ข้อถกเถียงเรื่องอิทธิพลของภาพยนตร์ กับอาชญากรรมเป็นสิ่งที่ถูกตั้งคำถามโต้วาทีกันมานานแล้ว และได้กลายเป็นประเด็นเผ็ดร้อนอีกครั้ง หลังจากมีชายที่อ้างว่าตัวเองเป็นตัวละคร "โจกเกอร์" จากหนัง Batman ก่อเหตุยิงผู้อื่นเสียชีวิตถึง 12 ศพ
อิทธิพลสื่อบันเทิงอย่างภาพยนตร์ เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายพยายามหาคำตอบว่าสามารถส่งผลกระทบไปถึงการก่อเหตุอาชญากรรมได้หรือไม่ บางครั้งหนังได้กลายเป็น "แพะรับบาป" เมื่อเกิดเหตุสะเทือนขวัญขึ้นมา แต่บ่อยครั้งก็ยากจะปฏิเสธถึงความเชื่อมโยงระหว่างภาพยนตร์ กับพฤติกรรมของบุคคล
หากเป็นด้านบวกหรือด้านที่ไม่มีพิษมีภัย อิทธิพลของภาพยนตร์ก็คงเป็นสิ่งที่ยอมรับกันได้ แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังมีอิทธิพลในด้านลบ เป็นความรุนแรงอันเลวร้ายอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
1. Natural Born Killers (1994) : หนังเพาะบ่มอาชญากร?
หากจะเริ่มต้นพูดถึงประเด็น อิทธิพลของภาพยนตร์ต่ออาชญากรรม ก็คงต้องเริ่มต้นด้วย Natural Born Killers หนังรุนแรงแรงของ โอลิเวอร์ สโตน ที่ก่อให้เกิดการเลียนแบบขึ้นมากมาย นอกจากนั้นหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตัวฆาตกรเองก็ยอมรับว่าพวกเขาได้รับอิทธิพลมาจากหนังด้วย
จากเหตุการณ์จริงเรื่องราวของฆาตกรฆ่าต่อเนื่อง "ชาร์ลส์ สตาร์กวีเตอร์" ผู้ฆ่าคนไปถึง 11 คน แถบเนบราสกา และไวโอมิ่ง ในช่วงระยะเวลาเพียง 2 เดือนโดยมีแฟนสาว "แคริล แอน ฟุเกเต" วัย 14 ปี เดินทางไปด้วยได้ถูก เควนติน ตารันติโน นำมาดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์เรื่อง Natural Born Killers ที่พูดถึงคู่รักสุดโหด มิกกี และ มัลลอรี น็อกซ์ ที่ฆ่าคนมากมาย แต่กลับกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ผู้คนสนใจ จากการถูกนำไปเสนอของ สื่อมวลชน
Natural Born Killers โดนวิจารณ์อย่างหนักโดยทันที และแม้หนังจะเข้าฉายในเรต NC-17 ที่เปิดให้ผู้ชมอายุ 17 ปี ขึ้นไปเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ตีตั๋วเข้าไปดูได้ แต่หนังก็ยังถูกกล่าวหาว่าส่งอิทธิพล กระตุ้นให้ผู้คนจำนวนมากลุกขึ้นมาก่อเหตุฆาตกรรม
คดีส่วนใหญ่ที่มีข้อกล่าวหาว่าเกิดขึ้นจากอิทธิพลของ Natural Born Killers มักจะมีผู้ต้องหาเป็นคู่รักแบบเดียวกับในภาพยนตร์ ทั้งในปี 1995 ที่ "ซาราห์ เอ็ดมอนสัน" (19 ปี) กับแฟนหนุ่ม "เบนจามิน เจมส์ ดาร์รัส" (18 ปี) ที่ใช้เวลาร่วมกันในกระท่อมพักร้อนของครอบครัวที่ โอกลาโฮมา เสพ LSD และดู Natural Born Killers ไปด้วย หลังจากนั้นจึงออกเดินทางไปพร้อมกับ นิสสัน และปืน .38-คาลิเบอร์ รีโวเวอร์ เพื่อจะไปดูคอนเสิร์ตของ The Grateful Dead พร้อมยิงคนไป 2 คนระหว่างเดินทาง
วันที่ 1 ธ.ค. 1997 ที่เคนตั๊กกี้ "ไมเคิล คาร์นีล" วัย 14 ปีไปโรงเรียนพร้อมปืนหลายกระบอกได้แก่ .22 ไรเฟิล, 2 .30-30 วินเชสเตอร์ ไรเฟิล, และปีนพกรูเกอร์ เมื่อถึงโรงเรียนจู่ ๆ หนุ่มน้อยก็หยิบที่อุดหูขึ้นมาใส่ และเปิดฉากยิงปืนกลมือไปที่กลุ่มนักเรียนซึ่งกำลังสวดมนต์ ฆ่าเพื่อนนักเรียนไป 3 คน และบาดเจ็บไปอีก 5 หนังจากยิงเสร็จจึงทิ้งปืน และมอบตัวกับครูใหญ่ โดยเขายังเอ่ยถึงหนังอย่าง Natural Born Killers, The Basketball Diaries รวมทั้งวิดีโอเกมที่ขายความรุนแรงอย่าง Doom และ Mortal Kombat ด้วย
ในวันที่ 23 เม.ย. 2006 หนังสุดอื้อฉาวก็ถูกโยงเข้ากับเหตุการณ์สยองขวัญอีกเมื่อ "เจเรมี อัลลัน สไตน์เก" วัย 23 ปี กับแฟนสาว "จัสมิน ริชาร์ดสัน" ที่มีอายุเพียง 12 ปี ได้ก่อเหตุสะเทือนขวัญฆ่า "มาร์ค" และ "เดบรา ริชาร์ดสัน" บิดามารดาของฝ่ายหญิง รวมถึง "เจค็อป" น้องชายที่มีอายุเพียง 8 ขวบเท่านั้น และยังอัดเทปเสียงเอาไว้ด้วย โดยหนังดัง Natural Born Killers ถูกโยงเข้ากับคดีเพราะมีการสอบสวนพบว่า สไตน์เก เพิ่งจะดูหนังเรื่องนี้ไปก่อนหน้าจะเกิดเหตุการณ์ขึ้นเพียงวันเดียว และยังพูดว่าจะทำแบบหนัง กับครอบครัว ริชาร์ดสัน ของแฟนสาว
ยังมีเหตุการณ์หฤโหดอีกมายมายที่มีชื่อของหนัง Natural Born Killers เข้าไปเกี่ยวข้องรวมถึงในการฆ่าอย่างโหดเหี้ยมที่โรงเรียนโคลัมไบน์ ที่มีการค้นพบตัวอักษร "going NBK" ในบันทึกของ อีริค แฮริส และ ดีเลน เคลโบลด์ ผู้ก่อเหตุสังหารโหดเพื่อนนักเรียน 12 คน กับครูอีกหนึ่งคน ก่อนที่ทั้งสองจะฆ่าตัวตายตามไป โดยมีคำยืนยันว่าทั้งคู่ชื่นชอบงานสุดอื้อฉาวของ โอลิเวอร์ สโตน
ขณะที่ในเทกซัสเกิดเหตุฆาตกรรมที่เด็กชายวัย 14 ปี สังหารเด็กผู้หญิงอายุ 13 ปี เพราะ "อยากดังเหมือน Natural Born Killers" นอกจากนี้ยังมี "เนธาน มาร์ติเนซ" ที่ฆ่าแม่และน้องสาวหลังหมกมุ่นกับหนัง, แองกัส วัลเลน กับ คารา วินน์ ที่ร่วมกันฆ่ารูมเมต และ อิริค ทาวูลาเรส ที่ฆ่าแฟนสาวหลังจากดูหนังไปได้ครึ่งเรื่อง ก่อนจะสารภาพผิดกับตำรวจด้วยความตกใจ และต้องรับโทษเป็นการจำคุก 40 ปี
2. Child’s Play (1988): ตุ๊กตาผี
ภาพจำของหนังสยองขวัญเมื่อครั้งยังเยาว์วัยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลาย ๆ คนรวมถึงหนังผีตุ๊กตา Child's Play ที่ว่ากันว่าส่งผลให้เกิดฆาตกรรมขึ้นมากมายเช่นเดียวกัน
หนังสยองขวัญเรื่องดังจากยุค 80s ที่มีภาคต่อตามออกมามากมายหลายภาค เล่าเรื่องของวิญญาณที่เข้าไปสิงอยู่ในตุ๊กตาและออกไล่ฆ่าคนทั้ง ผู้ชาย, ผู้หญิง แม้แต่เด็กก็ไม่เว้น กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดคดีฆ่ากันขึ้นมา รวมถึงเหตุการณ์ที่บราซิลเมื่อสาวอังกฤษ "คารา เบิร์ก" กลายเป็นเหยื่อของแฟนหนุ่ม "โมฮัมหมัด ดาลี คาร์วัลโย ดอส ซานโตส" ที่ดูจะชื่นชอบตัวละครตุ๊กตาผีเป็นพิเศษ
คาร์วัลโย ดอส ซานโตส สักรูป ตุ๊กตาผีชักกี้ บนหลัง นอกจากนั้นในโทรศัพท์ที่เขาใช้บันทึกภาพการฆ่าตัดคอแฟนสาว ก็ปรากฏภาพของตุ๊กตาผีเช่นเดียวกัน
เด็กชาย "โรเบิร์ต ธอมป์สัน" กับ "จอห์น เวเนเบิลส์" ที่ก่อคดีฆ่า "เจมส์ บัลเจอร์" ก็เป็นแฟนหนัง Child’s Play 3 เช่นเดียวกัน ในหนังเรื่องที่ว่ามีฉากที่ ชักกี้ถูกเอาสีละเลงหน้า และถูกตีจนหน้าเละ ซึ่ง บัลเจอร์ วัย 2 ขวบ ก็ถูก ธอมป์สัน กับ เวเนเบิลส์ ที่มีอายุเพียง 10 ขวบ กระทำด้วยวิธีเดียวกัน จนถึงแก่ความตายเมื่อปี 1993 ซึ่งระหว่างการพิจารณาคดี ผู้พิพากษาได้เอ่ยถึงวิธีการฆ่าในคดีสุดสะเทือนขวัญครั้งนี้ว่า เหมือนกับถอดแบบมาจากในหนังเลยที่เดียว
ในปี 1993 เช่นเดียวกันยังเกิดเหตุการณ์ที่ "ซูซาน แคปเปอร์" ชาวแมนเชสเตอร์ ถูกพาตัว และโดนกังขังทรมานอยู่ถึง 7 วันจนถึงแก่ความตาย ด้วยสาเหตุอวัยวะหลายส่วนไม่ทำงาน โดยมีผู้ต้องหา 6 คนหนึ่งในนั้นเป็นเด็กที่ แคปเปอร์ เคยเป็นพี่เลี้ยง โดยระหว่างการถูกกักขังหญิงผู้เคราะห์ร้ายถูกทรมาทรกรรมด้วยวิธีอันโหดเหี้ยม ทั้งการฉีด แอมเฟตตามีนส์ เข้าเส้น, จี้ด้วยบุหรี่ และที่สำคัญมีการใช้เพลงรีมิกซ์ Hi, I'm Chucki (Wanna Play?) ของ 150 Volts ความยาว 45 นาที ที่มีการแซมเปิลส่วนหนึ่งจากหนัง Child's Play 3: Look Who's Stalking เร่งเสียงดังที่สุดใส่หูฟัง กรอกหูเหยื่อ
ยังมี "มาร์ติน ไบรแอนต์" ฆาตกรฆ่าต่อเนื่องที่อันตรายที่สุดของออสเตรเลียกับการสังหารคนไปถึง 35 คนที่เรียกกันว่า "การสังหารโหดที่พอร์ตอาร์เธอร์" ในปี 1996 ที่แทบจะทำให้ออสเตรเลียตกอยู่ในความอกสั่นขวัญแขวนกันทั้งประเทศ ซึ่งแฟนสาวของ ไบรแอนต์ เปิดเผยว่า “มาร์ติน ชอบ ชัคกี”
3. A Clockwork Orange (1971) : หนังสุดฉาวเมืองผู้ดี
ผลงานของผู้กำกับระดับ ปรมาจารย์วงการภาพยนตร์ สแตนลี คูบริกส์ ก็ได้ชื่อว่าส่งผลกระทบไปในวงกว้าง และถูกข้อกล่าวหาว่าส่งเสริมพฤติกรรมความรุนแรง และอาชญากรรม ด้วยเรื่องราวในโลกอนาคตกับตัวละคร "อเล็กซ์" เด็กหนุ่มเลือดร้อน ผู้นิยมความรุนแรง
ตัวหนัง A Clockwork Orange เองถูกเจ้าหน้าที่เพ่งเล็งอยู่แล้วในด้านการนำเสนอภาพความรุนแรง และเรื่องทางเพศ แต่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือผลงานในปี 1971 เรื่องนี้กลับกลายเป็นผู้ต้องหาว่าส่งเสริมให้เกิดอาชญากรรมเลียนแบบขึ้นมากมาย ทั้งในปี 1972 ที่เด็กชายวัย 14 ปีต้องเจอกับข้อหาฆ่าคนตายโดยประมาท ซึ่งต่อมาทนายจำเลยได้พยายามชี้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างหนัง A Clockwork Orange กับพฤติกรรมของผู้ต้องหาว่าเกี่ยวข้องกัน
สื่อมวลชนยังนำเสนอว่า A Clockwork Orange ทำให้เกิดคดีรุมโทรมขึ้น หลังผู้ต้องหาร้องเพลง Singin' in the Rain แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ จนหนังถูกโจมตีอย่างหนัก "คริสเตียน คูบริกส์" ภรรยาของผู้กำกับเคยเล่าถึงเรื่องนี้ว่าครอบครัวของเธอถูกขู่ฆ่า และมีผู้ประท้วงเดินทางมาถึงที่บ้าน ถึงขั้นที่สุดท้ายแล้วตัว คูบริกส์ และ Warner Brothers บริษัทจัดจำหน่าย ต้องตัดสินใจรับผิดชอบด้วยการถอดหนังออกจากโปรแกรมฉาย
"ความพยายามในการผูกโยงความรับผิดชอบใด ๆ จากตัวหนังว่าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต ในสายตาผมแล้วไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก ศิลปะประกอบด้วยภาพสะท้อนของชีวิตจริง แต่ศิลปะไม่สามารถสร้าง หรือทำลายชีวิตได้ คือการหยิบเอาชีวิต นอกจากนั้น การจะบอกว่ามีเหตุจูงใจอยู่ในหนัง ดูจะขัดแย้งกับแนวคิดทางวิชาการที่ยอมรับทั่วไปว่า ถึงแม้ในสภาพสะกดจิต หรือหลังการสะกดจิต คนเราไม่สามารถกระทำสิ่งใดๆที่ขัดแย้งกับธรรมชาติเบื้องลึกของแต่ละคนได้" คูบริกส์ กล่าวหลังจากหนังของเขาถูกโจมตีว่าสร้างปัญหาอาชญากรรมขึ้นมากมาย
4. The Collector (1965) : ของสะสมสุดวิปริต
หนังอังกฤษอีกเรื่องที่ก่อให้เกิดตำนาน "อาชญากรรมเลียนแบบขึ้นมา" คือ The Collector หนังสยองขวัญที่เล่าเรื่องของหนุ่ม "เฟรเดอริก เคร็ก" ผู้เก็บตัวและใช้ชีวิตเพียงคนเดียวกับการสะสมผีเสื้อ แต่เมื่อเขาเก็บเงินได้พอที่จะซื้อบ้านเป็นของตัวเอง นักสะสมรายนี้เลือกที่จะล่อลวงสาวสวย "มิแรนด้า" มาเพื่อ "เก็บ" เธอไว้เป็นของสะสมอีกชิ้น ขังไว้ในบ้านเพื่ออ้อนวอนขอความรัก แต่ก็ไม่สำเร็จจนกระทั่งเธอเจ็บป่วย และเสียชีวิตลงในห้องใต้ดิน ส่วน เฟรเดอริก ก็เริ่มต้นกับการหาของสะสมชิ้นต่อไป
The Collector ได้รับคำยกย่อง และรางวัลไปพอสมควร เป็นหนังสยองขวัญสุดคลาสสิกจากเมืองผู้ดี จนกระทั่งอีก 20 ปีต่อมาจึงเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง กับข้อกล่าวหาที่ว่าหนังได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับฆาตกรฆ่าต่อเนื่องที่ชื่อว่า "เลนนาร์ด เลค" และ "ชาร์ลส์ อั้ง" ที่จับตัว "เคที อัลเลน" กับ "เบรนด้า โอ'คอลเนอร์" มาขั้งเอาไว้ และเรียกแผนการชั่วของตัวเองว่า "ปฏิบัติการมิแรนด้า"
ทั้งสองสร้างป้อมปราการสำหรับกักขังหญิงสาวผู้โชคร้ายขึ้นมา วางแผนจะให้เธอคอยทำงานบ้าน และเป็นที่รองรับอารมณ์ทางเพศของพวกเขา แต่เมื่อเธอไม่ยินยอมสองจอมโหดจึงฆ่า "มิแรนด้า" ของพวกเขาเสีย
พฤติกรรมสุดสะเทือนขวัญของทั้งสองถูกพบเมื่อ ชาร์ลส์ อั้ง ถูกจับได้ในคดีปล้นทรัพย์ในร้านค้า สุดท้าย เลค ตัดสินใจกินไซยาไนท์ฆ่าตัวตายหนีความผิด ส่วนเพื่อนอาชญากรของเขายังคงมีชีวิตมาถึงปัจจุบัน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่าทั้งคู่อาจฆ่าเหยื่อไปแล้วมากถึง 25 คน นอกจากนั้นยังพบอุปกรณ์ทรมานที่สองหนุ่มคิดขึ้นเองอีกมากมายติดอยู่บริเวณกำแพงบ้าน และเหนือเก้าอี้แบบเดียวกับของหมอฟัน ที่พวกเขาใช้ทรมานเหยื่อ
5. The Basketball Diaries (1995) : ระเบิดอารมณ์กลางห้องเรียน
The Basketball Diaries หนังที่หลาย ๆ คนยังหามาดูกันเพราะมีพระเอกรูปหล่อ ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ รับบทนำก็ได้ชื่อว่าทำให้เกิดเหตุฆาตกรรมเช่นเดียวกัน
หนังว่าด้วยเรื่องราวของหนุ่มนักบาสเกตบอลผู้มากพรสวรรค์แต่กลับมีชีวิตที่พลิกผันเพราะการติดเฮโรอิน โดยฉากที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาก็คือ ฉากในความฝันที่หนุ่มลีโอเดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับเสื้อโค้ททหาร และปืนกลสั้นก่อนกราดยิงไปที่กลุ่มเพื่อน
แต่แล้วฉากในหนังกลับต้องสงสัยว่าเป็นแรงบันดาลใจให้ "แบร์รี ลูกาติส" ทำแบบเดียวกัน กับการใช้อาวุธปืนยิงกราดเข้าไปในห้องเรียน เป็นผลให้มีเพื่อนเสียชีวิต 3 คน หลังเกิดเหตุ ลูกาติส ยิ้มและกล่าวคำว่า "That sure beats algebra, doesn’t it?" ที่ไม่มีใครทราบความหมายแน่ชัดออกมา
ต่อมาถึงเปิดเผยว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนครั้งนี้ อาจจะเกิดขึ้นหลัง ลูคาติส ต้องทนทุกข์กับการถูกกลั่นแกล้งมาเป็นเวลานาน เคยกระทั่งโดน ปัสสาวะรด นอกจากนั้นเขายังเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่แตกแยกด้วย
อย่างไรก็ตามยังมีข้อสันนิฐานจากพนักงานอัยการว่า การตัดสินใจของหนุ่มน้อยวัย 15 ปี อาจจะเกิดขึ้นจากการชมมิวสิควิดีโอเพลง Jeremy ของ Pearl Jam รวมถึงนิยาย Rage ของ สตีเฟ่น คิง และหนังอย่าง Natural Born Killers และ The Basketball Diaries ที่มีหลักฐานคือเสื้อผ้าที่เขาสวมในวันนั้น ที่มีความคล้ายคลึงกับที่ ลีโอนาร์โด ใส่ในภาพยนตร์
6. Taxi Driver (1976) : เมื่อโลกแห่งหนังโลกความจริงหลอมรวมกัน
ชายวัยกลางคน "จอห์น ฮิงลีย์ จูเนียร์" เป็นอีกคนที่ก่ออาชญากรรมจากความลุ่มหลงในภาพยนตร์และดารา ซึ่งโลกแห่งความเป็นจริง และโลกในภาพยนตร์ได้หลอมรวมกัน หลังเขามีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่อง Taxi Driver
ในผลงานของ "มาร์ติน สกอร์เซซี" นักแสดงยอดฝีมือ "โรเบิร์ต เดอเนโร" สวมบทบาทเป็น "เทรวิส บิกเกิล" หนุ่มโชเฟอร์แท็กซี ที่พยายามลอบสังหารผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เพื่อสร้างความประทับใจให้กับสาวน้อยที่เขาหลงรัก ซึ่ง "ฮิงลีย์ จูเนียร์" ที่ใช้ชีวิตอยู่ในแฟนตาซีอยู่แล้ว มีกระทั่งแฟนสาวที่ไม่มีตัวตน ได้เริ่มรู้สึกว่า เดอเนโร ไม่ใช่เพียงตัวละครในภาพยนตร์ แต่กำลังสื่อสารกับเขาโดยตรง และเริ่มคิดว่าตัวเองคือ "เทรวิส บิกเกิล" ถึงขั้นที่เขาวางแผนลอบสังหารประธานาธิบดีขึ้นมาจริง ๆ หวังว่าจะสร้างความประทับใจให้กับดาราสาว "โจดี ฟอสเตอร์" ที่แสดงนำเป็นโสเภณีเด็ก ขวัญใจของ เดอเนโร่ ใน Taxi Driver ได้
ในวันที่ 30 มี.ค. 1981 ฮิงลีย์ จูเนียร์ จึงได้ตัดสินใจเข้าทำร้ายประธานาธิบดีเรแกน ระหว่างที่ท่านเดินทางออกมาจากโรงแรมใน วอชิงตัน ดี.ซี. ด้วย อาวุธปืนแต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ จนถูกตั้งข้อหาหลายกระทง ก่อนศาลจะลงความเห็นว่าเขาเป็นผู้มีสติไม่สมประกอบ แต่คนที่ได้รับผลกระทบไปมากที่สุดก็คือดาราสาว โจดี ฟอสเตอร์ ทียังคงหลงเหลืออาการวิตกจริตจากเหตุที่เกิดขึ้น มาจนถึงทุกวันนี้เลยทีเดียว
7. Scream (1996) หวีดสยองนอกจอ
Scream หนังสยองขวัญที่โด่งดังที่สุดแห่งยุค 90s ที่เล่าเรื่องของฆาตกรปริศนาในชุดสีดำ และหน้ากากยาง ได้กลายเป็นชุดฮอลโลวีนยอดฮิตอีกชุด แต่ในเวลาเดียวกันก็กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับฆาตกรหลายคน
แม้ตัวหนังเองจะพยายามเล่าเรื่องล้อเลียนเสียดสีความซ้ำซากของหนังฆาตกรรม แต่ด้วยเนื้อหาอันสนุกสนานตื่นเต้นเร้าอารมณ์ Scream ก็สามารถส่งอิทธิพลให้เกิดเหตุฆาตกรรมได้หลายครั้งเช่นเดียวกัน ที่โด่งดังเป็นเรื่องราวใหญ่โตมากที่สุดเกิดขึ้นที่ประเทศเบลเยียม กับคดีของนาย "เธียรี จาราดิน" คนขับรถบรรทุกที่สังหาร "อลิสัน แชมบิแอร์" เด็กสาวที่อยู่ข้างบ้านที่มีอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น
โดย แชมบิแอร์ ที่รู้จักกับนาย จาราดิน อยู่พอสมควร เดินทางมาหาเขาที่บ้านที่อยู่ไม่ไกลจากกัน เพื่อแลกม้วนวิดีโอและพูดคุยกัน เมื่อฝ่ายชายได้เริ่มแสดงท่าทีพิศวาสออกไป ฝ่ายหญิงกลับปฏิเสธ โดยที่เธอไม่ได้ล่วงรู้เลยว่าสุดท้ายเรื่องราวจะจบลงด้วยการนองเลือด
หลังโดนตัดเยื่อใยชายหนุ่มเข้าไปเอาของในห้องที่อยู่ติด ๆ กัน และกลับออกมาพร้อมกับหน้ากากแบบหนัง Scream พร้อมมีดทำครัว เขาใช้มือปิดปากฝ่ายหญิงไม่ให้ร้อง ก่อนจะจ้วงแทงมากกว่า 30 แผล วางร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของเธอบนเตียง วางดอกกุหลาบไว้ในมือข้างหนึ่งของเหยื่อ แล้วจึงโทรศัพท์ไปหาพ่อของเธอ และเพื่อนของตัวเองเพื่อสารภาพผิด เขายังอ้างกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในเวลาต่อมาว่าเขาก่อเหตุโดยได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสยองขวัญสุดฮิต
ในเวลาใกล้เคียงกันที่ประเทศอังกฤษ ยังมีเด็กวัยรุ่น 2 คนที่ฆ่าเพื่อนหลังจากชม Screamจบ และคิดไปเองว่าพวกเขาได้รับคำสั่งจากหนังให้ออกฆ่าคน "แดเนียล กิลล์" กับ "โรเบิร์ต ฟุลเลอร์" เริ่มต้นหลอกล่อเพื่อนที่ชื่อว่า "แอชลี เมอร์เรย์" ให้มากับพวกเขาจนไปถึงที่ปลีกวิเวก โดยอ้างว่าจะชวนมาดูนก และเริ่มต้นทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง ทั้งแทงด้วยมีดและไขควงถึง 18 แผล จนอีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัส ทั้งสองจึงปล่อยเพื่อนเอาไว้ตรงนั้นหวังจะให้เสียชีวิตลง
แต่เพื่อนผู้โชคร้ายกลับสามารถอดทนเอาชีวิตรอดมาได้ในอีก 2 วันต่อมา เมื่อมีชายแก่ที่พาสุนัขมาเดินเล่นมาพบตัวเข้า ส่วนเด็กชายทั้งสองคนก็ถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย พร้อมอ้างว่ากระทำการไปเพราะเคยถูกทำร้ายร่างกาย, ตกอยู่ใต้อิทธิพลของยาเสพติด และเรื่องของมนต์ดำ แต่ฝ่ายของเหยื่อเชื่อว่า เรื่องที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากหนังเรื่อง Scream
8. RoboCop 2 (1990) ฆ่าเลียนแบบฉากสุดโหด
หนังไซไฟโลกอนาคตอย่าง RoboCop ก็กลายเป็นชนวนของเหตุฆาตกรรมเช่นเดียวกัน กับหนังภาค 2 ที่สร้างขึ้นจากหนังสือการ์ตูนของ "แฟรง มิลเลอร์" ที่เล่าเรื่องการต่อสู้กับอาชญากรรมของตำรวจหุ่นยนต์ในโลกอนาคตอันเสื่อมโทรมของเมืองดีทรอยต์ แม้ตัวหนังจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับภาคแรกที่ดังสุด ๆ แต่กลับสร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อจิตใจของชายคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
"เนธานเนียล ไวต์" เป็นฆาตกรฆ่าต่อเนื่องที่ก่อคดีอยู่ในยุค 90s แม้ชายคนนี้จะมีบุคลิกนิสัยนิยมความรุนแรงอยู่แล้ว แต่เขากลับอ้างอย่างเฉพาะเจาะจงว่า ก่อเหตุใน 2 คดีแรก โดยเฉพาะเหยื่อคนแรกอย่างหญิงท้องแก่ "จูเลียนนา แฟรง" ที่เขาฆ่าหั่นศพก็เพราะได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่อง RoboCop 2
"ผมฆ่าสาวคนแรกก็เพราะหนัง 'RoboCop' ผมเห็นเขาเชือดคอใครบางคนด้วยมีด หลังจากนั้นก็ผ่าลงมาจนถึงหน้าอก, หน้าท้อง สำหรับเหยื่อคนแรก ผมฆ่าแบบเดียวกับในหนังนั่นแหละ"
เนธานเนียล ไวต์ สังหารเหยื่อไป 6 คน และถูกจำคุกคลอดชีวิตตั้งแต่ปี 1993 คดีของเขายังถูก "จอร์จ พาตากี" ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก หยิบยกขึ้นมาอ้างเพื่อยืนยันว่าโทษประหารชีวิตยังคงจำเป็นสำหรับชาวสหรัฐฯ
9. The Matrix (1999) ฆ่าคนในโลกดิจิตอล
ยังมีคดีอีกจำนวนหนึ่งที่ถูกเชื่อมโยงกับหนังไซไฟสุดฮิตเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วอย่าง The Matrix ที่ผู้ต้องหากล่าวอ้างว่าเขากระทำการลงไป เพราะว่าคิดว่าตัวเองติดอยู่ในโลกที่ไม่มีอยู่จริง แบบเดียวกับที่ "นีโอ" ตัวละครของ "เคียนู รีฟ" ใช้ชีวิตอยู่ใน "แมตทริกซ์" โลกเสมือนจริงที่สร้างขึ้นโดยคอมพิวเตอร์ในโลกอนาคตนั่นเอง เป็นหนังที่ปลูกฝังความคิดเรื่องโลกแฟนตาซีกับโลกแห่งความเป็นจริงในยุคใหม่ แบบเดียวกับที่ Taxi Drive เคยเป็นมาในช่วงยุค 1970s
หากเชื่อถือคำกล่าวอ้างของฆาตกรเหล่านี้ พวกเขาเชื่อว่าตนเองรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ใช้ชีวิตในโลกเสมือนจริงที่ใครบางคนสร้างขึ้นมาอย่างที่ "วาดิม มีเซเกส" นักเรียนแลกเปลี่ยนชาวสวีเดนสังหารโหดหญิงเจ้าของบ้านเช่าอย่างเลือดเย็นเมื่อปี 2003 พร้อมกับข้ออ้างว่าเขาติดอยู่ใน "แมตทริกซ์"
ทนายความของนาย "โจชัว คุ๊ก" ในคดีปี 2003 ที่หนุ่มคนนี้ฆ่าพ่อแม่บุญธรรมของตัวเองก็พยายามใช้ข้ออ้างเรื่อง แมตทริกซ์ มาต่อสู้คดี ก่อนจะเลือกรับสารภาพยอมรับผิดในเวลาต่อมา, "ทอนดา ลินน์ แอนสลีย์" ก็สังหารเจ้าของบ้านเช่าของตัวเอง เพราะคิดว่าตัวเองมีชีวิตอยู่ใน แมตทริกซ์ รู้สึกว่าการฆ่าคนที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่ง และดูเหมือนว่าการกล่าวอ้างถึงหนังไซไฟสุดฮิตจะมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง เพราะสุดท้ายฆาตกรทั้งสองรายก็ถูกตัดสินให้เป็นบ้า
อย่างไรก็ตามคดีสะเทือนขวัญที่สุดที่เกี่ยวข้องกับหนังของ เคียนู รีฟ ก็คือเรื่องราวของ "ลี บอยด์ มัลโว" ที่ร่วมกับ "จอห์น อัลเลน โมฮัมเหม็ด" ก่อคดีใช้ปืนยิงในเขตวอชิงตัน ดี.ซี. สังหารคนไปมากกว่า 10 ชีวิต ที่เขียนข้อความอ้างถึงเรื่อง แมตทริกซ์ ในการก่อคดี และยังตะโกนออกมาว่า "ปลดปล่อยตัวเองจาก แมตทริกซ์" ระหว่างถูกคุมขังในคุก นอกจากนั้นยังบอกให้เจ้าหน้าที่ FBI ไปดูหนัง The Matrix ก็จะเข้าใจในคำพูดของเขาเอง
"มัลโว" หนุ่มผิวสีที่มีอายุเพียง 14 ปีขณะก่อเหตุบอกกับจิตแพทย์ว่าเขาดู The Matrix ไปมากกว่า 100 ครั้ง ซึ่งทนายความพยายามใช้เหตุผลจูงใจข้อนี้ กับเรื่องที่ว่า มัลโว ถูกนายโมฮัมเหม็ดปลูกฝังความคิด จนกลายเป็นสาเหตุของการก่ออาชญากรรมในการต่อสู้คดี แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เมื่อศาลตัดสินให้เขามีความผิดจริง และสั่งจำคุกตลอดชีวิต
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ ""ซ้อ 7"ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |