xs
xsm
sm
md
lg

แก่ ใจถึง สปอร์ต MI6 : Skyfall

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


Facebook : teelao1979@hotmail.com

ในขณะที่รู้สึกว่า ข้าวของเครื่องใช้หรือเครื่องไม้เครื่องมือของเจมส์ บอนด์ ในภาคนี้ อาจจะ “ไม่ช็อต” สำหรับคนที่หวังจะเห็นแก็ตเจ็ทเท่ๆ เจ๋งๆ ของสายลับ ความน่าสนใจประการแรกที่น่าพูดถึงสำหรับหนัง 007 อันเป็นภาคฉลองครบรอบ 50 ปี ก็คือ การเลือกผู้กำกับอย่าง “แซม เมนเดส” มาทำหน้าที่ไดเร็กเตอร์

แซม เมนเดส นั้น โด่งดังมากที่สุดจากหนังรางวัลออสการ์เรื่อง American Beauty ที่โดดเด่นในทางของหนังซีเรียสดราม่า แน่นอนว่า ถึงแม้หลังจากนั้น แซม เมนเดส จะได้ทำหนังอย่าง Road to Perdition ซึ่งมีความเป็นแอ็กชั่นผสมอยู่ แต่ทว่าก็เป็นแอ็กชั่นในแบบไม่โฉ่งฉ่าง (แถมใช้บรรยากาศแบบหนังนัวร์) สิ่งที่เด่นชัดก็ยังคงเป็นความดราม่ามากกว่าจะแอ็กชั่นต่อสู้กันสะบั้นหั่นแหลก

ดังนั้น จึงไม่แปลก หากคนดูที่เป็นคอหนังบู๊หรือหลงรักเจมส์ บอนด์ ในแบบที่ต้องแอ็กชั่นกันเยอะๆ เหมือนภาคที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตั้งแต่แดเนียล เคร็ก มารับบทเจมส์ บอนด์ (Casino Royale และ Quantum of Solace) จะรู้สึกว่า ภาคนี้บู๊กันไม่เยอะเท่าไรนัก เพราะความแอ็กชั่นไม่ใช่สาระหลักของหนังภาคนี้เท่ากับความจริงจังในเชิงเนื้อหาเรื่องราว และการเลือกแซม เมนเดส มากำกับ ก็น่าจะส่งสัญญาณล่วงหน้าได้ระดับหนึ่งว่า เจมส์ บอนด์ ภาค Skyfall อาจจะต้องพึ่งพาทักษะฝีมือด้านดราม่าในสัดส่วนที่สูงพอสมควร

และผลลัพธ์ที่ออกมา ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ...

แดเนียล เคร็ก ผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าหน้าตาและบุคลิก “คลิก” กับตัวตนของเจมส์ บอนด์ ฉบับนิยายมากที่สุด กลับมาสวมบทสายลับแห่ง MI6 อีกเป็นครั้งที่ 3 หลังจากมีการเปิดโปงข้อมูลเกี่ยวกับสายลับของเอ็มไอซิก เจ้าของรหัสลับ 007 จึงต้องออกตามล่าหาผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ แต่สิ่งที่เขาพบ กลับทำให้เขาย้อนกลับมาตั้งคำถามเรื่องความภักดีที่เขาควรมีต่อ “เอ็ม” และองค์กรสายลับที่เขาสังกัดอยู่ ว่ามันคุ้มค่ากันหรือไม่กับ “ราคาที่ต้องจ่าย” ในการเป็นสายลับ

กับวันเวลาที่ผ่านมาถึง 50 ปี Skyfall ดูเหมือนจะตอบโจทย์ในแง่นี้ได้อย่างเหมาะสมกับการเป็นสายลับมาเนิ่นนานของ 007 เพราะมันพูดถึงการหันกลับมาทบทวนตัวเอง และไม่ใช่แค่ตัวของเจมส์ บอนด์ เท่านั้นที่ต้องย้อนไปคำนึงถึงเส้นทางที่ผ่านพ้น หากแต่อีกหนึ่งคนสำคัญอย่าง “เอ็ม” (จูดี้ เดนช์) ก็ถูกลากพาให้กลับมาสู่จุดนี้ด้วย

สำหรับแฟนคลับตัวจริงของสายลับชุดเจมส์ บอนด์ อาจจะสนุกกับการเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งหนังใส่เข้ามาเป็นกิมมิกแล้วทำให้คิดถึงภาพเก่าๆ ในความทรงจำ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์แอสตันมาร์ติน รุ่น DB5, มิสมันนี่เพนนี่, หรือแม้กระทั่ง Q และเอ็ม ไปจนถึงสัญลักษณ์ตัวอักษร “AB” บนปืนยาว และที่สำคัญมากๆ ก็คือหนังทำให้คิดย้อนกลับไปว่าเพราะอะไร เจมส์ บอนด์ ถึงเป็นแบบที่เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการเป็นเพลย์บอยและไม่คิดจะมีใจให้ใครอย่างจริงจังอีกเลย แผลใจเก่าๆ ถูกเปิดออกมาผ่านคำตอบในบททดสอบ ทำให้เราเข้าใจภาพและตัวตนของบอนด์ได้ดียิ่งขึ้น และทั้งหมดนี้คงทำให้แฟนพันธุ์แท้เจมส์ บอนด์ อิ่มเอมในอารมณ์ที่อวลกลิ่นแห่งความหลังตามสมควร

อย่างไรก็ดี ขณะที่แฟนคลับอาจสนุกกับ “ภาพเก่าในความจำ” แต่สำหรับเอ็มและเจมส์ บอนด์ แล้วคงไม่ใช่ เพราะในวัยที่แก่ตัวอย่างเห็นได้ชัด สำหรับเอ็ม ภาพเก่าๆ ที่กลับมาปรากฏตัว ไม่ใช่ภาพหวานในวันเก่าๆ หากแต่คือบาปเก่าในวันก่อนที่ย้อนกลับมาหลอกหลอน ส่วนเจมส์ บอนด์ ก็ดูเหมือนจะถูกต้อนเข้าสู่มุมอับแห่งการเป็นสายลับ แน่นอน การที่หนังใส่ตัวละครอย่าง “ซิลวา” (ฮาเวียร์ บาร์เด็ม) เข้ามานั้น ถือเป็นการ “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” อย่างชาญฉลาด เพราะมันกระทบชิ่งทั้ง “ตัวแม่” และ “ตัวพ่อ” แห่งเอ็มไอซิก ด้านหนึ่งคือบททดสอบความเชื่อมั่นและไว้วางใจใน “เอ็ม” ของเจมส์ บอนด์ ส่วนอีกด้านหนึ่ง ตอกตีเข้าไปยังจุดที่อ่อนไหวภายในจิตใจของหัวหน้างานอย่างเอ็ม

แน่นอนว่า สัมผัสแรกๆ ที่คนดูจะรู้สึกได้จากหนังบอนด์ภาคนี้ นอกจากภาพลักษณ์ที่ผิดแผกแตกต่างออกไปจากเจมส์ บอนด์ ในแบบคุ้นเคย จากการเป็นสายลับอังกฤษ หล่อเหลาราวเทพบุตร เป็นเสือผู้หญิง มีรสนิยมด้านการดื่ม และมาพร้อมอุปกรณ์ไฮเทคหรูหรา ก็เปลี่ยนเป็นหนุ่มถึกบึกบึน เข้ม ดูดิบเถื่อน ไม่ค่อยไฮเทค (และประหลาดใจแกมตื่นเต้นมากเมื่อเห็นศักยภาพของปืนที่ Q ผลิตให้) แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือมีความเป็นมนุษย์ที่จับต้องได้ ว่าอันที่จริงก็เริ่มเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ภาค Casino Royale แล้ว ที่เจมส์ บอนด์ ถูกลดทอนภาพแห่งความเป็น “คนเหนือคน” ให้เป็นมนุษย์ที่รู้จักเจ็บปวดและผิดพลาดได้ ฉากที่เขาโดนจับมัดแล้วทุบอวัยวะส่วนสงวนด้วยลูกตุ้มเหล็กในภาค Casino Royale นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับฉากแบ็ทแมนโดนหมาไล่ฟัดใน The Dark Night ภาพฮีโร่ซึ่งเป็นมนุษย์ที่ “แพ้ได้” และ “ตายเป็น” ปรากฏให้เห็นชัดเจนตั้งแต่นั้น จะว่าไปก็คล้ายการ “รี-บอนดิ้ง” แบบหนึ่ง เหมือนการ “รี-แบรนดิ้ง” ในทางการตลาด

คล้ายๆ กับเจมส์ บอนด์ ที่เริ่มถึงวัยต้องเปลี่ยนแปลง โลกก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ถ้อยคำของเอ็มที่พูดกับสายลับ 007 ว่า โลกปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้ว เราไม่รู้อีกต่อไปว่าใครคือศัตรู เป็นความชัดเจนที่มองผ่านสายตาผู้บัญชาการสายลับที่อยู่กับงานนี้มาเนิ่นนาน ว่ากันที่กำเนิดของเจมส์ บอนด์ นั้นก่อร่างสร้างตัวมาในยุคสงครามเย็น ศัตรูส่วนมากก็เป็นผู้ร้ายในโลกคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อโลกเปลี่ยนผัน หน้าตาของศัตรูก็เปลี่ยนไป จำได้ว่า ในภาค Casino Royale 007 เคยปะทะกับผู้ร้ายซึ่งเป็นมุสลิมในแอฟริกาเหนือ นั่นก็คือผลพวงของสถานการณ์โลกร่วมสมัยที่ผู้ร้ายในสายตาตะวันตกที่เปลี่ยนไป แต่พอมาถึง Skyfall ผู้ร้ายก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาอีกขั้นด้วยปฏิบัติการผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ (เปิดแฉข้อมูล)

ดังนั้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันคงไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ หากแต่ถูกเซ็ตความคิดมาอย่างเป็นระบบ เพราะในขณะที่เล่นกับกิมมิกหลายๆ อย่างซึ่งกระตุ้นเตือนความทรงจำของแฟนคลับ เจมส์ บอนด์ ภาคนี้ก็กำลังกำหนดทิศทางใหม่ที่หนังแฟรนไชส์สายลับตระกูล 007 กำลังเดินทางไปด้วย เจมส์ บอนด์ ในภายภาคหน้า คือเจมส์ บอนด์ ที่ต้องปรับตัวเข้าหายุคสมัย การปรากฎตัวขึ้นมาของหนุ่ม Q กับอุปกรณ์ล้ำๆ (ที่แม้ภาคนี้จะยังโชว์ของเล็กน้อย แต่ภาคต่อๆ ไป เชื่อแน่ว่าอาวุธหรือเครื่องมือของเขาน่าจะล้ำกว่านี้แน่นอน ตามวิถีของเด็กสมัยใหม่และไฮเทค) เหมือนจะเป็นอีกหนึ่งสัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลงไปของโลกที่ก้าวสู่ยุคใหม่อันล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยี เช่นเดียวกับการ “ผลัดใบ” ที่เกิดกับหัวหน้างานอย่างเอ็ม ก็อาจบอกกล่าวถึงทิศทางข้างหน้าของสายลับตระกูลนี้ได้ด้วยเช่นกัน มันอาจจะถึงวันที่สายลับต้องใช้ “กึ๋น” หรือ “สมอง” มากกว่า “ใช้แรง” เหมือนที่ผ่านๆ มา กระนั้นก็ดี ก็จะยังมีแอ็กชั่นอยู่ เพื่อรักษาภาพความเป็นหนังบู๊เอาใจคนดูในวงกว้าง

ความเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นสัจธรรม...จากศัตรูผู้ร้ายที่เคยแบ่งข้างได้อย่างไม่ยากเย็น เหมือนภาพขาวกับดำที่แยกแยะได้ไม่ยาก กลับกลายเป็นศัตรูที่ต้องดูกันให้ละเอียด มันคือยุคสมัยแห่งความอลหม่านซึ่งยากจะตัดสินได้ว่าใครดีใครเลว เหมือนคำพูดของเอ็มที่บอกว่าเราไม่รู้ว่าศัตรูคือใคร ดังนั้น อารมณ์ของการดูหนังเจมส์ บอนด์ ภาคนี้ จะว่าไปก็ใกล้เคียงกับอารมณ์ตอนดูหนังฮีโร่สมัยใหม่ที่นอกจากจะมีด้านมืดหรือความดาร์กความหม่นเป็นองค์ประกอบ ตัวร้ายของเรื่องอย่างซิลวา ยังชวนให้นึกถึงเจ้าวายร้ายในหนังฮีโร่หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแบ็ทแมนของคริสโตเฟอร์ โนแลน หรือกระทั่ง Watchmen ของแซ็ค ซไนเดอร์ ที่ตัวร้ายมักไม่ใช่พวกที่ชั่วสุดขีดหรือร้ายอย่างไร้เหตุผล หากแต่มี “ที่มาที่ไป” อธิบายความร้ายนั้นด้วย

แน่นอน ฮาเวียร์ บาร์เด็ม กับบทซิลวา คืออีกหนึ่งตัวร้ายที่น่าจดจำ ฉากเปิดตัวของเขาดูอลังการจนแม้แต่เจมส์ บอนด์ ยังอดกระแนะกระแหนไม่ได้ว่าการเปิดตัวของวายร้ายผู้นี้ต้องหรูหราเสมอ (หนังมอบเวลาให้กับฉากเปิดตัวของเขาอย่างเต็มที่ ตั้งแต่เดินมาจากประตูจนมาถึงเก้าอี้ที่เจมส์ บอนด์ นั่งอยู่) และถ้อยคำที่หญิงสาวอย่าง “เซเวอรีน” กล่าวขานถึงเขาตอนที่ขู่เจมส์ บอนด์ ว่า “คุณยังไม่รู้จักความกลัวดีพอ” นั้นดูจะไม่เกินเลยความจริงแต่อย่างใด ความน่ากลัวของเขา คล้ายๆ กับความน่ากลัวของ “เบน” หรือ “โจ๊กเกอร์” ในหนังแบ็ทแมนที่ไม่ได้มุ่งหมายจะมาฟาดฟันคุณให้ตายเท่ากับ “ยั่วล้อ” สำนึกเบื้องลึกของคุณให้สั่นคลอน

เท่าๆ กับที่แฟนคลับซึ่งรัก “เอ็ม” อยู่แล้ว จะยิ่งรักมากยิ่งขึ้น การทำงานเพื่อส่วนรวมของเธอ อาจจะต้องละวางความรู้สึกอ่อนไหวจนดูเหมือนสิ้นไร้ความเป็นมนุษย์ คือจุดที่สะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดที่ชี้วัดความเป็นมืออาชีพของผู้หญิงคนนี้ ในภารกิจ มันอาจจะต้องมีความเจ็บปวดเกิดขึ้นกับใครบางคน แต่เพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป เช่นเดียวกับเจมส์ บอนด์ ที่ต้องเผชิญคำถามความท้าทายเกี่ยวกับคุณค่าของการเป็นสายลับ เขาจะยังคงรักษาความแข็งแกร่งแห่งการเป็นผู้อุทิศตัวเองเพื่อองค์กรต่อไปได้โดยไม่หวั่นไหวต่อบาดแผลความเจ็บปวดที่อาจจะเกิดขึ้นกับตนเองเหมือนที่เกิดขึ้นกับคนอื่นให้เห็นเป็นตัวอย่างหรือไม่

ในเชิงลึก ผมรู้สึกว่า แซม เมนเดส นั้นดูจะสนุกในการ “เล่น” กับตัวตนของบอนด์มากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะส่งตัวร้ายเข้ามาปั่นป่วนจิตสำนึกของสายลับขาลุยแล้ว ในระดับที่ใหญ่กว่านั้น หนังยังพยายามทำให้เราคนดูรู้สึกว่า สมรรถนะของบอนด์นั้นหย่อนลงไปเยอะแล้ว เพราะวันวัยที่เริ่มล่วงเลยเข้าสู่วัยกลางคน และนั่นก็อาจเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งซึ่งน่าจะส่งผลให้ไม่มากก็น้อย ทำให้เจมส์ บอนด์ ในภาคนี้ บู๊ไม่ออกเท่าไรนัก เหมือนอย่างที่หลายคนบอกว่า บทบู๊ไม่มาก หากแต่ถูกแทนที่ด้วยการเล่นกับตัวตนด้านในของตัวละครแทน

กล่าวในภาพรวม ผมคิดว่า หนังทำให้เราเข้าใจทั้งเอ็มและเจมส์ บอนด์ มากยิ่งขึ้น การย้อนกลับสู่อดีตทำให้เราเห็นภาพเกี่ยวกับตัวละครสองตัวนี้ในมุมที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เจมส์ บอนด์ กับบ้านหลังเก่าเมื่อเยาว์วัย และบาปเวรแห่งวันวานที่เคยทำไว้ของเอ็ม อดีตเหล่านี้ย้อนกลับมากระทบไหล่ทั้งสองคน มันคือความผิดพลาดและบาดแผลแต่หนหลังที่ตามมาหลอกหลอนปัจจุบันพร้อมกับป่วนปั่นทิศทางข้างหน้าว่าจะก้าวต่อไปอย่างไรในอนาคต ดูจบแล้ว ผมนึกถึงถ้อยคำของอาจารย์ที่ผมเคารพรักมากที่สุดท่านหนึ่ง คือ อ.สุวินัย ภรณวลัย สิ่งหนึ่งซึ่งอาจารย์สุวินัยมักจะกล่าวถึงอยู่เสมอก็คือเรื่อง “บาดแผลของจอมยุทธ์”

ในชีวิต คนคนหนึ่งมักจะต้องมีความผิดพลาดอันก่อเกิดเป็นบาดแผลทางใจอย่างน้อยก็หนึ่งครั้ง แน่นอนว่า ไม่ว่าจะเป็นเจมส์ บอนด์ หรือกระทั่งหัวหน้างานอย่างเอ็ม ต่างก็กำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่าบาดแผลของจอมยุทธ์ดุจเดียวกัน และกับบาดแผลนี้ พวกเขาจะก้าวผ่านมันไปได้หรือไม่อย่างไร คือสิ่งที่ตัวร้ายอย่างซิลวากำลังจับจ้องมอง

สุดท้าย จากที่เห็นว่า Skyfall เป็นหนังที่ดูสนุก บทพูดฉลาดคมคาย ไม่มีอะไรเสียหาย แม้บทบู๊จะไม่ถึงใจหลายๆ คน ผมมานั่งคิดเล่นๆ ว่า Skyfall นั้นน่าจะหมายถึงอะไร แน่นอน แปลแบบกำปั้นทุบดิน ก็คือฟ้าถล่ม แต่แปลเช่นนี้กลับให้ความหมายอย่างน่าประหลาด คำว่า “ฟ้าถล่ม” ชวนให้นึกถึงการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ และในหนังภาคนี้ เราก็จะได้เห็นการสูญเสียหลายรูปแบบ

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ผมอยากจะมองว่ามันสามารถอุปมากับ Skyfall ได้อย่างแท้จริง ก็คงหนีไม่พ้นตัวตนของเจมส์ บอนด์ เอง ขณะที่หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต “พังทลาย” เขาจะปล่อยให้ตัวตนและอุดมคติของตัวเอง “ล่มสลาย” ตามไปด้วยหรือไม่ และถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนั้น มันย่อมหมายถึง Skyfall อย่างแท้จริง และคงจะเป็น Skyfall ที่ยากจะหาความเจ็บปวดอื่นใดมาจับเปรียบเทียบเคียงได้

บทเพลง “สกายฟอลล์” ซึ่งขับร้องโดยอะเดลนั้น สะท้อนแก่นสารด้านเนื้อหาออกมาอย่างตรงจุด “ฟ้าถล่ม” ในแบบของอะเดล มันเหมือนช่วงเวลาอันเป็นจุดสิ้นสุดของโลกแห่งสายลับ ไม่ว่าจะเป็นเอ็มหรือบอนด์ มีส่วนที่คล้ายกันในแง่ที่กำลังจะเป็น “วัตถุโบราณ” ซึ่งถูกลืมเลือนไว้ข้างหลัง ตอนที่เอ็มถูกเรียกไปไต่สวน ถ้อยคำที่ทิ่มแทงจิตใจของเธอมากที่สุดก็คือคำถามที่ว่า การส่งสายลับออกไปล่าตัวร้ายแบบเดิมๆ อย่างที่เคยทำมานั้น มันหมดยุคหมดสมัยไปแล้วหรือเปล่า เธอเองก็ไม่ต่างไปจากสายลับรหัส 007 ที่ถึงกาลโรยราและดูเหมือนจะเริ่มหมดค่าความสำคัญ

กระนั้นก็ตาม เชื่อแน่ว่า หลังจากอะไรๆ ผ่านพ้นไปแล้ว ทุกคนก็คงได้ประจักษ์ต่อสายตาว่า ถึงแม้พวกเขาจะเป็น “หมาแก่” แต่ก็เป็น “หมาแก่” ที่ยัง “อันตราย” และทำประโยชน์อะไรได้บ้างให้แก่ชาติบ้านเมือง...

..............
หญิง : แก่ ใจถึง สปอร์ต MI6
ชาย : แล้วไง?
หญิง : มีอะไรให้ช่วย ก็บอกได้
หญิง : ส่วนมาก เป็นค่ามาตินี่ แก็ตเจ็ต และค่าหญิง
หญิง : เงียบ สงสัยไม่ช็อต

..............





กำลังโหลดความคิดเห็น