วงการเพลงบ้านเราต้องสูญเสียบุคลากรทางด้านดนตรีที่มีฝีมือไปอีกคนกับการเสียชีวิตของ “ยงยุทธ ผิวสุวรรณ” หรือ “หยอย” มือแซ็กโซโฟนรุ่นเก๋าหลังต้องต่อสู้กับโรคร้ายมานาน
พี่หยอย ของน้องๆ ถือได้ว่าเป็นมือแซ็กโซโฟนฝีมือดีอันดับต้นรุ่นแรกๆ ของเมืองไทย มีผลงานร่วมกับศิลปินไทยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวงเพื่อน, ออโต้บาห์น ฯลฯ รวมไปถึงเป็นเจ้าของเสียงแซ็กโซโฟนให้กับศิลปินทุกคนของค่ายนิธิทัศน์ ทั้ง อ๊อด โอภาส, นิค นิรนาม หรือจะเป็น ดร.คิดส์ ในเพลงข่าวร้าย นอกจากนี้ เจ้าตัวยังทำให้ค่ายเพลงนิธิทัศน์ ดูดีมีระดับขึ้นมากับเพลงบรรเลงด้วยแซ็กโซโฟนของเจ้าตัวนั่นเอง
หากว่ากันถึงชื่อเสียงความโด่งดัง ถ้าสมัยนี้ “โก้ Mr.saxman” ดังขนาดไหน ชื่อของ “หยอย ยงยุทธ” ในยุคสมัยนั้นก็คงจะไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันอย่างแน่นอน
ในระยะหลังๆ แม้จะต้องเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งที่ตับ ทว่า หากมีงานอะไรเข้ามาเจ้าตัวก็จะไปเข้าร่วมอยู่เป็นประจำ ที่ผ่านมา มิใช่เพียงฝีมือในเรื่องของการเป่าแซ็กฯ เท่านั้นหากแต่ยังรวมไปถึงอุปนิสัยใจคอของมือแซ็กฯ คนนี้ที่ไม่เคยคิดร้ายกับใครนั่นเองที่ทำให้พี่หยอยกลายเป็นที่รักและเคารพของนักดนตรีรุ่นน้องๆ
โดยเมื่อวันที่ 2 ก.พ.2555 ที่ผ่านมา ทางเพื่อนๆ ของพี่หยอย ก็ได้จัดคอนเสิร์ต “เพื่อนช่วยเพื่อน” ขึ้นมาเพื่อหารายได้ช่วยเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งในงานดังกล่าวได้มีนักร้อง-นักดนตรีมาร่วมงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น วง อ๊อด คีรีบูน, ชมพู ฟรุตตี้, ป้อม ออโตบาห์น รวมถึง วงGrand Ex’ วงเพื่อน ที่มากันแบบครบวง
นอกจากนี้ ในวันที่ 29 เมษายน ที่ร้านแซ็กโซโฟน อนุสาวรีย์ชัย ก็ได้เตรียมที่จะจัดคอนเสิร์ต “แด่หยอย” ขึ้น โดยจะมีศิลปินอย่าง โก้ Mr.saxman, ต๋อง เทวัญ ทรัพย์แสนยากร และอีกหลายต่อหลายคนมาร่วมแสดง ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไปว่าคอนเสิร์ดังกล่าวจะยังคงมีอยู่หรือไม่?
...
ก่อนหน้าจะเสียชีวิตได้ไม่นาน ทางทีมงาน “Super บันเทิง” ได้มีโอกาสสัมภาษณ์มือแซ็กฯรุ่นเก๋าคนนี้ ซึ่งเจ้าตัวได้เล่าให้ฟังถึงเส้นทางการเป็นนักดนตรีของตน ว่า เริ่มมาตั้งแต่การเล่นดนตรีไทย คือ ระนาดทุ้ม ไปที่ฆ้องวง ก่อนจะหันมาเป่าคาริเน็ต ด้วยวิธีครูพักลักจำ
“ที่บ้านนอกมันก็จะมีพวกวงแตรวง เล่นงานศพแห่ศพด้วย ก็จะมีพวกคาริเน็ต ทรัมเป็ต จะมีประมาณนี้ เครื่องใหญ่ๆ ไม่มี เราก็ครูพักลักจำ พอผู้ใหญ่พักเราก็มาลองเป่าเล่น เพราะเราเป่าขลุ่ยได้ ก็คิดว่ามันคงจะคล้ายๆ กัน คือ คนที่เป่าคาริเน็ตได้นั้น ตระกูลแซ็กฯทั้งหมดมันก็จะเป่าได้โดยอัตโนมัติเหมือนกัน แต่จะดีหรือเปล่าไม่รู้นะ (หัวเราะ)”
ถามถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้เจ้าตัวหันมาเอาดีทางด้านเครื่องเป่าอย่างแซ็กโซโฟน พี่หยอย บอกว่า มาจากองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของเราชาวไทยนั่นเอง
“ก็คงจะเป็นแรงบันดาลใจที่เกิดจากพระเจ้าอยู่หัว คือ ดูในรูปแล้วเกิดชอบ เป็นแรงบันดาลใจมาก ก็คล้ายๆ ตอนนั้นเราก็แบบเป่าพอได้แล้วก็อยากจะเอาให้เป็นเครื่องดนตรีไปเลย”
“แต่ตอนนั้นไม่ชอบเพลงสากลเลยนะ พวกบีทเทิลส์ผมไม่ชอบเลย ทุกวันนี้ก็ยังโง่อยู่เลย (หัวเราะ) เขาบอกให้เล่นก็ไม่เล่น แต่ถ้าเป็นลูกทุ่ง พวกไวพจน์ เพลงแหล่ ซึ่งเข้าทางเราเลยเพราะเราไทยเดิมมา...อย่างแจ๊สแต่ก่อนเราก็ไม่ชอบ แต่พอมาแล้วไอ้ตรงนี้แหละใช่เลย เพราะได้คิดเองทำเอง มันจะมีการวัดใจระดับหนึ่งซึ่งไม่ใช่การแข่งขัน แต่ถ้าเราเล่นแล้ว ถ้าเราไม่สามารถอิมโพรไวส์ได้ มันก็สู้เขาไม่ได้ ก็ต้องมุะมานะ ต้องไปหาลูกทีเด็ด หาตำราฝรั่ง วิดีโอมาศึกษา ผมว่าผมยังน้อยอยู่ แต่เล่นได้ขนาดนี้ผมก็ภูมิใจแล้ว”
จากการเรียนรู้ด้วยตนเองเจ้าตัวก็ได้มีโอกาสได้เรียนดนตรีอย่างเป็นเรื่องเป็นราวกับวงดุริยางค์ทหารเรือ เป็นเวลานาน 5 ปี รวมถึงรับราชการอยู่ 2 ปี ก่อนจะออกมาด้วยเหตุผล...“ขาดราชการ (หัวเราะ) คือ สมัยก่อนการเดินทางมันลำบาก แล้วช่วงนั้นเราต้องไปเล่นดนตรีตามต่างจังหวัดด้วย ก็คิดว่าจะกลับมาทันเรียกแถวตอนเช้า แต่ด้วยที่รถโดยสารสมัยนั้นมันช้าแล้วต้องจอดรับกันตลอดทาง ส่วนใหญ่ก็จะไม่ทัน อันนี้อย่าเล่าเลยนะ มันไม่ดี (หัวเราะ)”
ออกจากการรับราชการพี่หยอยจึงได้มีโอกาสเล่นร่วมกับ วง “มิชชั่น” รุ่นเดียวกับ “เล็ก-ดุก คาราบาว” จากนั้นจึงไปเล่นดนตรีที่ปารีสอยู่ 1 ปี ก่อนจะกลับมาเล่นในเมืองไทยที่ร้าน “บ้านนันทิดา” ของ “ตู่ นันทิดา” ซึ่งที่นี่เองที่ทำให้เขาได้พบกับ “แอ๊ด ทนงศักดิ์” ผู้ก่อตั้งวงเพื่อน
“ตอนนั้น คุณแอ๊ด ทนงศักดิ์ แยกจากแกรนด์เอ็กซ์มาทำวงเพื่อน ทำอยู่พักหนึ่ง แล้วนักดนตรีออกไปสองคน ก็เลยได้เข้าไปเล่นวงเพื่อน ซึ่งสังกัดอยู่กับค่ายนิธิทัศน์ ก็เลยทำเพลงให้นิธิทัศน์ เยอะมาก คือ ถ้ามีแซ็กฯ ก็เป็นผมที่ต้องอัดอยู่คนเดียว เล่นวงแบ็กอัพไปทัวร์ที่ไหนก็ต้องไป รับหน้าเสื่อทุกคน ตั้งแต่ยุค 18 กะรัต ยาวมาจนกระทั่งบริษัทไม่ทำแล้วนั่นแหละ”
ถามถึงความประทับใจที่ได้จากการเป่าแซ็กฯ พี่หยอย เล่าให้ฟังว่า...“มีครั้งหนึ่งกำลังเล่นอยู่ในไนต์คลับ ก็มีฝรั่งมายืนใกล้เลยนะแล้วเขาก็เอาหูมาเงี่ยๆ ฟังตรงลำโพง แล้วก็บอกว่าเขาฟังแต่เทป แต่พอมาฟังสดๆ แล้ว มันเพราะมาก เราก็เลยต้องเป่าแบบคลอๆ ไป ไม่กล้าเป่าดังเลย (หัวเราะ)”
“แล้วก็เคยมีประสบการณ์อย่างหนึ่ง คือ มีเพื่อนคนหนึ่งไปร้านที่ผมเล่น พาแฟนเขามาด้วย เขาก็รุ่นน้องหน่อย เขาบอกพี่เดี๋ยวผมจะขอแฟนแต่งงานวันนี้ ผมจะเซอร์ไพรส์เขา เดี๋ยวช่วงเบรกพี่มาเป่าให้ผมเพลงนึงนะ ไอ้เราก็นึกว่าจะเป่าเพลงอะไรดี ก็บอกก็ได้ๆ พอเขาให้สัญญาณ เราก็ไปเป่าให้ น่าจะเป็นเพลง Misty”
“ตอนนั้นผู้หญิงเหมือนตกใจมาก แล้วผู้ชายเขาก็ขอแต่งงาน ผู้หญิงก็ตอบตกลง วันที่แต่งฯ ผมก็ไปเป่าให้ฟังด้วย ก็มีอย่างนี้สองครั้ง อีกครั้งที่ภูเก็ต เป็นฝรั่ง พอเป่าผู้ชายแขาก็คุกเข่าขอผู้หญิงแต่งงาน ผู้หญิงก็ร้องไห้โฮเลย”
เมื่อให้พูดถึงนักดนตรีสายแจ๊สของบ้านเราในปัจุบันพี่หยอย บอกว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก เพราะเด็กรุ่นใหม่สามารถเรียนรู้ได้เร็วมาก...“เดี๋ยวนี้บ้านเราเก่งแบบไม่น่าเชื่อว่าจะพัฒนาเร็วขนาดนี้ บางทีเด็กอย่างลูกศิษย์คุณโก้ ตัวนิดเดียวเแต่เป่าแซ็กฯ อย่างกับรุ่นใหญ่”
“แล้วตอนนี้ผมสอนอยู่ที่ดุริยางค์ทหารเรือ ซึ่งเขาเก่งกันมากนะ เราสอนพื้นฐานไปแล้วเขาก็ไปเรียนเพิ่มเติม ปรากฏว่า เขาเก่งกว่าครูแล้ว เพราะสมัยนี้มันหาตำราเรียนกันได้ง่าย ทั้งคอมพิวเตอร์ ทั้งคอนเสิร์ตนอก...แล้วอย่างคุณโก้มาฟีเวอร์ด้วย ลูกเด็กเล็กแดงเรียนกันใหญ่ ตอนนี้ผมก็เลยไม่มีงาน เพราะเด็กๆ เขาหล่อกว่า คนแก่ก็เลยอยู่อย่างนี้ (หัวเราะ)”
“ส่วนคุณโก้ ก็เป็นคำพูดจากเขานะไม่ได้มาคุย เขาบอกว่า ตอนทั้ผมไปเล่นที่จุฬาฯ ซึ่งเขาเรียนอยู่ ผมก็ไปเล่นแล้วเขาไปดู เขาก็เล่าให้ฟังว่า พี่ ผมน่ะวิ่งตามรถพี่ อยากขอวิชา อยากรู้จัก (หัวเราะ) แกเป็นคนดีนะ เจอหน้าก็สวัสดีอาจารย์สวัสดีพี่ ทั้งๆ ที่ผมก็ไม่เคยสอนแกเลยนะ...”
ถึงวันนี้แม้จะไร้แล้วซึ่งลมหายใจของ “หยอย ยงยุทธ ผิวสุวรรณ” แต่เชื่อว่าสำเนียงเสียงแซ็กโซโฟนของเขาคนนี้จะอยู่ในใจของผู้ที่ชื่นชอบเขาไปอีกนานอย่างแน่นอน
กำหนดการสวดพระอภิธรรมศพ (หยอย) นาย ยงยุทธ ผิวสุวรรณ ณ ศาลาบุญมี ทองอ่อน วัดแหลม ท่าน้ำพระประแดง ฝั่งถนนปู่เจ้าสมิงพราย จ.สมุทรปราการ เวลา 19.00 น.ไปจนถึงวันที่ 21 เมษายน 2555