พ.ศ. 2556 คงเป็นปีที่ “ณเดชน์ คูกิมิยะ” ต้องจำไปอีกนานอย่างแน่นอน หลังจากที่ถูกมรสุมทั้งน้อยใหญ่รุมกระหน่ำซ้ำเติมจนใครหลายคนถึงกับใช้คำว่าปีนี้เป็นช่วงขาลงของพ่อหมีแบร์รี่คนนี้แล้ว เพราะดวงความฮอตทำท่าจะมีปัญหาตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อนตั้งแต่ที่เกิดกรณีแฟนคลับทำพิษป่วนกองละครจน “ป้าแจ๋ว ยุทธนา ลอพันธ์ไพบูลย์” ในฐานะผู้กำกับละครต้องออกมาเผชิญหน้ากับแฟนคลับณเดชน์จนกลายเป็นข่าวครึกโครม
เข้าสู่ปี 2556 ยังไม่ทันไร ณเดชน์ก็มีปัญหากับบริษัทยูนิลีเวอร์อีก ซึ่งว่ากันว่าปัญหาทั้งหมดเกิดจากคุณแม่บุญธรรม “แก้ว สุดารัตน์ คูกิมิยะ” ที่เข้ามาเป็น “ผู้จัดการ” ตัวจริงจัดการไปเสียหมดทุกเรื่องจนยูนิลีเวอร์ไม่พอใจหนักถึงขั้นมีข่าวแว่วออกมาว่าสั่งถอดณเดชน์ออกจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์แชมพูเคลียร์ไปเรียบร้อยแล้ว ล่าสุดณเดชน์ยังเจอมรสุม “หนังแป้ก” เมื่อภาพยนตร์เรื่องคู่กรรมที่เขานำแสดงเป็นครั้งแรกในชีวิตส่อเค้าว่าจะทำยอดได้ไม่ถึงเป้า ทั้งกระแสนางเอกหน้าตาไม่สวยแถมเล่นแข็งเป็นสากกะเบือไปจนถึงรายละเอียดต่างๆ ที่ผู้กำกับคู่กรรมเวอร์ชันนี้ถ่ายทอดออกมา แถมยังเจอกระแสพี่มากฯฟีเวอร์ที่เดินหน้าโกยเงินเป็นว่าเล่น งานนี้ถึงณเดชน์จะทุ่มสุดตัวขนาดไหนแต่คำว่า “หนังแป้ก” ก็คงเป็นตราบาปให้กับเขาอย่างแน่นอน
ย้อนไปก่อนหน้านี้ณเดชน์เคยถูกทำนายทายทักทั้งจากพระครูอุเทน วัดท่าไม้ ซึ่งเป็นวัดที่ณเดชน์รวมถึงดาราในวงการบันเทิงหลายคนเลื่อมใสศรัทธาทักท้วงถึงเรื่องดวงชะตาว่าโดยพื้นดวงเป็นคนที่ดวงดี อนาคตไกล แต่มีโอกาสจะเสียเพราะผู้หญิงซึ่งสอดคล้องกับคำทำนายของ “หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม” ที่บอกเอาไว้ในทำนองเดียวกันว่า
“ ...ณเดชน์ ปีนี้ก็ยังรุ่งโรจน์มากๆ เป็นปีสุดท้าย เพราะดวง “ณเดชน์” พูดกันตรงๆ เป็นดวงที่พุ่งแรงไปเร็ว แต่ว่าระยะยาวจะไม่ยาวมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะดับนะ แต่ความฮอตจะอยู่ในปี 55 - 56 นี้เป็นปีสุดท้ายจากนั้นจะทรงตัว ดวงลักษณะนี้ไม่มีทุกข์ยาก มีทรัพย์สินสมบัติอยู่แล้ว เพียงแต่ให้ระวังจะเสียเรื่องผู้หญิง หรือเพราะผู้หญิง เพราะดวงนี้เป็นดวง นารีพิฆาต ดวงนี้จะเดือดร้อนเรื่องงานจากผู้หญิงเพศตรงข้ามโดยเฉพาะแฟน และ แม่ จึงต้องพยายามทำบุญกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรถวายสังฆทานในวันศุกร์บ่อยๆ”
ดูเหมือนว่ายังไม่ทันจะถึงกลางปี ดวงนารีพิฆาตของณเดชน์ก็ส่อแววว่าจะชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลังจากร่วมงานกับบริษัทยูนิลีเวอร์ในฐานะพรีเซ็นเตอร์ของแชมพูเคลียร์ไม่ทันไร ณเดชน์ก็ถูกบริษัทยูนิลีเวอร์ใส่ชื่อลงในแบล็กลิสต์กลายเป็นคนที่ไม่อยากร่วมงานด้วย ซึ่งเรื่องนี้แหล่งข่าววงในบอกว่ามีสาเหตุมาจากนารีใกล้ตัวที่ชื่อแม่แก้ว คุณแม่บุญธรรมที่เลี้ยงดูณเดชน์มาตั้งแต่เล็กนั่นเอง
เรื่องเกิดขึ้นในการเดินทางไปถ่ายแฟชั่นโฆษณาแชมพูเคลียร์กับนิตยสารลิปส์ที่ประเทศญี่ปุ่น งานนั้นเป็นการซื้อโฆษณาของยูนิลีเวอร์ที่ควักกระเป๋าจ่ายให้กับลิปส์ ซึ่งนิตยสารลิปส์มีหน้าที่ในการถ่ายแฟชั่นโฆษณาแชมพูเคลียร์ที่มีณเดชน์เป็นพรีเซ็นเตอร์แบบเนียนๆ ซึ่งเป็นงานถนัดของนิตยสารฉบับนี้อยู่แล้ว แต่ยังไม่ทันได้เดินทางไปไหนคุณแม่แก้วก็ออกลายดอกแรกด้วยการบอกทีมงานของลิปส์ว่าจะขอให้ช่างแต่งหน้าประจำตัวของณเดชน์ที่ชื่อ “ใหม่” ไปด้วย แม้ทางลิปส์จะยืนยันว่ามีช่างแต่งหน้า ทำผม และสไตล์ลิสต์ของตัวเองพร้อมอยู่แล้วแต่แม่แก้วก็ยืนกรานว่าต้องให้ใหม่ไปด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นแม่กับณเดชน์ก็จะไม่ไป เพียงเท่านั้นทีมงานทุกคนจึงจำต้องยอมให้คุณแม่แก้วพาช่างแต่งหน้าคู่กายไปด้วยอย่างเสียมิได้
เรื่องไม่จบเพียงแค่นั้นเมื่อในช่วงการถ่ายแฟชั่น ทางยูนิลีเวอร์บอกว่าหลังจากถ่ายแฟชั่นเสร็จจะถ่ายภาพนิ่งของณเดชน์เพื่อนำไปทำเป็นภาพการ์ตูนซึ่งเป็นข้อตกลงที่ยูนิลีเวอร์อ้างว่าได้ทำกับผู้จัดการของณเดชน์อย่าง “เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่แม่แก้วในฐานะแม่บุญธรรมที่ติดตามลูกชายไปทุกหนทุกแห่งกลับบอกว่ายังไม่เคยเห็นสัญญาข้อนี้ จึงสั่งห้ามไม่ให้มีการถ่ายภาพนิ่งณเดชน์เพื่อนำไปทำเป็นภาพการ์ตูนอย่างเด็ดขาดจนกว่าจะมีการเซ็นสัญญาเพิ่มค่าเหนื่อยจากเดิมที่รับเหนาะๆ 10 ล้านบาทโดยไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆ ไปแล้วงานนี้ยูนิลีเวอร์ถึงกับควันออกหูเพราะว่าที่ควักกระเป๋าจ่ายให้ณเดชน์ไปทั้งหมดที่ผ่านมาก็เยอะเอาการอยู่แล้ว แถมพวกเขายังบอกว่าพูดคุยเจรจาตกลงเรื่องนี้กับผู้จัดการ “เอ ศุภชัย” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไฉนพอมาถึงกลับถูกคุณแม่แก้วสั่งห้ามไม่ให้ถ่าย บอกได้คำเดียวว่างานนี้มีคนปกปิดหมกเม็ดเพราะตกลงเรื่องสัญญากันอย่างไม่โปร่งใส ซึ่งอาจจะเป็นฝ่ายเอที่งุบงิบทำสัญญากับยูนิลีเวอร์ฝ่ายเดียว หรือทางยูนิลีเวอร์เองที่ทำสัญญาไม่เคลียร์สมชื่อผลิตภัณฑ์ หรือทางนิตยสารลิปส์ที่รับงานไม่คุยรายละเอียดกับณเดชน์ให้ชัดเจน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็คงต้องออกมาพูดคุยพร้อมหลักฐานเป็นใบสัญญาให้เคลียร์กันไปเลย
เรื่องชุลมุนทั้งหมดทำให้ยูนิลีเวอร์กับแม่แก้วต่างฝ่ายก็ต่างไม่พอใจซึ่งกันและกัน ว่ากันว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ส่งดอกไม้ไปขอโทษแม่แก้วหลังจากที่เดินทางกลับมากรุงเทพฯแล้ว แต่แม่แก้วก็เบือนหน้าหนีแล้วบอกว่าไม่ขอรับดอกไม่ช่อนั้น แต่กลับไปโพสต์จิกกัดยูนิลีเวอร์ลงอินสตาแกรมของณเดชน์ที่เธอเป็นคนดูแลจัดการเองทั้งหมดตามประสา “ผู้จัดการตัวจริง”
นารีพิฆาตคนแรกทำให้ณเดชน์ถูกปลดจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์แชมพูเคลียร์กลายๆ เพราะแม้ว่าจะยังมีสัญญาอยู่แต่ยูนิลีเวอร์กลับดึง “บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์แชมพูเคลียร์เหมือนกัน โดยเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ท่ามกลางความงุนงงของคนทั่วไปเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เกิดกรณีดาราสุดฮอตสองคนมาเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าตัวเดียวกันในเวลาไล่เลี่ยกันแต่ได้รับการว่าจ้างต่างวาระกัน แม้ยูนิลีเวอร์จะให้เหตุผลว่าสินค้าที่ “บอย ปกรณ์” เป็นพรีเซ็นเตอร์คือ “เคลียร์ ไอซ์คูล เมนทอล” ส่วนสินค้าที่ณเดชน์เป็นพรีเซ็นเตอร์คือ “เคลียร์เมน” แต่การที่ยูนิลีเวอร์นำดาราในระดับซูเปอร์สตาร์ที่มีชื่อชั้นใกล้เคียงกัน มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน แถมยังออกโฆษณาตัวใหม่ที่สื่อให้เห็นว่าแชมพูเคลียร์มีดีที่ผลิตภัณฑ์ฉะนั้นพรีเซ็นเตอร์จะเป็นใครก็ได้เช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ข่าวลือที่ว่าณเดชน์คงถูกดองเค็มจากการเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าทุกตัวของยูนิลีเวอร์มีเค้าความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
นารีพิฆาตคนล่าสุดที่ดูเหมือนจะเกิดมาเพื่อดับณเดชน์ก็คือ “ริชชี่ อรเณศ ดีคาบาเลส” สาวนักกีฬาแบตมินตันดีกรีเหรียญทองแบตมินตันเยาวชนปี พ.ศ. 2554 ที่ “เอ ศุภชัย” ดันสุดตัวให้มาประกบณเดชน์ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์คู่กรรมที่ทั้งณเดชน์และริชชี่แสดงเป็นเรื่องแรก แต่งานนี้แรงดันของเอรวมถึงบารมีของณเดชน์ดูท่าจะไม่ออกฤทธิ์ เมื่อใครต่อใครที่ได้ไปชมต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าริชชี่แสดงเหมือนท่อนไม้โบกปูนคือแข็งเสียยิ่งกว่าแข็ง สอดรับกับกระแสแอนตี้ที่บอกว่าริชชี่หน้าตาไม่สวยไม่มีเสน่ห์พอที่จะมาเป็นอังศุมาลินปี พ.ศ. 2556 ได้ซึ่งเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่ภาพยนตร์เรื่องคู่กรรมจะเข้าฉายเสียอีก
จากที่เคยหวังไว้ว่าคู่กรรมเวอร์ชันนี้จะเข้าสู่ร้อยล้านได้ไม่ยาก กลายเป็นว่าต้องลุ้นกันจนหืดขึ้นคอ เพราะเข้าฉายในช่วงที่มีกระแส “พี่มาก พระโขนง” ซึ่งแรงดีไม่มีตกด้วย เมื่อเจอกระแสอังศุมาลินแข็งโป๊กเข้าไปอีกแบบนี้ ถึงแม้จะมีเสียงชื่นชมว่าฝ่ายณเดชน์แสดงดีจนมีลุ้นตุ๊กตาทองแต่ภาพรวมของหนังก็เหลวเละไม่เป็นท่าเข้าฉายมาสัปดาห์กว่าๆ รายรับรวมไม่ถึง 30 ล้านบาท ต่างจาก “พี่มาก พระโขนง” ที่เข้าฉายเพียงหนึ่งสัปดาห์ก็ทำรายรับเกินสองร้อยล้านบาทไปแล้ว แม้บรรดาแฟนคลับแบร์รี่จะพร้อมใจกันซื้อตั๋วเข้าไปชมคนละไม่ต่ำกว่า 3 -4 รอบแต่จนแล้วจนรอดคู่กรรมเวอร์ชันณเดชน์ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า
ทั้งหมดนี้คือข้อสรุปที่ว่าปี พ.ศ. 2556 ไม่ใช่ปีทองของณเดชน์เหมือนที่ผ่านมา หลายคนบอกว่าชีวิตคนเป็นเรื่องปกติมีขึ้นย่อมมีลง สวนทางกับบรรดา “แบร์รี่แฟนคลับ”ที่ยังหลับหูหลับตาเถียงว่าณเดชน์ของพวกเขายังฮอตไม่หยุดฉุดไม่อยู่ เมื่อกราฟชีวิตของณเดชน์เดินมาถึงจุดที่ดวงนารีพิฆาตส่อเค้าว่าจะทำพิษแบบนี้ ก็ขึ้นอยู่กับณเดชน์แล้วล่ะว่าอนาคตของเขาจะเป็นไปตามคำทำนายของหมอดูชื่อดังกับพระอาจารย์จากวัดท่าไม้หรือเปล่า
..............................................................
ที่มา นิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 184 วันที่ 13-19 เมษายน 2556