วันนี้มีเรื่องเพ้อเจ้อส่วนตัวมาเขียนเล่าให้อ่าน ถ้าท่านเป็นคนที่ไม่ชอบทั้งเรื่อง "เพ้อเจ้อ" และเรื่อง "ส่วนตัว" ไม่ต้องอ่านก็ได้นะครับ...
ช่วงปลายปีที่ผ่านไป บ้านผมมีโอกาสได้ต้อนรับเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหม่เข้ามา 1 ชิ้น
อุปกรณ์ชิ้นนั้นก็คือ "เครื่องซักผ้า" ครับ
สำหรับใครที่มีและใช้เจ้าเครื่องมือชิ้นนี้จนคุ้นเคยเป็นปกติอยู่แล้วคงจะไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกหรือคิดว่ามันจะมีอะไรที่ให้ต้องน่าพูดถึง แต่สำหรับแม่ผมการที่ต้องมาพัวพันกับเจ้าเครื่องไฟฟ้าชิ้นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตด้วยวัย 60 กว่าปี มีความรู้แค่ชั้นป.4 ภาษาไทยพออ่านได้ ภาษาอังกฤษไม่กระดิก แถมตาก็ไม่ค่อยจะดี ดูจะสร้างความหวั่นวิตก ตื่นเต้น และแน่นอนว่าเห่อให้อยู่พอสมควรทีเดียว
มันเริ่มตั้งแต่ตอนที่ไปซื้อ
"เขาบอกไอ้เครื่องที่เป็นอัตโนมัติมันจะเสียง่ายนะ ให้เอาอีกแบบหนึ่ง..." แม่บอกผมระหว่างที่เรากำลังเดินเมียงๆ มองๆ เจ้าเครื่องที่ว่า ซึ่งยอมรับสารภาพอย่างก้มหน้าไม่อายฟ้า เงยหน้าไม่อายดินเลยครับว่าเล่นเอาผมงงไปเหมือนกัน!
เพราะอยู่ที่หอพักในตอนที่เป็นนักศึกษา เวลาที่ต้องการจะซักผ้าโดยใช้เครื่องซักผ้าก็แค่เปิดฝาเครื่องขึ้น โรยผงซักฟอก ใส่ผ้าลงไป เติมน้ำยาปรับผ้านุ่ม ปิดฝา หยอดเหรียญ จากนั้นอีกราวๆ 1 ชั่วโมงก็ค่อยกลับมาเก็บผ้าไปตาก
"แบบนี้มันอัตโนมัติหรือไม่อัตโนมัติล่ะแม่" ผมเล่าถึงการทำงานจากเครื่องที่เคยใช้ให้แม่ฟังก่อนที่จะได้รับคำตอบกลับมาว่า..."ไม่รู้สิ ก็เขาบอกมาแบบนี้"
"อ้าว..."
คุยกันไปมาสุดท้ายก็ต้องโทรศัพท์ไปถามญาติที่เป็นคนแนะนำว่าตกลงไอ้เครื่องอัตโนมัติไม่อัตโนมัติมันคืออะไร? ก่อนจะได้บทสรุปตามความเขาใจของญาติว่า แบบไม่อัตโนมัติก็คือต้องเปิด-ปิดน้ำใส่เครื่องเอง ส่วนแบบอัตโนมัตินั้นเครื่องมันจะทำตรงนี้เองหมด
"มันยังมีอีกหรือไอ้เครื่องแบบไม่อัตโนมัติเนี่ย" ผมถามพนักงานขายเพราะอดสงสัยไม่ได้จริงๆ
อย่างไรก็ตาม ท้ายสุดเราก็ได้มาซึ่งเครื่องซักผ้าแบบฝาบน ขนาดกระทัดรัดเพียงพอสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 2 คน ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่มาติดตั้งให้ พร้อมให้คำแนะนำการใช้รวมถึงบรรยายสรรพคุณของเครื่องว่าสะดวกอย่างนั้น ประหยัดน้ำประหยัดไปอย่างนี้ ทำอะไรได้บ้าง พร้อมกับตั้งเครื่องไว้ให้เสร็จสรรพ หนึ่งสัปดาห์จากนั้นแม่ก็โทรศัพท์เล่าให้ฟังถึงความมหัศจรรย์ที่ได้พบจากการใช้เครื่องซักผ้าที่ซื้อมาเป็นครั้งแรกในชีวิต
"เป็นไง แม่ลองใช้หรือยัง?
"เออ ใช้แล้ว มันประหยัดแฟ้บ*มากเลยนะ ใช้แค่นิดเดียวเอง..." (* ตรงนี้ผู้เขียนมิได้มีเจตนาจะโฆษณาสินค้าแฝงลงในคอลัมน์แต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะคนชนบทส่วนใหญ่นั้นเรียกผงซักฟอกว่าแฟ้บ ซึ่งหากว่าเจ้าของผลิตภัณฑ์จะตอบแทนในน้ำใจ ผู้เขียนคงมิอาจปฏิเสธ 555)
ฟังแม่เล่าแม้จะรู้สึกทะแม่งๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะเดี๋ยวนี้โฆษณาผงซักฟอกสรรพคุณประหยัดสุดๆ ใช้เพียงนิดเดียวซักผ้ากองโตได้ก็มีให้เห็นออกบ่อย กระทั่งผมเองได้กลับบ้านในอีกหนึ่งอาทิตย์ถัดมา แม่ก็จัดแจงโชว์ซักผ้าให้ดู แล้วผมก็พบว่าทำไมเจ้าเครื่องนี้มันถึงได้ประหยัดผงซักฟอกมากนักชนิดที่แม่ต้องเอามาคุยอวด
จะไม่ประหยัดได้อย่างไร!? ก็แม่ผมเล่นเอาผงซักฟอกไปเติมช่องที่เอาไว้ใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม ที่มันเป็นช่องเล็กๆ พอที่จะให้ของเหลวไหลลงไป คือถ้าเทผงซักฟอกลงไปเพียงปริมาณไม่ถึงครึ่งช้อนที่แถมมามันก็จะกระจุกยัดเต็มช่องที่ว่าแล้วครับ
"ถึงว่า ไม่เห็นมันจะสะอาดตรงไหน แถมไม่มีกลิ่นแฟ้บ ไม่มีกลิ่นน้ำยา(ปรับผ้านุ่ม)อีกต่างหาก..."
งานนี้กว่าจะแงะ - แคะล้างเอาผงซักฟอกที่หลอมตัวกันอัดแน่นอยู่ในช่องน้ำยาปรับผ้านุ่มออกหมดก็เล่นเอาเหงื่อตกไปเหมือนกัน
หลังมีประสบการณ์จากการใส่ผงซักฟอกลงในช่องน้ำยาปรับผ้านุ่ม (ขณะเดียวกันก็เติมน้ำยาปรับผ้านุ่มลงในช่องใส่ผงซักฟอก) แม่ก็ใช้เครื่องซักผ้าได้อย่างไม่มีอะไรผิดพลาดอีก โดยที่ระยะแรกๆ นั้นผมสังเกตว่าดูแกจะใส่ใจกับการทำงานของเครื่องมากๆ ครับ ด้วยการเดินวนไปดูตอนที่มันกำลังทำงานอยู่ชนิดบ่อยครั้งจนผมอดไม่ได้ที่จะต้องประชดว่าเอาออกมาซักเองดีมั้ยแม่ ไหนๆ ก็ไม่ได้เอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นแล้วนี่
"เอ๊า ก็อยากรู้ว่ามันยังซักอยู่หรือเปล่า..."
มองดู "ผ้า" ที่ถูกซักด้วยเครื่องฯ แล้ว ก็ให้นึกไปการใช้ "ชีวิต" ของมนุษย์เราในยุคสังคมปัจจุบันครับ
เอากันตั้งแต่เรื่องของตัวเครื่องที่มีให้เลือกมากมาย หลายวัสดุ หลายขนาด หลายระบบ ทั้งฝาบน ฝาหน้า ปั่นหมาด อบแห้ง รุ่นประหยัดไฟ ประหยัดน้ำ ฯ ผงซักฟอกที่มีให้เลือกหลากยี่ห้อ หลายสรรพคุณ อันนี้เฉพาะซักผ้าสี อันนี้เฉพาะซักผ้าขาว อันนี้เอาไว้สำหรับซักผ้าตอนกลางคืน อันนี้ใช้เพียงช้อนเดียวผ้าก็สะอาด อันนี้เอาไว้ป้ายผ้าก่อนจะได้ซักสะอาดมากขึ้น น้ำยาปรับผ้านุ่มอันนี้หยอดสองหยดผ้าก็หอมไปทั้งอาทิตย์ ฯลฯ
วิธีการซักก็มีปุ่มกดมากมายให้เลือก ปุ่มนี้ตั้งเวลาซัก จะเอาปั่นหนัก ปั่นปานกลาง ปั่นเบา ความแรงขนาดนี้สำหรับซักผ้านวม ความแรงขนาดนี้สำหรับซักผ้าฝ้าย สำหรับซักกางเกงยีนส์ พวกเสื้อในกางเกงในหากจะซักพร้อมผ้าอื่นๆ ก็ต้องใส่เอาไว้ในผ้าตาข่ายกันผ้าพันกัน (รู้สึกว่าเครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ๆ มีระบบซักที่ป้องกันผ้าพันกันออกมาด้วย) ฯลฯ ซึ่งแน่นอนครับว่าสิ่งที่จะตามมาแน่ๆ จากการใช้เครื่องซักผ้าก็คือความ "สะดวก" "สบาย"
แต่ถ้าถามถึงความ "สะอาด" บางคนอาจจะรู้สึกว่าแม้เจ้าเครื่องนี้ต่อให้มีความ "อัจฉริยะ" มากเพียงไรขนาดไหน คำนวณได้เสร็จสรรพว่าผ้าหนักเท่านั้นต้องใช้น้ำเท่านี้ แรงเท่านั้น ระยะเวลาเท่านี้ แต่เอาเข้าจริงๆ มันจะมาสะอาดสู้กับมือเรานั่งซักเองซึ่งรู้อยู่เต็มอกว่าตรงไหนสกปรกมาก-สกปรกน้อย ตรงไหนควรแปรง ควรขยี้ด้วยแรงหนัก-เบาเท่าไหร่ได้อย่างไร? (ประเด็นนี้คงต้องมีเงื่อนไขเป็นข้อแม้ไว้ว่าสำหรับเฉพาะคนที่ขยันและใส่ใจในการซักจริงๆ นะครับ)
ไม่ต่างอะไรไปจากมนุษย์เราทุกวันนี้ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ต่างๆ โฆษณาสรรพคุณให้เลือกซื้อเลือกใช้โดยให้เหตุผลในทำนองที่ว่าเพื่อความสุข เพื่อการมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบทันสมัย กระทั่งรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ขาดมันไปไม่ได้เสียแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจำพวกครีมเปลี่ยนผิวให้ขาวขึ้น, เสื้อผ้าหน้าผมที่ต้องอินเทรนด์, อาหารเสริมแต่มีคุณสมบัติรสความอ้วน, ของแบรนด์เนมเพื่อความมีหน้ามีตาและการยอมรับของสังคม, แทบเล็ต-โทรศัพท์มือถือที่บ่งบอกถึงการเป็นคนก้าวทันเทคโนโลยี, รถยนต์+บ้านหรูๆ ที่จะทำให้ครอบครัวอบอุ่นมีความสุข ฯลฯ จนทำให้เราต่างก็พยายามดิ้นรนขวนขวายให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ทั้งโดยสุจริตและทุจริตเพราะเชื่อว่าความสุขปรุงสำเร็จรูปเหล่านี้จะนำมาซึ่งความสุขจริงๆ ในชีวิต โดยบางครั้งเราอาจจะลืมไปเลยว่าหรือเป็นเรากันแน่ที่กำลังถูกชักนำให้รู้สึกว่าการได้ครอบครองสิ่งของเหล่านั้นคือการได้มาซึ่งชีวิตที่พร้อมสรรพคือชีวิตที่สมบูรณ์มีความสุข
ผมว่าจริงๆ แล้วใจของเราเองนั่นแหละครับที่จะบอกได้ว่าชีวิตของเราเองตรงไหนควรจะขยี้เบาๆ ตรงไหนควรจะขยี้แรงๆ เพื่อให้เป็นชีวิตที่มีความสุขและสะอาด
ช่วงปลายปีที่ผ่านไป บ้านผมมีโอกาสได้ต้อนรับเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหม่เข้ามา 1 ชิ้น
อุปกรณ์ชิ้นนั้นก็คือ "เครื่องซักผ้า" ครับ
สำหรับใครที่มีและใช้เจ้าเครื่องมือชิ้นนี้จนคุ้นเคยเป็นปกติอยู่แล้วคงจะไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกหรือคิดว่ามันจะมีอะไรที่ให้ต้องน่าพูดถึง แต่สำหรับแม่ผมการที่ต้องมาพัวพันกับเจ้าเครื่องไฟฟ้าชิ้นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตด้วยวัย 60 กว่าปี มีความรู้แค่ชั้นป.4 ภาษาไทยพออ่านได้ ภาษาอังกฤษไม่กระดิก แถมตาก็ไม่ค่อยจะดี ดูจะสร้างความหวั่นวิตก ตื่นเต้น และแน่นอนว่าเห่อให้อยู่พอสมควรทีเดียว
มันเริ่มตั้งแต่ตอนที่ไปซื้อ
"เขาบอกไอ้เครื่องที่เป็นอัตโนมัติมันจะเสียง่ายนะ ให้เอาอีกแบบหนึ่ง..." แม่บอกผมระหว่างที่เรากำลังเดินเมียงๆ มองๆ เจ้าเครื่องที่ว่า ซึ่งยอมรับสารภาพอย่างก้มหน้าไม่อายฟ้า เงยหน้าไม่อายดินเลยครับว่าเล่นเอาผมงงไปเหมือนกัน!
เพราะอยู่ที่หอพักในตอนที่เป็นนักศึกษา เวลาที่ต้องการจะซักผ้าโดยใช้เครื่องซักผ้าก็แค่เปิดฝาเครื่องขึ้น โรยผงซักฟอก ใส่ผ้าลงไป เติมน้ำยาปรับผ้านุ่ม ปิดฝา หยอดเหรียญ จากนั้นอีกราวๆ 1 ชั่วโมงก็ค่อยกลับมาเก็บผ้าไปตาก
"แบบนี้มันอัตโนมัติหรือไม่อัตโนมัติล่ะแม่" ผมเล่าถึงการทำงานจากเครื่องที่เคยใช้ให้แม่ฟังก่อนที่จะได้รับคำตอบกลับมาว่า..."ไม่รู้สิ ก็เขาบอกมาแบบนี้"
"อ้าว..."
คุยกันไปมาสุดท้ายก็ต้องโทรศัพท์ไปถามญาติที่เป็นคนแนะนำว่าตกลงไอ้เครื่องอัตโนมัติไม่อัตโนมัติมันคืออะไร? ก่อนจะได้บทสรุปตามความเขาใจของญาติว่า แบบไม่อัตโนมัติก็คือต้องเปิด-ปิดน้ำใส่เครื่องเอง ส่วนแบบอัตโนมัตินั้นเครื่องมันจะทำตรงนี้เองหมด
"มันยังมีอีกหรือไอ้เครื่องแบบไม่อัตโนมัติเนี่ย" ผมถามพนักงานขายเพราะอดสงสัยไม่ได้จริงๆ
อย่างไรก็ตาม ท้ายสุดเราก็ได้มาซึ่งเครื่องซักผ้าแบบฝาบน ขนาดกระทัดรัดเพียงพอสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิก 2 คน ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่มาติดตั้งให้ พร้อมให้คำแนะนำการใช้รวมถึงบรรยายสรรพคุณของเครื่องว่าสะดวกอย่างนั้น ประหยัดน้ำประหยัดไปอย่างนี้ ทำอะไรได้บ้าง พร้อมกับตั้งเครื่องไว้ให้เสร็จสรรพ หนึ่งสัปดาห์จากนั้นแม่ก็โทรศัพท์เล่าให้ฟังถึงความมหัศจรรย์ที่ได้พบจากการใช้เครื่องซักผ้าที่ซื้อมาเป็นครั้งแรกในชีวิต
"เป็นไง แม่ลองใช้หรือยัง?
"เออ ใช้แล้ว มันประหยัดแฟ้บ*มากเลยนะ ใช้แค่นิดเดียวเอง..." (* ตรงนี้ผู้เขียนมิได้มีเจตนาจะโฆษณาสินค้าแฝงลงในคอลัมน์แต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะคนชนบทส่วนใหญ่นั้นเรียกผงซักฟอกว่าแฟ้บ ซึ่งหากว่าเจ้าของผลิตภัณฑ์จะตอบแทนในน้ำใจ ผู้เขียนคงมิอาจปฏิเสธ 555)
ฟังแม่เล่าแม้จะรู้สึกทะแม่งๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะเดี๋ยวนี้โฆษณาผงซักฟอกสรรพคุณประหยัดสุดๆ ใช้เพียงนิดเดียวซักผ้ากองโตได้ก็มีให้เห็นออกบ่อย กระทั่งผมเองได้กลับบ้านในอีกหนึ่งอาทิตย์ถัดมา แม่ก็จัดแจงโชว์ซักผ้าให้ดู แล้วผมก็พบว่าทำไมเจ้าเครื่องนี้มันถึงได้ประหยัดผงซักฟอกมากนักชนิดที่แม่ต้องเอามาคุยอวด
จะไม่ประหยัดได้อย่างไร!? ก็แม่ผมเล่นเอาผงซักฟอกไปเติมช่องที่เอาไว้ใส่น้ำยาปรับผ้านุ่ม ที่มันเป็นช่องเล็กๆ พอที่จะให้ของเหลวไหลลงไป คือถ้าเทผงซักฟอกลงไปเพียงปริมาณไม่ถึงครึ่งช้อนที่แถมมามันก็จะกระจุกยัดเต็มช่องที่ว่าแล้วครับ
"ถึงว่า ไม่เห็นมันจะสะอาดตรงไหน แถมไม่มีกลิ่นแฟ้บ ไม่มีกลิ่นน้ำยา(ปรับผ้านุ่ม)อีกต่างหาก..."
งานนี้กว่าจะแงะ - แคะล้างเอาผงซักฟอกที่หลอมตัวกันอัดแน่นอยู่ในช่องน้ำยาปรับผ้านุ่มออกหมดก็เล่นเอาเหงื่อตกไปเหมือนกัน
หลังมีประสบการณ์จากการใส่ผงซักฟอกลงในช่องน้ำยาปรับผ้านุ่ม (ขณะเดียวกันก็เติมน้ำยาปรับผ้านุ่มลงในช่องใส่ผงซักฟอก) แม่ก็ใช้เครื่องซักผ้าได้อย่างไม่มีอะไรผิดพลาดอีก โดยที่ระยะแรกๆ นั้นผมสังเกตว่าดูแกจะใส่ใจกับการทำงานของเครื่องมากๆ ครับ ด้วยการเดินวนไปดูตอนที่มันกำลังทำงานอยู่ชนิดบ่อยครั้งจนผมอดไม่ได้ที่จะต้องประชดว่าเอาออกมาซักเองดีมั้ยแม่ ไหนๆ ก็ไม่ได้เอาเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นแล้วนี่
"เอ๊า ก็อยากรู้ว่ามันยังซักอยู่หรือเปล่า..."
มองดู "ผ้า" ที่ถูกซักด้วยเครื่องฯ แล้ว ก็ให้นึกไปการใช้ "ชีวิต" ของมนุษย์เราในยุคสังคมปัจจุบันครับ
เอากันตั้งแต่เรื่องของตัวเครื่องที่มีให้เลือกมากมาย หลายวัสดุ หลายขนาด หลายระบบ ทั้งฝาบน ฝาหน้า ปั่นหมาด อบแห้ง รุ่นประหยัดไฟ ประหยัดน้ำ ฯ ผงซักฟอกที่มีให้เลือกหลากยี่ห้อ หลายสรรพคุณ อันนี้เฉพาะซักผ้าสี อันนี้เฉพาะซักผ้าขาว อันนี้เอาไว้สำหรับซักผ้าตอนกลางคืน อันนี้ใช้เพียงช้อนเดียวผ้าก็สะอาด อันนี้เอาไว้ป้ายผ้าก่อนจะได้ซักสะอาดมากขึ้น น้ำยาปรับผ้านุ่มอันนี้หยอดสองหยดผ้าก็หอมไปทั้งอาทิตย์ ฯลฯ
วิธีการซักก็มีปุ่มกดมากมายให้เลือก ปุ่มนี้ตั้งเวลาซัก จะเอาปั่นหนัก ปั่นปานกลาง ปั่นเบา ความแรงขนาดนี้สำหรับซักผ้านวม ความแรงขนาดนี้สำหรับซักผ้าฝ้าย สำหรับซักกางเกงยีนส์ พวกเสื้อในกางเกงในหากจะซักพร้อมผ้าอื่นๆ ก็ต้องใส่เอาไว้ในผ้าตาข่ายกันผ้าพันกัน (รู้สึกว่าเครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ๆ มีระบบซักที่ป้องกันผ้าพันกันออกมาด้วย) ฯลฯ ซึ่งแน่นอนครับว่าสิ่งที่จะตามมาแน่ๆ จากการใช้เครื่องซักผ้าก็คือความ "สะดวก" "สบาย"
แต่ถ้าถามถึงความ "สะอาด" บางคนอาจจะรู้สึกว่าแม้เจ้าเครื่องนี้ต่อให้มีความ "อัจฉริยะ" มากเพียงไรขนาดไหน คำนวณได้เสร็จสรรพว่าผ้าหนักเท่านั้นต้องใช้น้ำเท่านี้ แรงเท่านั้น ระยะเวลาเท่านี้ แต่เอาเข้าจริงๆ มันจะมาสะอาดสู้กับมือเรานั่งซักเองซึ่งรู้อยู่เต็มอกว่าตรงไหนสกปรกมาก-สกปรกน้อย ตรงไหนควรแปรง ควรขยี้ด้วยแรงหนัก-เบาเท่าไหร่ได้อย่างไร? (ประเด็นนี้คงต้องมีเงื่อนไขเป็นข้อแม้ไว้ว่าสำหรับเฉพาะคนที่ขยันและใส่ใจในการซักจริงๆ นะครับ)
ไม่ต่างอะไรไปจากมนุษย์เราทุกวันนี้ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ต่างๆ โฆษณาสรรพคุณให้เลือกซื้อเลือกใช้โดยให้เหตุผลในทำนองที่ว่าเพื่อความสุข เพื่อการมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบทันสมัย กระทั่งรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ขาดมันไปไม่ได้เสียแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจำพวกครีมเปลี่ยนผิวให้ขาวขึ้น, เสื้อผ้าหน้าผมที่ต้องอินเทรนด์, อาหารเสริมแต่มีคุณสมบัติรสความอ้วน, ของแบรนด์เนมเพื่อความมีหน้ามีตาและการยอมรับของสังคม, แทบเล็ต-โทรศัพท์มือถือที่บ่งบอกถึงการเป็นคนก้าวทันเทคโนโลยี, รถยนต์+บ้านหรูๆ ที่จะทำให้ครอบครัวอบอุ่นมีความสุข ฯลฯ จนทำให้เราต่างก็พยายามดิ้นรนขวนขวายให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ทั้งโดยสุจริตและทุจริตเพราะเชื่อว่าความสุขปรุงสำเร็จรูปเหล่านี้จะนำมาซึ่งความสุขจริงๆ ในชีวิต โดยบางครั้งเราอาจจะลืมไปเลยว่าหรือเป็นเรากันแน่ที่กำลังถูกชักนำให้รู้สึกว่าการได้ครอบครองสิ่งของเหล่านั้นคือการได้มาซึ่งชีวิตที่พร้อมสรรพคือชีวิตที่สมบูรณ์มีความสุข
ผมว่าจริงๆ แล้วใจของเราเองนั่นแหละครับที่จะบอกได้ว่าชีวิตของเราเองตรงไหนควรจะขยี้เบาๆ ตรงไหนควรจะขยี้แรงๆ เพื่อให้เป็นชีวิตที่มีความสุขและสะอาด