ยปากพูด ส่วนเพื่อนๆ เมื่อเห็นว่ามีคนไม่ยอมพูดอะไรกลายเป็นตัวประหลาด และด้วยความเป็นเด็กที่ไม่เคยเห็นว่าบนโลกนี้มีอะไรที่ไม่เหมือนตัวเองตั้งอีกมากมาย ทำให้เพื่อนๆ คอยแหย่คอยแกล้งอยู่เป็นประจำ ขนาดไม่พูดด้วย พวกมันยังคอยแกล้งอีก”
“ฉะนั้น อย่าพูดเลยดีกว่า จากการที่ผู้เขียนได้มีโอกาสรู้จักกับเอมเมอรัล ในช่วง 3 ปีสุดท้ายที่เรียนมัธยม และการที่ได้คุยกับพ่อ ได้เคยแนะนำว่าลองพาทั้งแม่และเอมเมอรัลไปพบจิตแพทย์ แต่ก็ได้รับคำตอบว่าเคยจะพาไป แต่แม่ไม่ยอม เพราะไม่ยอมรับว่ามีอาการผิดปกติ แต่ก็ยังพูดไม่หยุดตลอดเวลา โดยไม่เข้าใจว่าลูกมีปัญหาที่ EQ แต่กลับเข้าใจว่า IQ ดี เพราะเรียนหนังสือได้ปกติ (แต่ก็ยังไม่ยอมพูด)”
“ช่วงก่อนจบ ม.6 พฤติกรรมเริ่มรุนแรงขึ้นทั้งๆ ที่ไม่ปรากฏเมื่ออยู่ ม.4-5 เช่น การไปซ่อนตัวในห้องน้ำ การเอาทรายใส่กระเป๋านักเรียนแล้วแบกไปโรงเรียน ทุกวันนี้ผู้เขียนก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม หลังจบ ม.6 ไม่มีเพื่อนคนไหนได้พบเห็น หรือได้ข่าวอะไรเลย ไม่มีใครรู้ว่าได้เรียนต่อที่ไหนหรือไม่ แต่ทุกคนต่างตกใจเมื่อเห็นมาออกรายการ TGT และได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นจากรายการนี้ ผู้เขียนเข้าใจว่าคนที่จะได้ขึ้นเวทีควรมีการ audition รอบแรกก่อน เพราะถ้ามีทุกคนก็จะได้เห็นพฤติกรรมที่แปลกประหลาด และความสามารถที่ไม่ผ่านแน่ๆ”
“ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็ปล่อยให้ขึ้นไปแสดงอะไรก็ได้เดี๋ยวนั้นเลย (โดยส่วนตัวผู้เขียนเลิกดูรายการนี้ตั้งแต่มีการใช้นมวาดรูปแล้วบอกว่ามันเป็นศิลปะ) รวมทั้งพฤติกรรมของกรรมการทั้ง 3 คน และอาการของผู้ประกาศทั้ง 2 คน ถ้ามีการพูดคุยตั้งแต่แรกก่อนขึ้นเวที ทุกคนก็จะรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น การปล่อยให้ขึ้นเวทีไปเลยนั้น เหมือนกับการปล่อยให้เกิดการฆาตกรรมบนเวที หรือเหมือนกับการปล่อยให้ หมา แมว ขึ้นไปแสดงอะไรที่มันน่ารักให้คนดู พอคนดูไม่พอใจก็โห่ไล่ซะ”
“โดยไม่ต้องคิดว่าเจ้าตัวจะคิดอย่างไร จะรู้สึกอย่างไร ไม่อยากขอร้องทางสถานี หรือบริษัทที่ทำรายการนี้ให้รับผิดชอบอะไร เพราะมันเป็นธุรกิจมันเป็นรายได้ ต้องพยายามทุกทางเพื่อให้เกิดรายได้แก่ตัวเองอยู่แล้ว แต่อยากร้องขอไปยังสถาบันต่างๆ ที่ผลิตบุคลากรทางสื่อสารมวลชน เป็นสาขาที่เด็กไทยนิยมมากในลำดับต้นๆ ขอให้ช่วยสอนเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย อย่าสอนให้เห็นแก่รายได้มากเกินไป จนเห็นคนเป็นเพียงสัตว์ที่จะให้ทำอะไรก็ได้”