โดย : บอน บอระเพ็ด (skbon109@hotmail.com)
ใครที่ชอบเดินห้างสรรพสินค้า อาจจะเคยได้ยินเพลงของ “ซิโมน คอปเมเจอร์”(Simone Kopmajer) มาบ้าง เพราะอัลบั้มล่าสุดของเธอได้รับการเปิดตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำอยู่บ่อยครั้ง ถึงขนาดที่ใครและใครหลายคนเมื่อได้ฟังแล้ว แม้ยังไม่รู้จักว่าเธอเป็นใคร แต่ก็ได้หลงเสน่ห์ในน้ำเสียงของสาวคนนี้ไปอย่างจั๋งหนับบุเรงนองแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ดังนั้นก่อนที่จะไปสัมผัสกับบทเพลงในอัลบั้มล่าสุดของซิโมน เราไปทำรู้จักกับที่มาที่ไปของนักร้องสาวสวยเสียงดีคนนี้กันสักหน่อย แบบพอเป็นกระสือ เอ้ย!!! เป็นกระสัย
ซิโมน คอปเมเจอร์ เป็นชาวออสเตรีย เกิดในครอบครัวนักดนตรี เธอเริ่มเล่นเปียโนตั้งแต่เด็ก ก่อนจะมาค้นพบพรสวรรค์ด้านการขับร้องเพลงในเวลาต่อมา จนสามารถกวาดรางวัลมามากมายจากการเข้าร่วมประกวดการขับร้องเด็ก โดยเฉพาะตามรายการทีวีต่างๆในออสเตรีย
เมื่อโตขึ้นซิโมนได้ร่วมร้องเพลงกับวง Euro Big Band วงดังของยุโรปและของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเหมือนต้นทางสำคัญในการเดินทางเข้าสู่ยุทธจักรดนตรีแจ๊ซ ซึ่งเธอมีไอดอลสำคัญคือ 2 ยอดนักร้องหญิง-ชาย คือ Ella Fitzgerald และ Frank Sinatra
นอกจากมีพรสวรรค์ทางด้านการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กแล้ว ซิโมนยังตอกย้ำความสามารถทางด้านดนตรีด้วยการเรียนจบปริญญาโทสาขา Music and Dramatic Arts จาก Graz University ในออสเตรีย โดยเธอได้ร่วมงานแสดงและบันทึกเสียงกับศิลปินตำนานเช่น Houston Pearson, Victor Lewis, Richie Cole, Ira Sullivan, Dick Oatts, George Mraz, Christian McBride, Larry Coryell, Allan Harris และ Eric Alexander เป็นต้น
ปัจจุบันซิโมนนอกจากจะเป็นนักร้องเพลงแจ๊ซชื่อดังในฟากฝั่งยุโรปแล้ว ยังเป็นครูผู้สอนการขับร้องให้กับสถาบันดนตรีหลายแห่งในกรุงเวียนนา ออสเตรีย อีกทั้งเธอยังได้รับการยกย่องจาก Scott Yanow นักวิจารณ์เพลงแจ๊ซชื่อดังของอเมริกา ให้เป็น 1 ใน 500 นักร้องเพลงแจ๊ซที่ดีที่สุดในโลกจากหนังสือ “The 500 Jazz Singers”
โดยล่าสุดเธอมีอัลบั้ม “Nothing’s Gonna Change” ออกมาเมื่อที่แล้ว ภายใต้สังกัด ค่าย Hitman Jazz ที่เพลงของเธอในอัลบั้มนี้ได้กลายเป็นเพลงดังประจำห้างสรรพสินค้าบ้านเรา(เพราะถูกเปิดบ่อย)
“Nothing’s Gonna Change” มีผู้ร่วมก่อการทางดนตรีร่วมกับซิโมนที่เป็นนักร้องนำและโปรดิวเซอร์ ได้แก่ Jamaaladeen Taacuma : เบส,Reinhardt Winkler : กลอง, Wolfgang Pusching : แซกโซโฟน,ฟลุ้ต และ John di Martino มือเปียโน มืออะเร้นจ์ และโปรดิวเซอร์ร่วมกับซิโมนซึ่งทั้งคู่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ชุดแรกแล้ว
อัลบั้มนี้มีทั้งหมด 14 เพลงด้วยกัน นำโดย“Nothing’s Gonna Change My Love for You” เพลงเอกแห่งอัลบั้มที่มาแบบป็อบแจ๊ซช้าๆ แม้ทางดนตรีจะต่างไปจากต้นฉบับของจอร์จ เบนสัน แต่โดยรวมยังคงไว้ด้วยอรรถรสเดิม ซิโมนร้องด้วยเสียงใสๆไม่บีบเค้น ฟังสบาย เปิดตัวให้เห็นถึงน้ำเสียงสวยๆของเธอที่จะร่ายมนต์ในเพลงอื่นๆต่อไป
ต่ออารมณ์กันด้วย “Home” ที่ซิโมนถ่ายทอดออกมาแบบหวานซึ้ง “How Deep Is Your Love” จังหวะกระชับขึ้นมาหน่อย แซกโซโฟนมาช่วยเติมสีสัน แม้ทางเพลงจะมาแนวสดใสแต่ช่วงนี้ผมฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกเศร้าต่อการจากไปของ“โรบิน กิ๊บบ์” แห่งบีจีไม่น้อย
ส่วน “Way Back Into Love” ออกแนวหวานๆน่ารัก, “Can't Take My Eyes Of You” ดนตรีเพลงนี้สนุก โดยเฉพาะเสียงเคาะกลอง(ปิดสแนร์)ในจังหวะขัดๆ มีแซกมาอิมโพรไวซ์ ซิโมนร้องเพลงจังหวะเร็วๆสนุกๆได้ดีไม่แพ้เพลงช้าและกลางๆ
“Just The Way You Are” บอสซ่าหวานๆใส ฟังเพลิน, “We're All Alone” หวานเศร้า มีลีลาของบัลลาดแจ๊ซที่เข้มพอตัว
ส่วน “I'll Have To Say I Love You” เพลงโฟล์คอมตะของจิม โคเช่ นำมาตีความใหม่เป็นป็อบแจ๊ซสนุก คึกคัก ดนตรีมันทั้งกลอง เบส มีฟลุ้ตมาอิมโพรไวซ์เป็นดาวเด่น เสียงร้องของซิโมนในเพลงนี้ฟังพลิ้ว สดใส
ถัดมาเป็น “Love Will Keep Us Alive” ละเมียดเพราะ สามารถผสมรสดนตรีในแบบต้นฉบับกับรสใหม่ได้อย่างกลมกลืน
“I'm Yours” อารมณ์เพลงนี้ออกเป็นป็อบติดกลิ่นเร็กเก้ไม่ฉีกอารมณ์ไปจากต้นฉบับสักเท่าไหร่ ซิโมนเปล่งน้ำเสียงเจือลูกอ้อน ดัดแต่พองาม ฟังน่ารักน่าชัง ขณะที่เบสเล่นไลน์โซโลฟังเก๋ไก๋
อารมณ์ป็อบใสๆน้ำเสียงอ้อนๆยังมีต่อในแทรคถัดมากับเพลง “When You Say Nothing At All”
จากนั้นย้อนยุคกลับไปในเพลงป็อบยุคคุณลุงอย่าง “Top Of The World” เพลงนี้ภาคเสียงร้องโดยรวมยังคงไว้ในอารมณ์เดิม ส่วนภาคดนตรีนี่เล่นแจ๊ซกันได้สนุกทีเดียว แซ็ก เปียโน อิมโพร์ไวซ์ ใส่กันได้อย่างน่าฟัง ต่อกันด้วย “How Do I Live” ในอารมณ์หวาน ฟังสบาย ร้องสบาย ไม่เน้นโชว์ฟลัง
ก่อนปิดท้ายกันด้วย “Imagine” ที่มาในอารมณ์เนิบช้า ดนตรีเปิดพื้นที่ให้ซิโมนโชว์ลีลาในทางบัลลาดแจ๊ซสั่งลา อัลบั้ม “Nothing’s Gonna Change” อัลบั้มแนวโรแมนติกแจ๊ซ ดนตรีฟังสบาย เครื่องดนตรีน้อยชิ้น เน้นซุ่มเสียงอะคูสติก เพื่อให้นักร้องได้เปล่งศักยภาพของพลังเสียงออกมาอย่างเต็มที่
สำหรับภาคดนตรีในเพลงนี้แม้เป็นโรแมนติกแจ๊ซ เป็นป็อบแจ๊ซ แต่ก็แฝงไว้ด้วยรายละเอียดชวนฟังที่ซุกซ่อนอยู่ และไม่ได้พยายามที่จะฉีกหนีอรรถรสของต้นฉบับไปแบบสุดกู่ หากแต่เป็นการผสมรสของต้นฉบับกับรสดนตรีที่เรียบเรียงใหม่ให้ออกมากลมกลืน ฟังสมู้ท รื่นไหล ที่สำคัญคือภาคดนตรีถือเป็นตัวหนุนส่งเสริมเสียงของนักร้องได้เป็นอย่างดีทีเดียว
ขณะที่น้ำเสียงของซิโมนนั้น เธอไม่ใช่นักร้องเพลงแจ๊ซประเภทบ้าพลัง หรือประเภทด่ำดิ่งอยู่กับความเศร้ารันทดเจืออารมณ์บลูส์โหยหวน หากแต่เธอมีน้ำเสียงที่สวยใส ผ่อนคลาย ออกแนวน่ารัก มีความเป็นป็อบเจืออยู่สูง ยิ่งยามที่เธอร้องแบบหยอดลูกอ้อนเข้าไปแต่พองาม ถือเป็นไฮไลท์ที่ทำให้คนฟังหลงเสน่ห์เอาได้ง่ายๆ
เรียกว่างานเพลงของเหมาะแก่การฟังผ่อนคลายอารมณ์ยิ่งนัก นั่นจึงทำให้ตามห้างสรรพสินค้า ตามร้านอาหาร ตามโรงแรม เปิดเพลงของเธออย่างแพร่หลาย
ส่วนใครจะฟังเพลงของซิโมนแบบเก็บรายละเอียดอย่างเอาเรื่องเอาราวก็ถือว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เพราะนี่เป็นการนำเพลงดังฮอตฮิตอมตะตั้งแต่ยุค 70s-ปัจจุบัน ในหลากหลายสไตล์ ทั้งป็อบ แจ๊ซ สแตนดาร์ด โฟล์ค มาคัฟเวอร์ ตีความขับขานใหม่ได้อย่างมีเสน่ห์น่าฟัง ซึ่งการนำเพลงดังๆในอดีตมาร้องใหม่นั้น แม้จะได้ในเรื่องของความคุ้นหู ติดหูเป็นทุนเดิม แต่ถ้านักร้องนักดนตรีพวกนั้นทำไม่ถึง มันย่อมได้รับกระถาง ก้อนอิฐ ก้อนดิน และเสียงด่า ตามมาอย่างช่วยไม่ได้
แต่สำหรับซิโมนในอัลบั้มนี้ถือว่าเธอสอบผ่านสบายแถมยังได้คะแนนสูงเสียด้วยสิ
*****************************************
สำหรับแฟนเพลงของซิโมนหรือผู้ที่อยากฟังเธอร้องเพลงโชว์พลังเสียงแบบสดๆ ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2555 ซิโมนจะมาเปิดการแสดงภายใต้ชื่อ “Romantic Jazz Night With Simone Kopmajer” ที่ห้อง Grand Hall โรงแรม Millennium Hilton Bangkok ถนนคลองสานริมแม่น้ำเจ้าพระยา เวลา 20.00 น.(ประตูเปิด 19.00 น.) ผู้สนใจสามารถจองบัตรได้ที่ ThaiticketMajor ในราคา 1,500 บาท พร้อมรับส่วนลดพิเศษ 20% ในการรับประทานอาหารที่ห้องอาหาร Flow ของทางโรงแรมก่อนเข้าชมคอนเสิร์ตรับจำนวนจำกัด 500 ที่นั่งเท่านั้น (นอกจากนี้เธอยังจะปรากฏตัวอีกหลายที่ เช่น Hilton Pattaya, Chiang Mai เป็นต้น)
***********************************************************
คลิกฟังเพลง “Nothing’s Gonna Change My Love for You”
ใครที่ชอบเดินห้างสรรพสินค้า อาจจะเคยได้ยินเพลงของ “ซิโมน คอปเมเจอร์”(Simone Kopmajer) มาบ้าง เพราะอัลบั้มล่าสุดของเธอได้รับการเปิดตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำอยู่บ่อยครั้ง ถึงขนาดที่ใครและใครหลายคนเมื่อได้ฟังแล้ว แม้ยังไม่รู้จักว่าเธอเป็นใคร แต่ก็ได้หลงเสน่ห์ในน้ำเสียงของสาวคนนี้ไปอย่างจั๋งหนับบุเรงนองแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ดังนั้นก่อนที่จะไปสัมผัสกับบทเพลงในอัลบั้มล่าสุดของซิโมน เราไปทำรู้จักกับที่มาที่ไปของนักร้องสาวสวยเสียงดีคนนี้กันสักหน่อย แบบพอเป็นกระสือ เอ้ย!!! เป็นกระสัย
ซิโมน คอปเมเจอร์ เป็นชาวออสเตรีย เกิดในครอบครัวนักดนตรี เธอเริ่มเล่นเปียโนตั้งแต่เด็ก ก่อนจะมาค้นพบพรสวรรค์ด้านการขับร้องเพลงในเวลาต่อมา จนสามารถกวาดรางวัลมามากมายจากการเข้าร่วมประกวดการขับร้องเด็ก โดยเฉพาะตามรายการทีวีต่างๆในออสเตรีย
เมื่อโตขึ้นซิโมนได้ร่วมร้องเพลงกับวง Euro Big Band วงดังของยุโรปและของเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเหมือนต้นทางสำคัญในการเดินทางเข้าสู่ยุทธจักรดนตรีแจ๊ซ ซึ่งเธอมีไอดอลสำคัญคือ 2 ยอดนักร้องหญิง-ชาย คือ Ella Fitzgerald และ Frank Sinatra
นอกจากมีพรสวรรค์ทางด้านการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กแล้ว ซิโมนยังตอกย้ำความสามารถทางด้านดนตรีด้วยการเรียนจบปริญญาโทสาขา Music and Dramatic Arts จาก Graz University ในออสเตรีย โดยเธอได้ร่วมงานแสดงและบันทึกเสียงกับศิลปินตำนานเช่น Houston Pearson, Victor Lewis, Richie Cole, Ira Sullivan, Dick Oatts, George Mraz, Christian McBride, Larry Coryell, Allan Harris และ Eric Alexander เป็นต้น
ปัจจุบันซิโมนนอกจากจะเป็นนักร้องเพลงแจ๊ซชื่อดังในฟากฝั่งยุโรปแล้ว ยังเป็นครูผู้สอนการขับร้องให้กับสถาบันดนตรีหลายแห่งในกรุงเวียนนา ออสเตรีย อีกทั้งเธอยังได้รับการยกย่องจาก Scott Yanow นักวิจารณ์เพลงแจ๊ซชื่อดังของอเมริกา ให้เป็น 1 ใน 500 นักร้องเพลงแจ๊ซที่ดีที่สุดในโลกจากหนังสือ “The 500 Jazz Singers”
โดยล่าสุดเธอมีอัลบั้ม “Nothing’s Gonna Change” ออกมาเมื่อที่แล้ว ภายใต้สังกัด ค่าย Hitman Jazz ที่เพลงของเธอในอัลบั้มนี้ได้กลายเป็นเพลงดังประจำห้างสรรพสินค้าบ้านเรา(เพราะถูกเปิดบ่อย)
“Nothing’s Gonna Change” มีผู้ร่วมก่อการทางดนตรีร่วมกับซิโมนที่เป็นนักร้องนำและโปรดิวเซอร์ ได้แก่ Jamaaladeen Taacuma : เบส,Reinhardt Winkler : กลอง, Wolfgang Pusching : แซกโซโฟน,ฟลุ้ต และ John di Martino มือเปียโน มืออะเร้นจ์ และโปรดิวเซอร์ร่วมกับซิโมนซึ่งทั้งคู่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ชุดแรกแล้ว
อัลบั้มนี้มีทั้งหมด 14 เพลงด้วยกัน นำโดย“Nothing’s Gonna Change My Love for You” เพลงเอกแห่งอัลบั้มที่มาแบบป็อบแจ๊ซช้าๆ แม้ทางดนตรีจะต่างไปจากต้นฉบับของจอร์จ เบนสัน แต่โดยรวมยังคงไว้ด้วยอรรถรสเดิม ซิโมนร้องด้วยเสียงใสๆไม่บีบเค้น ฟังสบาย เปิดตัวให้เห็นถึงน้ำเสียงสวยๆของเธอที่จะร่ายมนต์ในเพลงอื่นๆต่อไป
ต่ออารมณ์กันด้วย “Home” ที่ซิโมนถ่ายทอดออกมาแบบหวานซึ้ง “How Deep Is Your Love” จังหวะกระชับขึ้นมาหน่อย แซกโซโฟนมาช่วยเติมสีสัน แม้ทางเพลงจะมาแนวสดใสแต่ช่วงนี้ผมฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกเศร้าต่อการจากไปของ“โรบิน กิ๊บบ์” แห่งบีจีไม่น้อย
ส่วน “Way Back Into Love” ออกแนวหวานๆน่ารัก, “Can't Take My Eyes Of You” ดนตรีเพลงนี้สนุก โดยเฉพาะเสียงเคาะกลอง(ปิดสแนร์)ในจังหวะขัดๆ มีแซกมาอิมโพรไวซ์ ซิโมนร้องเพลงจังหวะเร็วๆสนุกๆได้ดีไม่แพ้เพลงช้าและกลางๆ
“Just The Way You Are” บอสซ่าหวานๆใส ฟังเพลิน, “We're All Alone” หวานเศร้า มีลีลาของบัลลาดแจ๊ซที่เข้มพอตัว
ส่วน “I'll Have To Say I Love You” เพลงโฟล์คอมตะของจิม โคเช่ นำมาตีความใหม่เป็นป็อบแจ๊ซสนุก คึกคัก ดนตรีมันทั้งกลอง เบส มีฟลุ้ตมาอิมโพรไวซ์เป็นดาวเด่น เสียงร้องของซิโมนในเพลงนี้ฟังพลิ้ว สดใส
ถัดมาเป็น “Love Will Keep Us Alive” ละเมียดเพราะ สามารถผสมรสดนตรีในแบบต้นฉบับกับรสใหม่ได้อย่างกลมกลืน
“I'm Yours” อารมณ์เพลงนี้ออกเป็นป็อบติดกลิ่นเร็กเก้ไม่ฉีกอารมณ์ไปจากต้นฉบับสักเท่าไหร่ ซิโมนเปล่งน้ำเสียงเจือลูกอ้อน ดัดแต่พองาม ฟังน่ารักน่าชัง ขณะที่เบสเล่นไลน์โซโลฟังเก๋ไก๋
อารมณ์ป็อบใสๆน้ำเสียงอ้อนๆยังมีต่อในแทรคถัดมากับเพลง “When You Say Nothing At All”
จากนั้นย้อนยุคกลับไปในเพลงป็อบยุคคุณลุงอย่าง “Top Of The World” เพลงนี้ภาคเสียงร้องโดยรวมยังคงไว้ในอารมณ์เดิม ส่วนภาคดนตรีนี่เล่นแจ๊ซกันได้สนุกทีเดียว แซ็ก เปียโน อิมโพร์ไวซ์ ใส่กันได้อย่างน่าฟัง ต่อกันด้วย “How Do I Live” ในอารมณ์หวาน ฟังสบาย ร้องสบาย ไม่เน้นโชว์ฟลัง
ก่อนปิดท้ายกันด้วย “Imagine” ที่มาในอารมณ์เนิบช้า ดนตรีเปิดพื้นที่ให้ซิโมนโชว์ลีลาในทางบัลลาดแจ๊ซสั่งลา อัลบั้ม “Nothing’s Gonna Change” อัลบั้มแนวโรแมนติกแจ๊ซ ดนตรีฟังสบาย เครื่องดนตรีน้อยชิ้น เน้นซุ่มเสียงอะคูสติก เพื่อให้นักร้องได้เปล่งศักยภาพของพลังเสียงออกมาอย่างเต็มที่
สำหรับภาคดนตรีในเพลงนี้แม้เป็นโรแมนติกแจ๊ซ เป็นป็อบแจ๊ซ แต่ก็แฝงไว้ด้วยรายละเอียดชวนฟังที่ซุกซ่อนอยู่ และไม่ได้พยายามที่จะฉีกหนีอรรถรสของต้นฉบับไปแบบสุดกู่ หากแต่เป็นการผสมรสของต้นฉบับกับรสดนตรีที่เรียบเรียงใหม่ให้ออกมากลมกลืน ฟังสมู้ท รื่นไหล ที่สำคัญคือภาคดนตรีถือเป็นตัวหนุนส่งเสริมเสียงของนักร้องได้เป็นอย่างดีทีเดียว
ขณะที่น้ำเสียงของซิโมนนั้น เธอไม่ใช่นักร้องเพลงแจ๊ซประเภทบ้าพลัง หรือประเภทด่ำดิ่งอยู่กับความเศร้ารันทดเจืออารมณ์บลูส์โหยหวน หากแต่เธอมีน้ำเสียงที่สวยใส ผ่อนคลาย ออกแนวน่ารัก มีความเป็นป็อบเจืออยู่สูง ยิ่งยามที่เธอร้องแบบหยอดลูกอ้อนเข้าไปแต่พองาม ถือเป็นไฮไลท์ที่ทำให้คนฟังหลงเสน่ห์เอาได้ง่ายๆ
เรียกว่างานเพลงของเหมาะแก่การฟังผ่อนคลายอารมณ์ยิ่งนัก นั่นจึงทำให้ตามห้างสรรพสินค้า ตามร้านอาหาร ตามโรงแรม เปิดเพลงของเธออย่างแพร่หลาย
ส่วนใครจะฟังเพลงของซิโมนแบบเก็บรายละเอียดอย่างเอาเรื่องเอาราวก็ถือว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เพราะนี่เป็นการนำเพลงดังฮอตฮิตอมตะตั้งแต่ยุค 70s-ปัจจุบัน ในหลากหลายสไตล์ ทั้งป็อบ แจ๊ซ สแตนดาร์ด โฟล์ค มาคัฟเวอร์ ตีความขับขานใหม่ได้อย่างมีเสน่ห์น่าฟัง ซึ่งการนำเพลงดังๆในอดีตมาร้องใหม่นั้น แม้จะได้ในเรื่องของความคุ้นหู ติดหูเป็นทุนเดิม แต่ถ้านักร้องนักดนตรีพวกนั้นทำไม่ถึง มันย่อมได้รับกระถาง ก้อนอิฐ ก้อนดิน และเสียงด่า ตามมาอย่างช่วยไม่ได้
แต่สำหรับซิโมนในอัลบั้มนี้ถือว่าเธอสอบผ่านสบายแถมยังได้คะแนนสูงเสียด้วยสิ
*****************************************
สำหรับแฟนเพลงของซิโมนหรือผู้ที่อยากฟังเธอร้องเพลงโชว์พลังเสียงแบบสดๆ ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2555 ซิโมนจะมาเปิดการแสดงภายใต้ชื่อ “Romantic Jazz Night With Simone Kopmajer” ที่ห้อง Grand Hall โรงแรม Millennium Hilton Bangkok ถนนคลองสานริมแม่น้ำเจ้าพระยา เวลา 20.00 น.(ประตูเปิด 19.00 น.) ผู้สนใจสามารถจองบัตรได้ที่ ThaiticketMajor ในราคา 1,500 บาท พร้อมรับส่วนลดพิเศษ 20% ในการรับประทานอาหารที่ห้องอาหาร Flow ของทางโรงแรมก่อนเข้าชมคอนเสิร์ตรับจำนวนจำกัด 500 ที่นั่งเท่านั้น (นอกจากนี้เธอยังจะปรากฏตัวอีกหลายที่ เช่น Hilton Pattaya, Chiang Mai เป็นต้น)
***********************************************************
คลิกฟังเพลง “Nothing’s Gonna Change My Love for You”
