ตลกหญิง “นก วนิดา” โผล่งานวันเกิด “ชิ อนุชา” เผยชีวิตที่ผ่านมาลำบากไม่มีงานทำ สุดสงสารลูกสาววัย 19 ต้องไปร้องเพลงหาเงินส่งตัวเองเรียนและเลี้ยงดูครอบครัว บอกเรื่องที่ผ่านมาในชีวิตไม่ว่าจะเป็นคดียาเสพติดหรือติดคุกยังไม่รู้สึกเจ็บเท่าเห็นลูกต้องมาลำบาก
“นก วนิดา แสงสุข” ตลกหญิงเคยถูกจับดำเนินคดีเรื่องคดียาเสพติดเมื่อปี 2552 ต่อมาปี 2553 ก็ยังถูกจับในคดีครอบครองยาเสพติดเช่นกัน ส่งผลให้อนาคตในวงการบันเทิงดับสนิทไม่มีผู้จัดจ้างไปเล่นละครเพราะถือว่าเป็นตัวอย่างไม่ดีต่อสังคม จากนั้นนก วนิดาก็หายไปจากวงการบันเทิงกระทั่งไปปรากฏตัวในงานวันเกิด “ชิ อนุชา ลังประเสริฐ” นก วนิดาก็ได้เปิดเผยว่า เกือบ 3 ปีที่ผ่านมาชีวิตค่อนข้างลำบากเพราะไม่มีงานแสดง ลูกสาววัย 19 ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัวออกไปร้องเพลงหาเงินส่งตัวเองเรียนและดูแลครอบครัว
“ก็หายไปเกือบ 3 ปีแล้วก็ไปทำบุญใครมีงานอะไรก็ไปช่วยเขาก็ไปเรื่อยๆ ก็ทำงานแบบเล็กๆ น้อยๆ ยังไม่ได้มีงานทำที่เป็นหลักแหล่ง คิดถึงอาชีพตลกเหมือนกันเพราะเราเดินทางมาเส้นนี้ตลอด แต่พอไม่ได้ทำก็ดีไปอย่างเพราะมีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้นได้อยู่กับครอบครัว แต่สงสารลูกเพราะทุกวันนี้ลูกต้องมาช่วยทำมาหากิน”
พูดจบนกก็เรียก “น้องบูม ชญาภา พงศ์สุภาชาคริต” ลูกสาววัย 19 ปีมาแนะนำให้รู้จัก
“น้องบูมอายุ 19 ปีเรียนนิเทศศาสตร์ปี 1 ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เป็นเด็กที่ขยันมาก ตั้งแต่มีเรื่องมาก็ได้เขานี่แหละที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการหาเลี้ยงครอบครัว และเขาก็ส่งตัวเองเรียน บูมชอบร้องเพลงทุกวันนี้พอเลิกเรียนเสร็จก็ไปร้องเพลงตามร้านอาหาร”
ด้าน “น้องบูม” ก็เปิดเผยว่า...
“บูมชอบร้องเพลงค่ะที่ผ่านมาก็เคยไปประกวดไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ ได้เข้ารอบ 48 คน เพราะว่าเราต้องหาอะไรทำแล้วเพราะแม่เขามีคดีหาเงินไม่ได้ ที่ผ่านมาเราก็กู้หนี้ยืมสินมาใช้ พอถึงจุดหนึ่งบูมเลยคิดว่า เราคงต้องออกมาทำอะไรแล้วก็เลยเลือกที่จะประกวดเพื่อเปิดตัวเอง”
“แต่ก็คงไม่ประกวดอีกแล้วเพราะหนูเป็นคนที่ผิดหวังมาก ถ้าเกิดแพ้แล้วมันผิดหวังมากจะไม่อยากร้องเพลงตอนที่ประกวดไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์แล้วไม่ได้ หนูก็รู้สึกแย่เหมือนกันมันแบบไม่อยากร้องเพลงแล้ว แต่การแพ้ครั้งก็ให้อะไรเราเยอะค่ะ คิดไปคิดมาขนาดสุนารี ราชสีมา เขาก็ไม่ได้ที่หนึ่งแต่เขายังดังเลย”(ยิ้ม)
“ที่สำคัญพอผ่านเวทีการประกวดมาคนอื่นก็เห็นว่าเราสามารถร้องเพลงได้ เพื่อนของแม่เขาก็พาหนูไปร้องเพลงตามคาเฟ่ตามร้านอาหาร ก็ได้รางวัลเวลาร้องเพลงมาบ้างก็พออยู่ได้ค่ะ พอเลิกเรียนเสร็จ 6 โมงเย็นหนูก็แต่งตัวเตรียมไปร้องเพลง บางคืนมีร้อง 4 ที่ก็เลิกตี 2 ตี 3 พอเช้ามาก็ตื่นไปเรียน บางวันกลับมาแทบจะสว่างก็รอไปเรียนเลย”
“ก็ค่อนข้างหนักแต่สู้ค่ะ ไม่เหนื่อยไม่ท้อ ทำงานแบบนี้มาจะ 2 ปีแล้วหนูค่อนข้างชิน มันกลายเป็นว่าวันไหนไม่มีงานจะรู้สึกเหงาๆ แต่ตอนที่ทำใหม่ๆ ก็คิดเหมือนกันว่า มันเหนื่อยจังเลย เมื่อก่อนตอนที่แม่ทำงานในวงการเราไม่ต้องมาเหนื่อยขนาดนี้”
“แต่พอเหนื่อยแล้วก็คิดถึงเงิน เพราะถ้าไม่มีเงินเราก็ออกไปไหนไม่ได้ ไปเรียนก็ต้องใช้เงินไปกินข้าว ไหนจะยายอีก ไหนจะแม่อีก ก็ต้องประหยัดค่ะได้เงินมาก็เอาให้ยายหมดเลย ยายเขาจะให้ไปเรียนวันละ 100 บาท แต่ตอนนี้ไม่คิดอะไรแล้ว เราต้องมองในแง่ดี วัยรุ่นคนอื่นๆ ไม่มีโอกาสได้มาหาเงินแบบเรามีแต่เที่ยวไปวันๆ หนึ่ง เราได้มาอยู่ตรงนี้ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง เราจะไม่ทำตัวเที่ยวเสเพล”
เห็นลูกทำงานแล้วสงสาร
“เห็นลูกทำงานแล้วก็สงสารเขา เมื่อก่อนเราต้องหาเลี้ยงเขา แต่ตอนนี้เขาหาเลี้ยงแม่เลี้ยงยาย มันสะท้อนภาพเราตอนเด็กๆ ตอนสมัยเราเด็กๆ อายุเท่าเขา เราก็ทำงานตั้งแต่เด็กแบบนี้เหมือนกัน เรารู้ว่ามันเหนื่อยอยากไปไหนก็ไม่ได้ไปมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว ซึ่งจริงๆ แล้วมาถึงรุ่นเขาแล้ว เขาไม่ควรจะต้องมาเหนื่อยแบบนี้ เขาต้องสบายกว่านี้ถ้าไม่เกิดเหตุผิดพลาดขึ้นมาในชีวิตเรา”
“แต่เขาก็เป็นลูกที่น่ารักมาก เขาให้กำลังใจเราไม่ต้องกลัวหนูเหนื่อยหนูอยากทำงาน ก็เลยมาคิดอีกมุมหนึ่งว่า ก็ดีลูกเราได้มีประสบการณ์สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ในวันที่ไม่มีแม่ไม่มีใครแล้วเขาจะได้อยู่ได้ แต่พอมองย้อนกลับไปก็เสียใจนะที่ทำให้ลูกต้องลำบาก แต่ยังไงมันก็ผ่านไปแล้วก็คิดซะว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนจุดหนึ่งของชีวิตที่อาจจะแย่มากๆ แต่มันก็เป็นที่มาของสิ่งดีๆ หลายๆ อย่าง เราได้หลุดออกมาจากสิ่งนั้น และก็ได้มาเห็นความรักความสามัคคีของครอบครัวเรา”
“บอกได้เลยว่าในชีวิตนี้สิ่งที่ภูมิใจที่สุดในชีวิตก็คือลูก เพราะเขาไม่เคยทำให้เสียใจ ไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้เลย มีแต่เราซะอีกที่ไปสร้างปัญหาเอาไว้ ก็เคยขอโทษเขานะก็ขอโทษเขาบ่อยเหมือนกัน แต่จริงๆ แล้วครอบครัวเราจะไม่ค่อยมีคำพูดออกมา มันเหมือนจะรู้สึกออกมาเองโดยที่ไม่ต้องพูดกัน อย่างตัวเขาเองก็เหมือนกัน พอเขารู้สึกว่าเขาจะต้องเริ่มหาอะไรทำแล้วนะเพื่อเลี้ยงครอบครัว เขาก็ไม่พูดแต่เขาทำเลย เขาทำให้เราเห็นเลย”
แต่กว่าจะเข้มแข็งมาจนถึงวันนี้ “บูม” ยอมรับว่า ต้องฝ่าฟันกับเสียงรอบข้างที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแม่
“กับเพื่อนๆ ที่สนิทกันเขาจะโตๆ กันแล้วจะไม่มีใครมาถามจะทำตัวปกติ แต่จะมีเพื่อนรุ่นน้องหรือเพื่อนรุ่นพี่เขาจะเข้ามาถามเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับแม่ หรือไม่เวลาที่เราเดินผ่านก็ได้ยินเสียงเขาพูดๆ กันบ้าง แต่เราจะไม่ใส่ใจกับมันไม่คิดอะไร”
“ถามว่าอายไหม...คือ เขาคือแม่ ยังไงเขาก็คือแม่หนู แม่หนูแย่อยู่แล้วถ้าหนูไปใส่อารมณ์หรือไปทำอะไรที่ไม่ดีแล้วแม่หนูตายไปหนูไม่เอา หนูอยากรักษาชีวิตแม่ให้อยู่กับหนูดีกว่า ก็บอกเขาไปว่า อะไรที่มันพลาดไปแล้วไม่เป็นไร สิ่งที่ยังไม่เคยมี ยังไม่เคยมีบ้าน ยังไม่เคยมีรถ หนูจะทำให้มี”
“ตอนนี้ก็เริ่มทยอยใช้หนี้ที่เราไปกู้กันมาตอนที่แม่ไม่มีงาน แต่หนูโชคดีมากที่ตอนนี้พ่อเอก(เอกชัย ศรีวิชัย) มาช่วยดูแล พ่อเอกเมตตาให้หนูไปร้องเพลงที่วงพ่อเขาก็จะช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายบ้าง และเร็วๆ นี้ก็กำลังจะทำเพลงกับพ่อเอก แต่ตอนนี้หนูยังเรียนยังไงก็ต้องเรียนก่อนค่อยหาเวลามาทำเพลง”
“เป้าหมายที่วางไว้ถ้าหนูใช้หนี้หมดเมื่อไหร่ก็อยากจะซื้อรถให้แม่จะได้พาแม่กับยายไปโน่นไปนี่ แต่ตอนนี้หนูยังขับฟีโน่อยู่เลย(หัวเราะ) ทุกวันนี้หนูก็ขับไปเรียน(บ้านอยู่ไหน) บ้านอยู่แถวไฟฉาย(ขับไปเรียนแถวประชาชื่นเนี่ยนะ ?)ก็ไกลเหมือนกันค่ะ 18 กิโล แต่หนูไม่อยากนั่งรถเมล์มันช้ารถมันติดด้วยขับรถมอเตอร์ไซด์ก็สะดวกดี”
อยากจะขอโอกาสทำงานเพื่อช่วยลูกหาเงิน
“ก็เป็นห่วงเขาเพราะลูกเราเป็นผู้หญิงขับรถมอเตอร์ไซด์มันก็อันตราย ไปร้องเพลงตามร้านอาหารก็คนเยอะแยะไปหมด แต่เขาก็ดูแลตัวเองดีแต่งตัวเรียบร้อย เพราะโดยนิสัยเขาจะแมนๆ เหมือนผู้ชายสายเดี่ยวก็ไม่ใส่ สำหรับอนาคตต่อจากนี้ก็อยากจะแบ่งเบาเขาบ้าง อยากจะมีงานแสดงเพราะเป็นสิ่งที่เราทำมาโดยตลอด เพื่อที่จะได้เอาเงินไปเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มมีงานโทรเข้ามาบ้างแล้ว ล่าสุดก็พึ่งไปเล่นซิทคอมมาหนึ่งตอน แต่ละครยาวๆ ยังไม่มี”
“ก็อยากจะขอบคุณทุกๆ คนที่เคยให้การให้งานเรา เพราะการที่เขาให้งานเรามันเหมือนเขาให้ชีวิต ให้อนาคต ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเรา แต่เราได้ทำลายมันไปเอง ก็อยากจะขอโอกาสอีกซักครั้งไม่ใช่เพื่อตัวเองแต่เพื่อลูก เพราะทุกวันนี้เห็นเขาทำงานแล้วสงสาร ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ว่าจเป็นเรื่องคดีหรือติดคุกมันยังไม่เจ็บเท่าเห็นเขาเหนื่อย เราเป็นแม่เขานะ แต่เขาต้องมาดูแลเราอยากจะช่วยอะไรลูกได้บ้าง”
“ส่วนอนาคตของลูกเราไม่อยากจะวางแผนอะไรให้เขา เพราะที่ผ่านมาเขาเป็นเด็กดีมาโดยตลอด เขาคงดำเนินชีวิตต่อไปได้ดีกว่าเราซะด้วยซ้ำ”