32 ปีผ่านไป หลังจากบุกเบิกหนังแฟรนไชส์ชุด Alien เป็นคนแรก ก่อนจะส่งไม้ต่อให้กับเจมส์ คาเมรอน, เดวิด ฟินเชอร์ และฌอง-ปิแอร์ จูเนท์ ทำภาคต่อตามมาอีกสามภาคตามลำดับ ผู้กำกับที่วัยล่วงเลยเลขเจ็ดมาแล้วห้าปีอย่างริดลีย์ สก็อตต์ เหมือนต้องการจะกลับมารื้อฟื้นความทรงจำบวกกับคลายปมปริศนาที่ค้างคาบางประการ กับงานเรื่องใหม่ล่าสุดอย่าง “โพรมีธีอุส” ที่พูดกันว่ามันคือหนังภาคก่อนหน้าของเอเลี่ยน (ศัพท์แสงทางหนัง เขาใช้คำว่า Prequel) แบบเดียวกับที่ X-Men First Class เป็นปฐมบทที่มาก่อนหนังทุกภาคในตระกูลเอ็กซ์เม็น
จุดเด่นที่สุดของโพรมีธีอุสที่ผมคิดว่าทุกๆ คนก็คงเห็นเช่นเดียวกัน และไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ก็คือส่วนของโปรดักชั่นงานสร้างซึ่งดูอลังการตระการตา ตามปรัชญาของหนังฟอร์มยักษ์ร่วมสมัยทั่วไปที่ต้องขายองค์ประกอบนี้กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน Prometheus นั้นก็ไม่น้อยหน้า และผมคิดว่าหนังสามารถเนรมิตวิช่วลเอเฟคต์หรืองานด้านภาพออกมาได้น่าตื่นตาตื่นใจ เก็บคะแนนความชอบจากผู้ชมอย่างผมได้ตั้งแต่นาทีแรกไปจนกระทั่งจบเรื่อง พูดอย่างนี้ก็เพื่อจะบอกครับว่า ใครที่คาดหวังฉากสวยๆ หรือ “ภาพอลังๆ” คุณไม่ผิดหวังแน่นอนกับงานชิ้นนี้
ยานลำยักษ์ที่ชื่อโพรมีธีอุสบินสู่อวกาศพร้อมกับทีมนักสำรวจกลุ่มหนึ่งซึ่งนำโดย ดร.อลิซาเบธ ชอว์ ภายใต้การสนับสนุนของเวย์แลนด์คอเปอเรชั่น ซึ่งส่ง “วิคเกอร์ส” มาควบคุม โดยมี “เดวิด” หุ่นยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คล้ายคลึงกับมนุษย์มากที่สุด เป็นผู้บังคับหางเสือการเดินทาง ภารกิจของพวกเขาในครั้งนี้คือจะสามารถค้นหาจุดกำเนิดของมนุษย์ได้สำเร็จหรือไม่ ขณะที่มีเหตุการณ์อันน่าสะพรึงรุมเร้าเข้ามาตลอดเวลาระหว่างปฏิบัติการ
ตลอดเวลาที่ยานลำยักษ์อย่างโพรมีธีอุสเหินฟ้าสู่อวกาศจนกระทั่งจอดลง ณ ดินแดนแห่งหนึ่งนั้น เราจะพบว่า คำถามที่หนังโยนใส่คนดูผู้ชมนั้น “ยิ่งใหญ่อลังการ” ไม่แพ้งานสร้างแต่อย่างใด เพราะมันพาเราจมไปสู่คำถามเกี่ยวกับ “ที่มา” และ “ที่ไป” ของมนุษย์ นั่นยังไม่ต้องพูดถึงว่า นอกเหนือจากไปการเผชิญหน้าปะทะกันระหว่างเอเลี่ยนกับมนุษย์อันเป็นจุดขายตลาดๆ ของหนังโดยตรงแล้ว เรายังจะได้เห็นคู่ขัดแย้งอีกหนึ่งคู่ที่พยายามต่อสู้ขับเคี่ยวกัน นั่นก็คือ ความศรัทธาต่อพระเจ้าในฐานะผู้สร้าง กับความลังเลสงสัยที่มีต่อศรัทธาดังกล่าวนั้น
ดังนั้น ในความรู้สึกของผม “โพรมีธีอุส” จึงเป็นหนังเอเลี่ยนที่มีความทะเยอทะยานสูงมาก เพราะมันตั้งคำถามอันหนักอึ้งเกี่ยวกับรากเหง้าตลอดจนเป้าหมายปลายทางของมนุษย์ เราเกิดมาจากอะไร? ใครเป็นผู้สร้างเรามา? และสุดท้าย เราจะก้าวเดินไปสู่หนใด? หลายคนอาจจะไม่ชอบใจเท่าไรนัก ที่สุดท้าย หนังก็ไม่ได้ “ฟันธง” หรือ “ให้คำตอบ” อะไรอย่างชัดเจน เสมือนหนึ่งว่า “คำถาม” ที่หนังเพียรพยายามอย่างหนักที่จะค้นหาคำตอบมาตั้งแต่ต้น จบลงอย่างว่างเปล่า แต่คิดอีกอย่าง เพียงแค่หนังกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกนึกคิดหรือครุ่นคิดในเรื่องแบบนี้ได้ ก็ถือว่าไม่ขี้เหร่แล้วล่ะครับ
ข้อต่อมาที่น่าพูด “โพรมีธีอุส” ไม่ใช่หนังเอเลี่ยนไล่ล่าประเภทเน้นความโครมครามตูมตามของฉากแอ็กชั่น บรรยากาศโดยรวม ผมมองว่า มันเหมือนๆ จะพาเราย้อนกลับไปดูหนัง Alien ภาคแรกอีกครั้งหนึ่ง ริดลีย์ สก็อตต์ ทำหนังเอเลี่ยนภาคแรกก็ไม่ได้เน้นขายความบู๊ระห่ำ หากแต่เน้นบรรยากาศความน่าพิศวง ด้วยชั้นเชิงของการค่อยๆ ตะล่อมตัวละครและคนดูไปสู่สถานการณ์ที่ตึงเครียดทีละเล็กทีละน้อย (เหมือนกับการที่กว่าจะปล่อยตัวเอเลี่ยนออกมาอาละวาด ก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งเรื่อง) จนบางครั้ง อาจทำให้คอหนังแอ็กชั่นจ๋า ดูว่ามันไม่ค่อยสนุกเพราะเดินเรื่องอืดและช้าในหลายช่วง แต่นี่คือขนบของหนังเอเลี่ยนในแบบริดลีย์ สก็อตต์ ที่เราเห็นมาแล้วในเอเลี่ยนภาคที่หนึ่ง
พูดง่ายๆ มันคือหนังไซไฟเขย่าขวัญ มากกว่าจะเป็นหนังแอ็กชั่นโครมคราม ซึ่งว่ากันตามจริง หนังตระกูลเอเลี่ยน ภาคที่ขายความบู๊ระห่ำมากที่สุดก็เห็นจะเป็นภาคสองของเจมส์ คาเมรอน ส่วนภาคสาม เดวิด ฟินเชอร์ ก็ทำให้มันหม่นๆ นัวร์ๆ คล้ายๆ กับจะเป็น Se7en ภาคอวกาศ ขณะที่ภาคสี่ก็ดูจะมีกลิ่นอายใกล้ๆ เคียงๆ กับภาคสองที่เน้นขายความแอ็กชั่น
นี่ดูจะเป็นความจงใจของริดลีย์ สก็อตต์ ที่คงอยากจะกกกอดบรรยากาศแบบเดิมๆ ไว้แทนที่จะปล่อยให้มันเป็นหนังตูมตามแบบหนังสมัยใหม่ แน่นอนว่า ถ้าจะทำแบบนั้นจริง ผมคิดว่าเขาก็น่าจะทำได้ เพราะเมื่อเรามองย้อนกลับไปดูงานเก่าๆ ของเขาหลายเรื่อง ริดลีย์ สก็อตต์ ก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าไมเคิล เบย์ แห่ง Transformers สักเท่าไหร่หรอก เพียงแต่เป็นไมเคิล เบย์ ในภาคที่ดูจริงจังกว่า เป็นผู้ใหญ่กว่า ไม่ได้ชื่นชอบแค่การเล่นของเล่นหรูหราและความบันเทิงเพียงอย่างเดียว
หนังเก่าๆ ของริดลีย์ สก็อตต์ ที่พอจะจัดอยู่ในหมวดหมู่ของหนังซึ่งขายความโครมครามของฉากแอ็กชั่น เราจะพบว่า เนื้อหาที่ปรากฏในหนังก็ไม่ได้ดูด้อยแต่อย่างใด อย่างเช่น Black Hawk Down (คงไม่มีใครคิดว่านี่คือหนังที่ยิงและโยนระเบิดใส่กันเพื่อจะเอามันเพียงอย่างเดียว) Body of Lies (หนังลูบคมผู้อยู่เบื้องหลังการปราบปรามการก่อการร้าย) หรือ American Gangster (ขณะแอ็กชั่น ก็ไม่ลืมที่จะตีแผ่ขุมพลังเลวร้ายที่ขยายเครือข่ายครอบงำสังคม) นั่นยังไม่นับรวมงานที่ได้ออสการ์อย่าง Gladiator ที่พูดกันอย่างถึงที่สุด มันไม่ใช่แค่หนังฮีโร่พื้นๆ หากแต่ยังเกาะเกี่ยวอยู่กับประเด็นของการรุกรานคุกคามกันและกันจนฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าต้องลุกขึ้นมาสู้
มาจนถึง “โพรมีธีอุส” ก็ไม่ต่างไปจากนั้น หนังเดินมาพร้อมกับคำถามที่หนักหน่วง แม้ตอนเฉลยหรือคลี่คลายปม มันจะดูไร้พลังไปสักหน่อย คือไม่ทำให้เรารู้สึกรุนแรงไปกับประเด็นของหนังได้อย่างที่ควรจะเป็น แต่อย่างน้อยๆ นี่คือความพยายามของคนทำหนังคนหนึ่งซึ่งไม่ต้องการจะหยุดงานของตัวเองไว้ให้เป็นเพียงงานพื้นๆ ซึ่งพูดเรื่องดาษดื่นธรรมดา อย่าง “มนุษย์กับเอเลี่ยนไล่ล่าฆ่าฟันกัน”
แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมมานั่งคิดย้อนหลังนะครับว่า ขณะที่ยานยักษ์โพรมีธีอุสพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะพาคนดูผู้ชมเหินหาวไปสู่คำถามที่สูงส่งยิ่งใหญ่ อย่างมนุษย์คือใคร มาจากไหน และจะไปไหน โดยส่วนตัว ผมกลับรู้สึกชอบแง่มุมธรรมดาๆ ง่ายๆ ที่หนังทิ้งท้ายแบบเดียวกับ ID4 (Independence Day) มากกว่า ผมว่า บางที ปัญหาที่ยิ่งใหญ่อย่างพวกเราเป็นใคร มาจากไหน และจะไปไหนต่อ มันก็เป็นปัญหาโลกแตกที่ยากจะหาบทสรุป และเหนืออื่นใด เป้าหมายการพยายามหาคำตอบนั้นของตัวละครก็ดูจะไม่มีอะไรมากไปกว่าความต้องการจะมีชีวิตเป็นอมตะซึ่งขัดแย้งกับวิถีแห่งธรรมชาติอย่างไม่อาจปฏิเสธ แต่ในขณะที่เราไม่อาจมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เราจะทำอย่างไรกับชีวิตที่ “ต้องตาย” อย่างแหงแก๋แน่นอน กับข้อนี้ ผมแนะนำให้จับตาดูตอนที่เอเลี่ยนตัวพ่อจะห้อยานมาบุกโลกครับ แล้วขณะนั้นก็มีตัวละครซึ่งอยู่ในทีมสำรวจสองสามคน
คิดเล่นๆ แบบไม่ซีเรียสนะครับว่า ขณะที่ผู้เฒ่าริดรี่ย์ สก็อตต์ พยายามมาโดยตลอดกับการทำให้โพรมีธีอุสตอบคำถามคาใจเกี่ยวกับมนุษยชาติ แต่พอลงท้ายจริงๆ เขากลับมา “หาทางลง” แบบเรียบง่ายเหลือเกิน แต่กระนั้นก็ดูเป็นความเรียบง่ายที่งดงาม และแฝงความเป็นตลกร้ายเชิงเย้ยหยันอยู่ในที ตัวละครสองสามตัวเหล่านี้ไม่ค่อยมีบทบาทอะไรกับหนังเท่าไหร่นัก แต่ดูสิ่งที่พวกเขาทำ ผมว่านั่นแหละ มีค่าความหมายโดยไม่จำเป็นต้องไปตั้งคำถามให้ปวดหัวว่าเรามาจากไหน จะไปไหน และจะเป็นอมตะได้ด้วยวิธีการอย่างไร เอาแค่ว่าตอนมีชีวิตอยู่นี่แหละ คุณได้กระทำสิ่งที่มีคุณค่าเพียงพอแล้วหรือยัง? คุณทำให้ชีวิตตัวเองมีความหมายแล้วหรือยัง?