xs
xsm
sm
md
lg

เจมส์ บอนด์ Skyfall : ชอบนะแต่ผิดหวังมากกว่า/ไก่ อำนาจ

เผยแพร่:   โดย: อำนาจ เกิดเทพ


"มันมาก ไปดูได้เลยพี่..."

เป็นคำตอบบอกเล่าจากคุณอภินันท์ บุญเรืองพะเนา คอลัมนิสต์หนุ่มคารมดีเกี่ยวกับภาพยนตร์ประจำเซคชั่น Super บันเทิง ในเว็บไซต์เมเนเจอร์ ออนไลน์ ที่การันตีถึง "Skyfall : พลิกรหัสพิฆาตพยัคฆ์ร้าย" ภาคล่าสุดของภาพยนตร์ชุด "เจมส์บอนด์ 007" จนทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องตีตั๋วเข้าไปดูหนังเรื่องนี้เมื่อวันเสาร์ ( 3 พ.ย.) ที่ผ่านมา

ไม่ได้ใช้บริการโรงหนังมานานเกือบจะ 2 ปี ก็เลยเพิ่งจะรู้ครับว่าเดี๋ยวนี้ราคาตั๋วหนังเรื่องหนึ่งทะยานขึ้นไปถึง 210 บาท! เข้าให้แล้ว (เมเจอร์ฯ เซ็นทรัลปิ่นเกล้า)

Skyfall ในชื่อไทย "พลิกรหัสพิฆาตพยัคฆ์ร้าย" ยังคงใช้บริการของ "แดเนี่ยล เคร็ก" ในการรับบท 007 อันเป็นภาคที่ 3 ของเขานับจาก Casino Royale (พยัคฆ์ร้ายเดิมพันระห่ำโลก) และ Quantum of Solace (พยัคฆ์ร้ายทวงแค้นระห่ำโลก) ซึ่งนอกจากคำบอกเล่าจากคุณอภินันท์แล้วก็คงจะเป็นเพราะชื่อของพระเอกคนนี้แหละครับที่ทำให้ผมมีความกระตือรือร้นที่จะดูพร้อมด้วยความคาดหวังบางอย่างในระดับหนึ่ง

ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนนะครับว่าผมเองไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ของหนังตระกูลเจมส์บอนด์ และเป็นคนที่ชอบหนังแนวแอ็กชั่น

หนังเปิดตัวได้ค่อนข้างจะตื่นเต้นเร้าใจมากๆ กับฉากการไล่ล่าระหว่างพระเอกของเรากับสายลับที่มาจารกรรมข้อมูลสำคัญของหน่วย MI 6 ไป ก่อนที่ฉากแรกจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของ 007 ชนิดที่เรียกได้ว่าเกือบเอาชีวิตไม่รอด

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับที่พระเอกของเรานั้นรู้สึกว่าความผิดพลาดที่ว่านี้เกิดขึ้นจากการผู้บังคับบัญชาของเขาอย่าง "เอ็ม" (จูดี เดนช์) นั่นเอง

แม้จะรู้สึกผิดหวังกับความไม่เชื่อใจของตัวผู้บังคับบัญชาที่มีต่อตัวเอง ทว่าสายลับคนเก่งก็กลับมาทำงานให้ MI 6 อีกครั้งกับภารกิจในการควานหาตัวคนที่อยู่เบื้องหลังการขโมยข้อมูลดังกล่าวซึ่งต้องบอกว่ามีความสำคัญมากๆ เพราะมันเป็นรายชื่อและโฉมหน้าของสายลับของ MI 6 ทุกคนที่ถูกส่งไปเพื่อแฝงตัวในการปฏิบัติภารกิจลับ ณ ประเทศต่างๆ ทั่วโลกนั่นเอง

ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องยังยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกเมื่อพระเอกของเราพบว่าศัตรูตัวฉกาจหาใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นอดีตสายลับ 007 ฝีมือดีคนหนึ่งที่หวนกลับมาเพราะต้องการจะแก้แค้น เอ็ม กับหน่วย MI 6 นั่นเอง

ย้อนกลับไปในอดีต ผู้กำกับ "มาร์ติน แคมป์เบลล์" เคยลบภาพเก่าๆ ของหนังสายลับชุดนี้จากพระเอกมาดสุดเนี้ยบ ทั้งการแต่งตัว รถที่ขับ เครื่องมือ-อุปกรณ์ใฮเทคที่ใช้ให้มีความสมจริงสมจังรวมถึงมีฉากแอ็กชั่นการต่อสู้ที่หวือหวามากขึ้นมาแล้วถึง 2 ครั้ง 2 คราด้วยกัน

ไล่ไปตั้งแต่ "GoldenEye" (พยัคฆ์ร้าย 007 รหัสลับทลายโลก) ที่มี "เพียร์ซ บรอสแนน" มาเล่นเป็น 007 ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนแปลงโฉมสายลับคนนี้ไปอย่างสิ้นเชิงหลังดึงเอา แดเนี่ยล เคร็ก มารับบทนำใน Casino Royale ซึ่งแม้ในระยะแรกๆ เขาคนนี้จะถูกวิจารณ์ว่ามีรูปร่าง หน้าตาและมาดที่ไม่เหมาะเอาเสียเลยในการจะมาสวมบทเป็นสายลับเจ้าสเน่ห์ สุขุม ลุ่มลึก ฉลาด แต่แฝงไว้ด้วยความกรุ้มกริ่มและเจ้าชู้ ทว่าเมื่อหนังออกฉายทุกอย่างก็ตรงกันข้าม

กลายเป็นว่า เจมส์บอนด์ โดย แดเนี่ยล เคร็ก ในมุมมองของ มาร์ติน แคมป์เบลล์ ที่ทำให้สายลับคนนี้มีเลือดมีเนื้อและมีชีวิตจิตใจดูสมจริงสมจังกับการเป็น "คน" มากขึ้นกว่าตัวละครสมมติที่ เอียน เฟลมมิง สร้างขึ้นในนวนิยายของเขาดูจะเป็นที่ถูกใจและสะใจคนดูหนังเป็นอย่างมาก กระทั่งหลายคนยกให้ Casino Royale และตัว แดเนี่ยล เคร็ก ว่าเป็นหนังเจมส์ บอนด์ และเป็น 007 ที่มันและสนุกเท่าที่เคยมีการสร้างกันมาเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม เจมส์ บอนด์โฉมใหม่ที่มีที่มาจาก มาร์ติน แคมป์เบลล์ ก่อนจะได้ "มาร์ค ฟอร์สเตอร์" มาสานต่ออีก 1 ภาค ใน Quantum of Solace ดูเหมือนจะยังไม่เป็นที่ถูกใจ "แซม เมนเดส" สักเท่าไหร่ เขาจึงจัดแจงฉลองการครบรอบ 50 ปี ของหนังชุดสายลับ 007 ด้วยการตั้งประเด็นถึงหนังตระกูลนี้ผ่าน Skyfall ที่เขากำกับแบบจัดเต็ม!

เอากันตั้งแต่การผูกเรื่องให้ปะทะกันของพระเอกกับตัวผู้ร้ายอดีตสายลับของ MI 6 ที่ชื่อ "ราอูล ซิลวา" ( คาเบียร์ บาร์เดน) ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการจงใจเปรียบเทียบให้เห็นถึงอารมณ์หนัง 007 ระหว่างของเก่ากับในอดีตอย่างชัดเจน เพราะในขณะที่ 007 (โฉมใหม่) ตัวพระเอกเปิดฉากด้วยการไล่ล่าอย่างจริงจังในสภาพแวดล้อมบ้านๆ ของฉากที่เป็นบ้านเรือนในตุรกี, มีอารมณ์ความเป็นคนมากขึ้น มีทั้งความรู้สึกผิดหวังท้อแท้กับชีวิต, เคลือบแคลงสงสัยในงานที่ตนเองทำ, ฟันสาวที่ไม่จำเป็นจะต้องมีสถานะเป็นผู้หญิงของเจมส์ บอนด์หรือว่ามีบทสำคัญในหนัง, ติดเหล้า ร่างกายหมดสภาพ ฯ ปรากฏว่าการโยงไปหาตัวร้ายซึ่งก็คือ 007 ในอดีตนั้นกลับดูไปในแนวแฟนตาซี ตั้งแต่โลเกชั่นตกแต่งทั้งแสงไฟบนตึก-บ่อนกลางน้ำในจีน, การเปิดตัวในฐานะเจ้าของเกาะ(ร้าง)เกาะหนึ่ง แต่กลับมีเทคโนโลยีและซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่สามารถควบคุมได้ทั้งดาวเทียม, ตลาดหุ้น, แก๊ส, ไฟฟ้า, ประปา ฯ

ยังมีฉากสำคัญที่อดีต 007 สนทนากับ 007 คนปัจจุบันด้วยคำถามว่ามันคุ้มแล้วหรือกับการทำงานด้วยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันในฐานะสายลับโดยที่รู้ทั้งว่าอาจจะต้องถูกเขี่ยทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ (เหมือนกับที่เขารู้สึกว่าโดน เอ็ม กระทำอันเป็นชนวนเหตุของการกลับมาล้างแค้น) รวมไปถึงฉากที่ เอ็ม ถูกรัฐบาลเรียกตัวไปไตร่สวนหลังปล่อยให้รายชื่อของสายลับหลุดออกไป ซึ่งนอกจากจะมีการตำหนิการทำงานแล้ว อีกฝ่ายยังตั้งคำถามด้วยว่าหน่วยงานอย่าง MI 6 การส่งสายลับออกไปเผชิญกับอันตราย หรือแม้กระทั่งการทำงานในสไตล์แบบ 007 นั้นยังมีความจำเป็นอยู่อีกหรือในยุคสมัยปัจจุบัน?

นอกจากนี้ แซม เมนเดส ยังจัดการเปลี่ยนภาพของตัวละคร "คิว" เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ MI6 ที่เราคุ้นชินในความเก๋าของดารารุ่นใหญ่ผู้ล่วงลับ "เดสมอนด์ เลเวลีน" มาเป็นหนุ่มหน้าใส "เบ็น วิชชอว์" แต่แทนที่จะมีเครื่องมือที่ทันสมัยอะไรออกมาให้สมวัยสมยุคสมสมัย พี่แกกลับดูเหมือนจะมีแนวคิดตรงกันข้าม ไม่ว่าจะเป็นมุกหยิกกัดเรื่องปืนปากกาอาวุธที่ เจมส์ บอนด์ ภาคเก่าๆ มักจะเอาออกมาใช้ให้เห็น รวมถึงเครื่องส่งวิทยุที่เขาทำให้พระเอกใช้ซึ่งก็เป็นได้เพียงแค่นั้นจริงๆ

ที่ผ่านมาตัวละครอย่าง "มันนี่ เพนนี" แทบจะไม่มีบทบาทอะไรมากไปกว่าเลขาหน้าห้องที่มีไว้ให้เจมส์ บอนด์ แซว แต่สำหรับภาคนี้ มันนี่ เพนนี ที่รับบทโดย "นาโอมิ แฮริส" นั้นเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ เช่นเดียวกับตัวละครอย่าง "แกเร็ธ มอลโลรี่" (เรล์ฟ ไฟนส์) หัวหน้าหน่วยสืบราชการลับและความปลอดภัยที่ถูกปูทางไว้ในฐานะตัวละครสำคัญอีกตัวหนึ่ง

ทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมา รวมไปถึงการให้ เจมส์ บอนด์ มีสภาพของการตายแล้วเกิดใหม่, การใส่ปูมหลังให้ตัวละคร 007 จับต้องได้มากขึ้น, การลากกันไปต่อสู้ด้วยโหมดอนาล็อก ฯ ทั้งหมดนี้เหมือนกับว่าผู้กำกับ แซม เมนเดส เลือกที่จะสานต่อ เจมส์ บอนด์ โฉมใหม่ หากแต่สิ่งที่ผู้กำกับคนนี้ทำก็คือการตั้งคำถามแรงๆ เพื่อหาบทสรุปว่า จริงๆ แล้วหนัง เจมส์ บอนด์ จะยังคงมีอยู่หรือไม่ (เหมือนกับที่ เอ็ม ถูกตั้งคำถามถึงความจำเป็นในการดำรงอยู่ของหน่วย MI 6 และสายลับอย่างเจมส์บอนด์ในยุคที่ไม่ใช่สงครามเย็นแล้ว) และถ้าจำเป็นต้องมีอยู่ (ดังคำตอบที่ เอ็ม ได้ตอบคำถามไปว่าไม่ว่ายุคไหนก็มีภัยด้านมืดอยู่) มันสมควรจะเดินไปในทิศทางใด อันจะเห็นได้จากตัวหนังที่เป็นการผสมปนเปกันของบรรยากาศ 007 โฉมใหม่ที่มี แดเนี่ยล เคร็ก เป็นสัญญาลักษณ์ กับ 007 ยุคเก่าอย่างตัว ราอูล ซิลวา ที่มีบุคลิก-คาแรกเตอร์ค่อนข้างจะเหนือคน(เหมือนตัวผู้ร้ายในการ์ตูน) รวมไปถึงมุกตลกที่สอดแทรกอยู่เป็นระยะอันเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่หนังแอ็กชั่นชุดนี้เคยใช้มา

เอาเป็นว่าคนที่ชอบดูหนังประเภทที่คิดลึก รักการตีความ ชอบผูกเรื่องนั้นโยงเข้ากับเรื่องนี้ ฯ น่าจะสนุกทีเดียวกับหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่ผู้กำกับคนนี้ "ตั้งใจ" ผูกใส่เข้ามาในหนังของเขา

แต่สำหรับผมที่ตราตรึงกับ 007 สไตล์ดิบๆ การต่อสู้ดูสมจริงสมจัง พระเอกก็เจ็บเป็นของ แดเนี่ยล เคร็ก มาแล้วและคาดหวังว่ามันจะต้องมันขึ้นไปเรื่อยๆ (หรืออย่างน้อยๆ ก็น่าจะดีกว่าที่ "มาร์ค ฟอร์สเตอร์" ทำไว้กับ Quantum of Solace) เพราะฉะนั้นโดยส่วนตัวผมเลยค่อนข้างจะผิดหวังครับ

จริงๆ Skyfall เริ่มต้นได้ตื่นเต้นดีมากครับ ประเด็นการผูกชนวนของเรื่องก็ชวนให้น่าติดตาม บทสนทนาก็คมคาย แถมฉากจบก็ดูจะยิ่งใหญ่และสำคัญมากๆ จนน่าจะเข้าสูตรของการเขียนหนังสือ-การทำหนัง-ละครที่ดีที่มีผู้ใหญ่คนหนึ่งเคยกล่าวถึงเคล็ดไว้ว่า ควรจะเริ่มเรื่องด้วยความตื่นเต้นชวนติดตาม ดำเนินเรื่องด้วยความกลมลืน และจบลงด้วยความประทับใจ (ต้น-ตื่นเต้น, กลาง-กลมกลืน,จบ-จับใจ)

ทว่าก็ไม่รู้เหมือกันว่าเพราะอะไร กลายเป็นว่าการผสมปนเปดังกล่าวมันกลับกลายเป็นความอิหลักอิเหลื่อที่ทำให้หนังจะไปทางไหนก็ไม่ไปสักทาง ตรรกะตลอดจนเหตุผลในการกระทำต่างๆ ของตัวละคร หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดูหลวมโพรกพรากไปหมด ซึ่งก็พอเข้าใจครับว่าผู้กำกับเองอาจจะปูทางไว้ถึงภาคต่อที่ดูแนวโน้มแล้วน่าจะมีความชัดเจนและสนุกมากกว่านี้

เอาเป็นว่าโดยส่วนตัวสำหรับเจมส์ บอนด์ ภาคล่าสุดนี้ ผมขอใช้คำว่า ต้น-ตื่นเต้น, กลาง-กล้อมแกล้ม และ จบ-จืดจาง ก็แล้วกันนะครับ

คือชอบก็ชอบนะ แต่มันผิด(จากที่คาด)หวังมากไปหน่อย
กำลังโหลดความคิดเห็น