รองโฆษกสำนักนายกฯ เผยยอดสมัครสมาชิกกองทุนสตรีทั่วประเทศกว่า 3.7 ล้านราย อีสานมากสุด เตรียมคัดเลือก กก.ระดับภูมิภาคสัปดาห์หน้า พร้อมต่อยอดพัฒนากองทุนส่งเสริมสตรีให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงหลังการร่วมเสวนาเวทีรับฟังความคิดเห็นกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจากภาคส่วนต่างๆ ในภาคอีสาน ที่โรงแรมบ้านเชียง จ.อุดรธานี ว่าในวันนี้เป็นครั้งที่ 5 ในการจัดทำประชาคมภายใต้กรอบการจัดตั้งกองทุนฯ ซึ่งมีผู้แทนจากหลายภาคส่วนใน 20 จังหวัดภาคอีสาน เช่น นางเพ็ญพักตร์ ศรีทอง ส.ว. นายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ นางเทียบจุฑา ขาวขำ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และผู้แทนกลุ่มองค์กรสตรีในจังหวัดภาคอีสานเข้าร่วมการประชุม อาทิ ดร.ประกายแก้ว รัตนนาคะ ประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้สะท้อนปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาศักยภาพของผู้หญิงในพื้นที่ และข้อเสนอแนะโครงการที่น่าสนใจ เช่น ปัญหาในภูมิภาคเกิดจากความยากจนอันเนื่องมาจากการขาดพัฒนาองค์ความรู้ในการผลิตสินค้าขึ้นมาแล้วไม่สามารถขายได้ เพราะสินค้ามีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันหมด ขาดช่องทางการตลาด และการพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์
นายอนุสรณ์กล่าวว่า โดยทางกลุ่มมองเงินสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ให้เป็นแหล่งทุนในการพัฒนาการการออกแบบผลิตภัณฑ์ หีบห่อ ให้มีจุดเด่นมาจากอัตลักษณ์ท้องถิ่น เพื่อมุ่งหวังพัฒนาสินค้าประเภทสิ่งทอ เช่น ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้ามัดหมี่ ผ้าขิด มัดหมี่พันขิด เป็นต้น และอีกปัญหาหนึ่งที่เป็นปัญหาสังคมของภูมิภาคนี้คือปัญหาความรุนแรงต่อสตรี ซึ่งเกิดจากกลุ่มมิจฉาชีพล่อลวงสตรีที่ใช้ช่องทางการแต่งงาน ธุรกิจหาคู่ เอาความรักที่สวยงามมาเป็นเครื่องมือในการล่อลวงว่าจะหาคู่ชาวต่างประเทศให้ แต่แท้จริงแล้วหลอกไปค้ามนุษย์ในต่างประเทศ เช่น ประเทศเยอรมนี ฮ่องกง ญี่ปุ่น
โดยสถิติล่าสุด จ.อุดรธานี มีสตรีที่แต่งงานข้ามวัฒนธรรมเกือบ 4,000 คู่ เพื่อหวังยกระดับคุณภาพชีวิต มิจฉาชีพเหล่านี้นำเอาฐานของเศรษฐกิจมาเป็นตัวตั้งมากกว่าฐานความรัก ซึ่งทางกลุ่มมองว่ากรณีสามารถเข้าถึงเงินกองทุนจะนำไปใช้เปิดโครงการอบรมสตรี ให้ความรู้ด้านคู่ครอง อบรมภาษาเพื่อให้สามารถสื่อกับคนรักเองได้โดยไม่ต้องผ่านธุรกิจหาคู่ และอบรมด้านอาชีพท้องถิ่นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตไปควบคู่กันด้วย
นายอนุสรณ์กล่าวว่า ความคืบหน้าของการรับสมัครสมาชิกกองทุนฯ เพื่อสรรหาคณะกรรมการในระดับภูมิภาคนั้น หลังจากที่เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกแล้วเป็นจำนวนรวม 3,798,328 ราย จากทุกภาคของประเทศ โดย ภาคอีสานมีจำนวนผู้สมัครมากที่สุด คือ 1,777,918 ราย ภาคเหนือ 964,229 ราย ภาคใต้ 485,091 ราย ภาคกลาง 392,143 ราย ภาคตะวันออก 158,014 ราย และ กทม. 20,933 ราย
ทั้งนี้ จากการที่คณะกรรมการได้มีมติขยายกำหนดเวลาลงทะเบียนสมาชิกฯ ให้แก่ผู้ที่สนใจสมัครเป็นคณะกรรมการฯ ไปจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2555 ทางคณะกรรมการจะกำหนดวันจัดทำประชาคมเพื่อคัดเลือกเป็นกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีส่วนภูมิภาคอีกครั้งหนึ่งภายในอาทิตย์หน้า
น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ ในฐานะหนึ่งในคณะกรรมการขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีได้กล่าวเสริมว่า แนวนโยบายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความประสงค์ให้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเป็นโอกาสสำคัญในการเข้าถึงแหล่งทุนให้แก่เครือข่ายสตรี ซึ่งจากผลการวิจัยของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่าผู้หญิงมีรายได้น้อยกว่าผู้ชาย และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้น้อยกว่า อีกทั้งผู้หญิงมีอัตราส่วนของการออมต่อรายได้สูงกว่าผู้ชาย และมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดหนี้สูญน้อยกว่าผู้ชาย ดังนั้น กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจึงเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในการเข้าถึงแหล่งทุน เป็นการกู้ยืมที่ก่อให้เกิดรายได้มากกว่าเป็นการสร้างภาระหนี้ให้กับสตรีไทยทั่วประเทศ