“เซอร์ไพรส์” ใครๆ ก็ชอบคำนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่ทำให้มันเกิดขึ้นได้บ่อยๆ และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ “ปาล์มมี่-อีฟ ปานเจริญ” ตลอด 12 ปี บนเส้นทางสายดนตรี ทุกความเคลื่อนไหวที่ผ่านมือเธอคนนี้ ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความแปลกใหม่หรือไม่ก็สร้างปรากฏการณ์อะไรสักอย่าง
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เป็นอีกหนึ่งครั้งที่เธอยอมให้วิญญาณเด็กดื้อที่มีอยู่ข้างใน ปลุกให้ตัวเองลุกขึ้นมาทำเรื่องใหม่ๆ เรื่องที่ไม่เคยทำมาก่อน ด้วยเหตุผลสั้นๆ ง่ายๆ ที่ว่า “มี่เป็นคนขี้เบื่อค่ะ”
ปาล์มมี่ = ผู้หญิงขี้เบื่อ
“มี่กำลังจะทำเรื่องที่มี่ไม่เคยได้ทำ งานครั้งนี้ มี่ดูแลเองทุกขั้นตอน ทั้งแสง สี เสียง เวที สคริปต์ ฯลฯ แล้วก็มีเพื่อนๆ มาช่วยๆ กัน ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับมี่มาก” น้ำเสียงและแววตาของคนที่อยู่ตรงหน้า บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอกำลังใจเต้นตุบๆ อย่างที่พูดจริงๆ
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เป็นอย่างนั้นก็คือ “Palmy Barefoot Acoustic Concert” ที่กำลังจะมีขึ้น เป็นคอนเสิร์ตอะคูสติกเต็มรูปแบบครั้งแรกในชีวิตการเป็นศิลปิน และเป็นความฝันที่เธอปั้นค้างเอาไว้ในใจมานานมาก ตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว เมื่อครั้งมีโอกาสร่วมแสดงคอนเสิร์ตกับวงทีโบน
“แต่ครั้งนั้น จะให้เป็นอะคูสติกอย่างเดียวมันเป็นไปไม่ได้ เพราะทีโบนเขาเล่นแนวเรกเก้-สการ์ มันต้องมีเครื่องดนตรีไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็เลยออกมาอีกแบบหนึ่ง แต่มี่ก็รักคอนเสิร์ตนั้นมากค่ะ แล้วก็เริ่มมีไอเดียที่อยากจะทำคอนเสิร์ตเล็กๆ แบบนั้นอีก ก็เลยคลำทางมาเรื่อย
เพลงมี่ค่อนข้างจะเป็นอะคูสติกอยู่แล้ว ทั้งเพลงเก่าๆ อย่าง กลัว, Stay, กุญแจที่หายไป ฯลฯ แล้วก็ในอัลบั้ม 5 อีกหลายๆ เพลง มี่เลยรู้สึกว่าเราน่าจะเอาเพลงพวกนี้มาทำอะไรสักอย่าง ทำให้มันเป็นอะคูสติกจริงๆ ถามตัวเองมาตลอดว่าอยากได้แบบไหน เล่นเป็นแนวไหน จะเล่นออกมาแล้วเหมือนเดิมเหรอ ถ้าเล่นออกมาเหมือนเดิมก็ไม่ต้องทำก็ได้”
ชัดเจนว่าเธอไม่ชอบทำอะไรซ้ำๆ เดิม ถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ปาล์มมี่ได้แต่ยิ้มแล้วให้เหตุผลสั้นๆ ว่า “เพราะมี่เป็นคนขี้เบื่อค่ะ” และที่เบื่อบ่อยที่สุดก็คือเบื่อตัวเอง
“มี่เบื่อตัวเองบ่อยมาก เบื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ มี่ก็เลยพยายามหาอะไรใหม่ๆ ต้องคอยเปลี่ยนบรรยากาศเรื่อยๆ คอยดูว่าตอนนี้มี่อยากขยับมาทำตรงนี้แล้วนะ ตอนนี้มี่ไม่พร้อมกับที่เดิมแล้วนะ หรือไม่อยากทำแล้ว อยากถอยกลับไปอยู่เฉยๆ แล้ว มี่แค่รู้สึกว่า มี่อยากจะเติมในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
มี่ไม่ได้ตั้งความหวังเอาไว้นะว่า วันนี้มี่จะทำสิ่งที่แปลกและไม่เหมือนใคร มี่ไม่เคยคิดอะไรอย่างนั้นเลย (พูดไปยิ้มไป) มี่แค่คิดว่ามี่อยากทำเพลงแบบไหน มี่ชอบอะไร ตอนนี้มี่อยากร้องอะไร อยากมีเพลงที่พูดถึงอะไร ช่วงเวลานี้มี่รู้สึกยังไง
บางที พอเราได้นั่งคิดอะไรไปเรื่อยๆ ก็จะเจอกับอะไรหลายอย่างที่มันสามารถเดินไปข้างหน้าได้ บางเรื่องที่คิดว่าถึงทางตันแล้ว เราอาจจะต้องหยุดทำมันก่อน แล้วก็หันมามองว่ามันใช่อย่างที่เราต้องการหรือเปล่า สำคัญที่สุดคือความสุขค่ะ มันคือคำตอบของทุกอย่าง”
เหมือนอย่างที่เธอปล่อยเวลาให้ความคิดตกตะกอน จนได้คำตอบให้กับคอนเสิร์ตในฝันของตัวเองเรียบร้อยแล้วว่า อยากทำมันออกมาในรูปแบบ "อะคูสติก คันทรี-โฟล์ค" ดึงเอาเพื่อนนักดนตรีระดับหัวกะทิที่ถนัดเล่นสไตล์นี้ บินตรงจากนิวยอร์กมาร่วมแจม มั่นใจว่าจะเป็นอีกก้าวที่แปลกใหม่และไม่น่าเบื่อ อย่างน้อยก็สำหรับคนที่ไม่ชอบย่ำอยู่กับที่อย่างเธอ
แค่ต้องการ “คนที่ใช่”
ในช่วงที่มีคอนเสิร์ต “บอดี้สแลมนั่งเล่น” มีข่าวว่าทาง ป๋าเต็ด-ยุทธนา บุญอ้อม ผู้บริหารบริษัท เกเร จำกัด ผู้จัดงาน เคยชวนปาล์มมี่มานั่งเล่นคอนเสิร์ตเบาๆ ในรูปแบบเดียวกัน “แต่สุดท้ายก็คลาดเคลื่อนกัน อาจจะเพราะตอนเราทำงาน เราทัวร์ เขาทำโปรเจกต์อื่นอยู่ เลยยังไม่ได้ตกลงอะไรกัน จนมาลงตัวที่พี่เล็กค่ะ”
“พี่เล็ก” ที่ปาล์มมี่หมายถึงคือ “ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์” คนที่กลายมาเป็นกุญแจดอกสำคัญที่ทำให้ความฝันของปาล์มมี่ในการทำคอนเสิร์ตครั้งพิเศษครั้งนี้เดินหน้าต่อไปได้
“พี่เล็กเคยเล่นคอนเสิร์ต กา..กา..กา ให้มี่ หลังจากนั้นก็คุยกันเรื่อยมา เริ่มสนิทกันมากขึ้น ไปทานข้าวด้วยกันบ่อยๆ ก็คุยกันตามประสาเพื่อนว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่และอยากจะทำอะไรในอนาคต คุยกันหลายเรื่องมาก แล้วก็หยิบเรื่องที่เป็นไปได้มากที่สุดขึ้นมา ก็คือเรื่องคอนเสิร์ตอะคูสติกนี่แหละค่ะ เพราะมี่อยากทำเรื่องนี้มานานมากๆ แล้ว เพียงแต่ยังไม่เจอทีมที่คิดว่า...” ปาล์มมี่ให้คำจำกัดความไม่ถูก เดาเอาว่าเธอคงหมายถึง เพื่อนร่วมงานที่คิดว่า “ใช่”
สำหรับนักร้องสาวสไตล์จัดอย่างเธอแล้ว การเลือกเพื่อนร่วมงานคือเรื่องที่สำคัญที่สุด “สำคัญพอๆ กับเรื่องฝีมือเลยค่ะ หมายถึงว่าถ้างานครั้งนี้มี่ไม่ได้พี่เล็กซึ่งเป็นเพื่อน และเขาก็เข้าใจในสิ่งที่มี่อยากได้ มันคงไม่เกิดขึ้น มี่รู้สึกว่าการคุยกันรู้เรื่องและเป็นเพื่อนร่วมงานที่คุยกันตรงไปตรงมาได้ มันสำคัญมากอะ สำหรับมี่ เพื่อนร่วมงานแบบนี้หายากเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าทำไม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะวัฒนธรรมการสื่อสารด้วยหรือเปล่า”
เธอปิดท้ายด้วยรอยยิ้มปลงๆ เหมือนคนที่เจอปัญหาเหล่านี้มาเยอะ ถามต่อว่าวัฒนธรรมการสื่อสารบ้านเราเป็นอย่างไร คุยกันตรงๆ ไม่ค่อยได้ พูดแล้วเหมือนชวนทะเลาะ? คนถูกถามหัวเราะเบาๆ กลับมาเป็นคำตอบ แล้วบอกว่า “มันเลยไม่สนุกไง”
พอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดจึงมีคำร่ำลือจากคนในวงการบางส่วนพูดถึงเธอว่า “ติสต์” “ทำงานด้วยยาก” อาจเป็นเพราะปัญหาเรื่องการสื่อสารกันไม่เข้าใจนี่เอง แต่เมื่อลองถามจากปากคนที่ใช้เวลาหลายปี คลุกคลีทำงานร่วมกับเธอ กลับได้รับคำตอบที่ต่างออกไปราวฟ้ากับเหว
“เคยได้ยินมา หลายคนบอกว่า โห! มี่ติสต์มากนะ แต่พอเรามาร่วมงาน เรารู้สึกว่าไหนอ่ะ ตรงนั้นมันอยู่ไหนเหรอ สนุกจะตาย มีอะไรก็คุยกัน ตรงไหนไม่ดีก็พูดว่าไม่ดี ตรงไหนดีก็ดี มันเป็นเรื่องงานล้วนๆ เลย และมี่ก็ชัดเจนมากว่าเขาต้องการอะไร” เล็ก-อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร หรือ เล็ก Greasy Cafe’ นักแต่งเพลงและเรียบเรียงดนตรีให้ปาล์มมี่ในอัลบั้ม 5
“ผมคิดว่าถ้าเข้าใจเขา ก็ทำงานด้วยกันไม่ยาก เรียกว่าเขาเป็น perfectionist คนนึงเลย ทำอะไรต้องให้มันเจ๋งที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด ไม่ว่าจะต้องแก้กี่สิบครั้ง เหมือนผมสมัยก่อนตอนที่เข้าวงการใหม่ๆ ผมเป็นแบบมี่เลย ผมเลยเข้าใจเขาว่ารู้สึกยังไง” ก้อ-ณฐพล ศรีจอมขวัญ โปรดิวเซอร์อัลบั้มล่าสุดของปาล์มมี่
“สำหรับผมการทำงานกับมี่มันง่ายมาก ทุกอย่างค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว และมี่ก็เป็นคนที่คุยกันตรงไปตรงมา ผมก็ตรงไปตรงมา ก็เลยคุยกันง่าย” ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์ พูดในฐานะ มิวสิกไดเร็กเตอร์งาน Palmy Barefoot Acoustic Concert
“มิตรภาพ” ไม่มี... ไม่เอา!
ตลอดเส้นทางที่เลือกเดินมานานถึง 12 ปี หันกลับไปมองเส้นทางสายนี้ ทำให้ปาล์มมี่พบว่ามุมมองของเธอเปลี่ยนแปลงไปมากเหมือนกัน “แต่ก่อนตอนทำงาน เราต้องถามตัวเองตลอดว่า ทำไมเราถึงไม่มีความสุข ทำไมดนตรีมันถึงเครียดขนาดนี้เนี่ย เฮ้ย! ทำไมมันเครียดขนาดนี้วะ ทำไมเราต้องทำอันนี้ด้วย จะเป็นอารมณ์ประมาณนั้นตลอด”
แต่หลังจากหันหลังให้วงการนานกว่า 3 ปี ออกไปใช้ชีวิตแบบไร้สังกัด คุยกับตัวเองจนได้คำตอบว่ายังอยากไปต่อในอาชีพนี้ จึงกลายมาเป็นรูปแบบการทำงานที่ลงตัวที่สุดครั้งแรกในชีวิตของเธอ ออกมาเป็นอัลบั้ม 5 อัลบั้มล่าสุดที่ปาล์มมี่ปลุกปั้นทุกขั้นตอนมากับมือ ถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะหลงรักการทำงานในรูปแบบนี้เสียแล้ว รูปแบบที่ไม่มีกรอบหรือกฎเกณฑ์ใดๆ มาครอบไว้
“ไม่ได้ถูกบีบเรื่องเวลา ไม่มีกฎเกณฑ์จากใครตั้งเอาไว้ ไม่ต้องทำงานไปส่งใคร หัวหน้างานคือมี่เองกับพี่ก้อ (โปรดิวเซอร์ในอัลบั้ม 5) มี่เลยรู้สึกว่ามี่อยากทำเมื่อไหร่มี่ก็ทำ วันนี้ไม่พร้อม หยุดก่อนสัก 2 เดือน โอเค ปิดบริการ 2 เดือน (หัวเราะ) แล้วมีอารมณ์ค่อยกลับมาอีกที ทำกันต่อสักเพลง 2 เพลง อ้ะ! พี่ก้อ ไม่ว่าง งั้นเบรกไว้ก่อน มันเป็นการทำงานแบบสบายๆ อ่ะค่ะ มันเลยทำให้ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะการทำอัลบั้มหรือทำอะไร มี่ตั้งเป้าเอาไว้เลย มี่ต้องความสุขกับวันที่มี่ต้องไปทำงาน กับคนที่มี่เลือกมาทำงาน กับคนที่มี่เดินไปหาเขาและเราได้พูดคุยกัน”
และถึงแม้จะมุ่งมั่นกับงานที่ทำขนาดไหน แต่เธอก็ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องความรู้สึกมาเป็นอันดับหนึ่ง “ไอ้เรื่องข้างนอกมันจะมีปัญหามากมายอยู่แล้ว เรื่องอุปสรรคในการทำงานมันเกิดขึ้นได้ตลอด แต่ข้างในวงนี้ต้องอย่าตีกันเอง ไม่อย่างนั้นมันจะพากันเละไปหมด เพราะเรายังต้องรับเรื่องต่างๆ จากภายนอกเข้ามาเยอะมากๆ อยู่แล้ว กว่าที่งานแต่ละครั้งจะสำเร็จ สำหรับมี่ มันไม่สำคัญเลยว่า เราได้เพลงมาแล้ว แต่สุดท้ายเราต้องมาเกลียดกัน มิตรภาพและความสุข คือสิ่งที่มี่ต้องการ ถ้ามันไม่มีอย่างนั้น เอาเพลงกลับไปเลย (ยื่นมือให้)”
นอกเหนือไปจากนั้น ถ้าจะคุยกันให้รู้เรื่อง ระหว่างศิลปินกับศิลปินแล้ว ไม่ต้องมีอะไรมากเลย มีแค่ “ภาษาดนตรี” ก็เพียงพอ เหมือนอย่างคอนเสิร์ตอะคูสติกที่กำลังจะมีขึ้น ถึงเพื่อนร่วมวงทุกคนจะเป็นชาวต่างชาติ เป็นคนที่ไม่เคยคุ้นหูเพลงฮิตๆ ของปาล์มมี่มาก่อน แต่เจ้าของคอนเสิร์ตก็ยืนยันว่านี่แหละคือสิ่งที่เธอต้องการ
“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเราต้องการให้เขาเล่นอย่างมีประสิทธิภาพในแบบที่เขาเป็นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพลงจีน เพลงฮ่องกง เพลงฝรั่งเศส มี่ว่ามันไม่สำคัญเลย แต่ที่ลุ้นมากเลยคือ เคซี่ (Casey Shea) ที่เป็นคนร้องประสานให้กับมี่ เขาต้องร้องประสานเป็นภาษาไทย (ยิ้มอย่างเอ็นดู) อันนั้นน่าสงสารมาก มันก็เลยเป็นเรื่องยากมาก แล้วก็กดดันมาก เดี๋ยวรอดูว่าเมื่อไหร่เคซี่จะยกธงขาวและบอกว่าไม่ไหวแล้ว มี่อาจจะเปลี่ยนให้คนไทยมาร้องประสานแทน (หัวเราะ) แต่ว่ามี่เลือกแล้วค่ะว่าจุดมุ่งหมายมี่คือ มี่อยากได้ดนตรีที่มันดีมากจริงๆ ที่ออกมาจากฝีมือคนเหล่านี้
เพราะในรูปแบบเพลงอเมริกัน (สไตล์คันทรี่-โฟล์ค) ถ้าให้คนไทยเล่น สกิลมันก็อาจจะได้ แต่ก็คิดว่า ทำไมล่ะ ทำไมเราไม่เอาคนที่เขาเป็นแบบนั้นจริงๆ เกิดแบบนั้น เสพดนตรีแบบนั้น เล่นดนตรีแบบนั้น เอามาเล่นให้เรา เราก็แทบไม่ต้องปรับอะไรแล้ว แถมมันยังเป็นผลดีกับคนฟังเพลงด้วย แล้วก็เป็นผลดีกับมี่เองด้วยค่ะ เป็นประสบการณ์ เป็นการทำงานในอีกแบบหนึ่งที่มี่จะได้รับ เพราะมี่ก็ต้องพัฒนาตัวเองเรื่องทักษะ เพื่อจะทำงานร่วมกันได้ทั้งหมด”
เสน่ห์ของความเรียบง่าย
อะไรคือเสน่ห์ของดนตรีแนวคันทรี่-โฟล์ค? คนถูกถามนิ่งคิดพักใหญ่ๆ ก่อนให้คำตอบว่า “เสน่ห์ของมันคือน้อยชิ้น และมี่ก็แฮปปี้ที่เวลามี่ร้องเพลงแล้วมี่ได้ยินตัวเองชัด ได้ยินชัดๆ (เน้นอีกครั้ง) ไม่อย่างนั้นมี่จะรู้สึกว่า อ้า... (ทำท่ากุมขมับ) ปกติ มันจะมีเสียงเครื่องดนตรีไฟฟ้า โหว่ง-หว่าง ตลอดเวลา คือช่วงเวลานึงเราอยู่ด้วยกันได้ แต่มี่จะชอบเสียงเครื่องดนตรีเบาๆ มากกว่าค่ะ มันไม่ใช่แค่คนฟังแฮปปี้ มี่เองก็แฮปปี้มาก
การเป็นคันทรี่ เป็นชนบท ก็คือไม่ต้องสรรหาอะไรมาก คุณมีแค่ไหนคุณเล่นแค่นั้น หยิบอะไรมาเล่นก็ได้ แต่มันต้องออกมาเพราะนะ เพราะมันเล่นกันอยู่ไม่กี่คน ไม่ได้มีตัวช่วยมากมาย ไม่มีซัพพอร์ตเยอะ แต่ 4-5 คนนี้ต้องเล่นออกมาแล้วให้มันอยู่ในมวลที่คนฟังอิ่มได้ นึกออกมั้ยคะ ไม่ใช่เอากีตาร์ไฟฟ้ามาสาดๆ พร้อมกัน 3 คน อันนั้นแค่เปิดดังๆ ก็มันได้แล้ว”
อาจเป็นเพราะจังหวะชีวิตของปาล์มมี่ในวันธรรมดาเองก็เรียบง่าย เลยทำให้เธอชอบดนตรีแนวนี้ ปกติแล้วในตอนที่ไม่ได้อยู่บนเวที มือถือไมค์-ไฟส่องหน้า เธอคือผู้หญิงติดดินคนหนึ่งที่มีความสุขกับการอยู่บ้าน ปลูกต้นไม้ จัดดอกไม้ แต่งบ้าน ทำนู่นทำนี่ไปเรื่อย เพลิดเพลินกับการสร้างบรรยากาศให้ที่บ้านน่าอยู่
“ใช้ชีวิตอย่างที่เห็นเวลาโพสต์ในเฟซบุ๊กเลยค่ะ ชอบดูต้นไม้ ปลูกต้นไม้ ขุดโน่นขุดนี้มาปรับเปลี่ยน ทำกับข้าว เรียกเพื่อนมาสังสรรค์ หาซื้อของเก่ามาแต่งบ้าน มีความสุขกับสิ่งเล็กๆ มี่เป็นคนเรียบง่ายมาก (ยิ้ม)”
ในอีกมุม ปาล์มมี่ก็เป็นคนรักสัตว์มากๆ คนหนึ่ง ทุกวันนี้มี “เจ้าเปี๊ยก” สุนัขพันธุ์ชิวาว่าเป็นเพื่อนรู้ใจอยู่เคียงข้างกาย วันไหนอารมณ์ดีๆ ก็จะได้เห็นภาพคู่ เจ้าเปี๊ยก-แม่มี่ อัพลงในแฟนเพจ Palmy5 ด้วยนิสัยส่วนตัวข้อนี้เองที่ทำให้เธอเลือกที่จะมอบรายได้จากคอนเสิร์ต Palmy Barefoot Acoustic Concert หลังหักค่าใช้จ่ายให้กับ “ศูนย์อนุรักษ์ช้างกาญจนบุรี บ้าน ช.ช้างชรา” ซึ่งตั้งอยู่ที่บ้านหนองหอย ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี
“มี่ว่าทุกคน ไม่ว่าจะสัตว์ ต้นไม้ หรือมนุษย์ ก็ล้วนแล้วแต่ต้องการที่ที่ตัวเองรู้สึกปลอดภัย คนเราก็ต้องการบ้านที่อบอุ่น ต้องการครอบครัว ต้องการเพื่อน ต้องการที่อยู่ที่เรารู้สึกปลอดภัยและไม่มีอะไรมาทำร้ายเรา สัตว์ก็เหมือนกันค่ะ ไม่ว่าจะชนิดไหน มันก็ต้องอยู่ในที่ที่มันควรจะอยู่ อย่างช้าง ถ้าอยู่ในป่า อยู่ในธรรมชาติ คุณจับมาเดิน บังคับให้เดินทางนู้นทางนี้ หลบรถมอเตอร์ไซค์หน่อย วันนี้เดี๋ยวเบนเข้าซอยนะ เพื่อหาคนให้กล้วย มันก็กินแต่กล้วยอยู่อย่างนั้น มันอาจจะอยากกินอย่างอื่นบ้างก็ได้ อาจจะอยากหากินเอง
ไม่รู้สิ ถ้าจะต้องเห็นอะไรแบบนั้น ไม่ได้ดัดจริตนะ แต่เราจะรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมอ่ะ เขาก็อยู่ร่วมสังคมกับเรา ใครก็แล้วแต่ที่ทำกับสัตว์ได้ก็... มันไม่มีทางสู้น่ะ มาสู้กับคนดีกว่า คือเรื่องการทำบุญไม่ใช่ประเด็นของคอนเสิร์ตนะ แต่มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่า เราไม่ได้แค่มาสนุกกันอย่างเดียว แต่มันมีความหมายให้กับอะไรต่อไปด้วย”
เหตุผลที่ต้อง “Barefoot”
ศิลปินหญิงเสียงสวย+performance เยี่ยมยอด+ถอดรองเท้าร่ำร้อง+ร่ายรำอยู่บนเวที = ปาล์มมี่... สมการนี้ยังเป็นของเธอทุกยุคทุกสมัย และไม่มีใครสามารถแย่งชิงเอกลักษณ์เหล่านี้ไปได้ โดยเฉพาะการเปลือยเท้าร้องเพลง เวทีไหนไม่ได้เห็นเธอสลัดอิสรภาพจากรองเท้า แฟนๆ อาจนอนไม่หลับ หรือคิดไปว่าเป็นปาล์มมี่ตัวปลอม ผู้สัมภาษณ์นึกชื่นชมครีเอทีฟค่ายเพลงของปาล์มมี่ในยุคนั้นอยู่ในใจ ที่ไหนได้ ถามเจ้าตัวดูจึงได้รู้ที่มาที่ไปว่าเกิดจากความบังเอิญ
“มันมาจากคอนเสิร์ตครั้งแรก เมื่อ 11 ปีที่แล้วที่ธรรมศาสตร์ค่ะ มี่ไม่รู้รูปแบบว่า มันคืออะไรเหรอการเล่นคอนเสิร์ตใหญ่ เพราะว่ามี่ก็เด็กมาก มี่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ไม่มีรูปแบบในหัวว่าสรุปแล้วมี่ต้องทำอะไร จะให้ขึ้นไปร้องเปล่าๆ เลย แล้วยังไงต่อ วันนั้นมี่เครียดมาก ทุกอย่างที่มี่ทำให้ตัวเองสบายตัวได้ มี่ทำหมด ถ้ามี่แก้ผ้าได้ มี่แก้แล้ว (อมยิ้ม)
เพราะวันคอนเสิร์ตจริงมี่ไม่สบาย หมอมาหลังเวที ฉีดยาให้ 2 เข็ม นอนหลับไป 1 ชั่วโมง ตื่นขึ้นมาคือมี่ไม่เอาอะไรแล้วในโลกใบนี้ มี่แค่อยากออกไป (อ้าแขนปลดปล่อย) มี่อยากได้พลังนั้น มี่ก็เลยทำตัวเองให้สบายที่สุด มี่จำภาพวันนั้นได้เลย ตอนแรกจะใส่หมวก จะใส่รองเท้า แต่พอวันจริงก็บอก โอ๊ย! มี่ไม่เอาแล้ว หมวกมี่ก็ไม่เอา ไม่เอารองเท้า แต่งหน้าอะไร พอแล้ว ไม่ต้องมายุ่งแล้ว (ยิ้ม) เอาแค่นี้แหละ แล้วก็เลยถอดออกหมดแล้วเดินออกไปอย่างนั้น มันเป็นอารมณ์นั้นน่ะ หลังจากนั้น มันก็ดำเนินไปเรื่อยๆ มี่ก็ถอดรองเท้าเป็นเรื่องธรรมชาติ มี่ไม่ได้คิดว่ามี่จะสร้างเอกลักษณ์อะไรนะ แต่พอทำไปแล้ว คนก็ไปจำภาพนั้น”
และถ้าเป็นไปได้ นักร้องเท้าเปล่าคนนี้ก็อยากให้แฟนๆ ลองปลดปล่อยตัวเองด้วยการถอดรองเท้าดูสักครั้ง “เพราะมี่รู้สึกว่าการที่เท้าของเราได้สัมผัสกับพื้นเวที พื้นดิน หรือพื้นหญ้า เราจะได้รับความรู้สึกที่แท้จริงของบรรยากาศนั้นๆ มันให้ความรู้สึกเลยว่าเราอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ เหมือนอย่างเวลาเราไปชายทะเล ถ้าเท้าไม่ได้สัมผัสทราย หรือไม่ได้สัมผัสน้ำทะเล มันเหมือนว่าเรายังไปไม่ถึงที่ เหมือนยังไม่ได้รับพลังงานจากทะเล ต่อให้มันอยู่ตรงหน้าเราแล้ว”
ใจจริงแล้ว เธอเคยคิดเอาไว้เล่นๆ ว่าอยากให้คนที่มาดูคอนเสิร์ตทุกคนได้ Barefoot หรือเปลือยเท้าเข้าไปร่วมสนุกกัน “มี่อยากมีที่ฝากรองเท้าด้วยซ้ำ แต่ตู้รองเท้าคงต้องมี 5,000 ช่องนะ (ฮอลล์คอนเสิร์ตมี 5,000 ที่นั่ง) แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีตังค์ซื้อตู้เลยค่ะ (ยิ้ม)”
คิดสารัตถะแล้ว กลัวว่าจะมีปัญหาเรื่องรองเท้าหายตามมา อาจต้องเพิ่มตำแหน่งเจ้าหน้าที่ดูแลรองเท้าเข้าไปอีก เจ้าของความคิดเลยได้แต่พูดติดตลกเอาไว้ว่า “เอาไว้สังคมเรามีระเบียบเมื่อไหร่ เราคงจะทำได้ค่ะ (หัวเราะ) เอาเป็นว่า ใครสะดวกใจที่จะถอดรองเท้ามาดู มี่ก็จะยินดีมาก เพราะ Barefoot สำหรับมี่ในครั้งนี้คือการเปิดใจค่ะ เปิดหมด ไม่มีอะไรต้องปิดบัง มี่มาเท้าเปล่า ก็อยากให้ทุกคนมาเปิดประสบการณ์นี้ไปพร้อมกับมี่ มาฟังเพลงอีกสไตล์นึง มี่อยากบอกว่ามี่กำลังทำเรื่องที่ไม่เคยทำ มี่ตื่นเต้นมากค่ะ และมี่อยากให้มันอบอุ่น”
ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าอะคูสติกที่เธอตีความเอาไว้เป็นแบบไหน บอกได้แค่ว่า “มี่มีงานแบบนี้ อะไรที่มี่สอดไส้เอาไว้ข้างในก็เหมือนแยมโรลอ่ะค่ะ ปาล์มมี่จะทาไส้อะไรไว้ คุณต้องมาลิ้มรสเองวันนั้น มี่ไม่สามารถมาแบไส้ให้ดูตั้งแต่แรกแล้วบอกว่า อยากกินมั้ย มี่ไม่ได้เป็นคนทำอาหารแบบนั้น”
ส่วนเรื่องเซอร์ไพรส์มีแน่นอน ใบ้เอาไว้ว่าแขกคนสำคัญเป็นศิลปินเดี่ยวชาวไทย ส่วนจะเป็นใครและจะขึ้นไปวาดลวดลายได้โดนใจขนาดไหน ต้องหาคำตอบเอาเองใน “Palmy Barefoot Acoustic Concert” วันที่ 21-22 กันยายนนี้ เวลา 19.00 ณ ฮอลล์ 106 ไบเทค บางนา แต่กว่าจะถึงวันนั้น นักร้องสาวคนนี้ก็จะซ้อมกับวงและ arrange เพลงไปจนกว่าจะนาทีสุดท้าย เพื่อให้คอเพลงได้ฟัง 26 บทเพลงฮิตของเธอในแบบที่ไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
“อย่างที่รู้ค่ะว่ามี่ไม่ค่อยจะพอใจกับอะไรสักเท่าไหร่ คนที่ได้ฟังตัวอย่างจากมินิคอนเสิร์ตวันแถลงข่าว พอถึงวันจริง เราอาจจะเล่นเพลงเดิมไม่เหมือนเดิมแล้วก็ได้ มี่กับวงยังต้องปรับกันไปเรื่อยๆ ค่ะ เพราะนั่นแหละคือความหมายของดนตรี”
หนุ่มเล็ก-สาวมี่ คู่ซี้มาดเซอร์ |
ไม่ใช่ หนุ่มบาว-สาวปาน แต่เป็น หนุ่มเล็ก-สาวมี่ สาเหตุที่ต้องเรียกชื่อเป็นแพ็กเกจอย่างนี้ เป็นเพราะระยะหลังๆ เห็นทั้งคู่มีโปรเจกต์ร่วมกันตลอด แถมยังถ่ายรูปอัปลงอินสตาแกรมอยู่เป็นระยะๆ สงสัยว่าอะไรดึงดูดให้หนุ่มสาวมาดเซอร์มาเป็นเพื่อนซี้กันได้ จึงจับทั้งคู่มานั่งสนทนา นั่งยางเผากันไปมาให้ฟังเสียเลย M-Lite: เคมีอะไรในตัวที่ดึงดูดให้มาสนิทกัน? ปาล์มมี่: ใครจะไม่รักพี่ฮิวโก้ล่ะคะ (ยิ้ม) เขาทั้งเก่ง ทั้งเป็นที่ปรึกษาให้เรา เขาเป็นเหมือนพี่ชายมี่อ่ะ เอาใจใส่การซ้อมมาก มี่โชคดีมากที่ได้เจอเขาค่ะ เราสองคน ใจกับใจอย่างเดียวเลย ฮิวโก้: มันคงเป็นอาการความเพี้ยนของลูกครึ่งมั้งครับ ลูกครึ่งทุกคนก็จะงงนิดนึง เพราะจะถูกมองเป็นคนนอกตลอด แต่ในขณะเดียวกัน ความเป็นลูกครึ่งในยุคสมัยนี้มันก็ได้เปรียบ ก็ได้เป็นคนในด้วย พอเป็นคนประเภทเดียวกัน เป็นลูกครึ่ง มันจะเข้าใจว่าการเป็นทั้งคนในและคนนอก มันเป็นอะไรที่ประหลาด เหมือนไม่มีพวก ผมว่านะ และเขาก็เป็นนักร้องที่มีรสนิยมค่อนข้างจัด ซึ่งผมชอบ ผมคุยกับคนแบบนี้รู้เรื่อง คนที่รู้ว่าตัวเองคือใคร รู้ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร สามารถให้คำตอบที่จริงได้ และเขาก็มาดีกับเรามาก มารยาทดีกับเราเหลือเกิน เกินที่ควรจะเป็นด้วยซ้ำ (ยิ้ม) แล้วคุยไปคุยมา เขาก็เป็นคนที่มันดีอ่ะครับ เป็นคนที่สนุก กับฮาน่า (ทัศนาวลัย จักรพงษ์) เขาก็เข้ากันดี พอดีว่าเพื่อนผู้หญิงเขาไม่ค่อยมีด้วย ยิ่งพอทำอาชีพเดียวกัน มันก็เหมือนพอจะปรึกษากันได้ และไม่ใช่ว่าผมเป็นฝ่ายให้คำปรึกษาฝ่ายเดียว ช่วงที่ผมเหนื่อยๆ ผมก็ปรึกษาเขาได้เหมือนกัน M-Lite: เป็นเพราะไลฟ์สไตล์คล้ายๆ กันด้วยหรือเปล่า เห็นชอบใส่หมวกเหมือนกัน ปาล์มมี่: อ้อ หมวก (หัวเราะ) ฮิวโก้: ใช่ๆ ชอบใส่หมวกใส่บูท ปาล์มมี่: มี่เหลือไว้เคราอย่างเดียวค่ะที่ไม่เหมือน ฮิวโก้: เขาก็ชอบไว้หนวดนะ ปาล์มมี่: มี่ชอบมากอ่ะ แต่มี่มีน้อย ฮิวโก้: แต่เขาก็จะมีติดหนวดเพิ่มนะ ใน MV เพลง Shy boy ของเขา (ยิ้ม) |
M-Lite: ส่วนใหญ่เวลาไปแฮงก์เอาต์ด้วยกัน ทำอะไร? ปาล์มมี่: นั่งด่าชาวบ้านค่ะ (หัวเราะร่า) ฮิวโก้: เป็นนักวิจารณ์ครับ (ยิ้มกวนๆ) M-Lite: ฮิวโก้โกอินเตอร์ไปแล้ว ร่วมงานกัน ปาล์มมี่คิดอยากไปบ้างมั้ย? ปาล์มมี่: ไม่เคยคิดเลยค่ะ เพราะความสามารถไม่ถึง ฮิวโก้: มันก็ไม่แน่หรอก ถ้ามีคนชวน เขาก็คงไปแหละ ปาล์มมี่: ไม่ค่ะ ไม่ไป ฮิวโก้: ถ้าค่ายใหญ่ๆ มาชวน เขาก็ไป ไม่มีนักร้องคนไหนไม่ไปหรอก ปาล์มมี่: มี่ไม่ไป พี่เล็ก (เสียงเข้ม) ฮิวโก้: เดี๋ยวถ้าวันนั้นมาถึง เดี๋ยวคอยดู พอค่ายใหญ่ๆ โทร.มาบอกจะยื่นสัญญา 3 ชุด อะไรแบบนี้ ปาล์มมี่: มี่สาบาน มี่ตอบวันนี้เลยว่ามี่ไม่ไป ฮิวโก้: โอเค เป็นพยานนะ (หันมาบอกผู้สัมภาษณ์) ปาล์มมี่: เป็นพยานค่ะ จริงๆ ค่ะ มี่ไม่ได้มีหัวใจที่จะไปทำเรื่องอะไรที่มันใหญ่ขนาดนั้นได้ แค่ชีวิตทุกวันนี้มี่ก็ปวดหัวมากแล้วนะ รู้สึกว่าถ้ามันจะต้องใหญ่ไปกว่านี้ มี่คงรับกับจุดนั้นไม่ได้ M-Lite: ครั้งแรกของการเป็น Music Director ให้ปาล์มมี่ รู้สึกยังไงบ้าง? ฮิวโก้: ผมก็ตื่นเต้นนะครับ อยากจะรีบเข้าห้องซ้อมต่อ แต่มี่บอกให้วงหยุดไปวันนึง ก็ถือว่าเขายังมีความปรานีครับ ปาล์มมี่: (หัวเราะ) มี่โชคดีที่ได้พบกับเพื่อนที่น่ารักมาก คือผู้ชายคนนี้ค่ะ (เผยมือไปที่ฮิวโก้) และได้วงที่เจ๋งมากมาเล่นให้ มี่ไม่รู้จะพูดยังไง มันคงเป็นโอกาสครั้งเดียวอ่ะ จบงานนี้เราอาจจะเลิกคบกัน เพราะเราอาจจะทะเลาะกัน (หัวเราะ) ไม่หรอก ไม่มีวันนั้น |
สัมภาษณ์โดย ผู้จัดการ LITE
ภาพ: ปวริศร์ แพงราช
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ขอบคุณภาพ: แฟนเพจ Palmy5
รายละเอียดเพิ่มเติมคอนเสิร์ต (คลิก): ThaiticketMajor ทุกสาขา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
บทบาทใหม่ของ “ฮิวโก้” หนุ่มเซอร์ หัวใจคันทรี่
เอนหลังฟัง “ปาล์มมี่” บอกเหตุผลที่ “เปลือยเท้า” ร้องเป็นเพลง