xs
xsm
sm
md
lg

พระทั้งห้าที่ขบวนการเสาร์ 5 ห้อย/ต่อพงษ์ เศวตามร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เสาร์ห้า
ละครเรื่องเสาร์ห้า ตอนทับทิมสยาม ก็จบลงไปเรียบร้อยแล้วด้วยความสะบักสะบอมของพระเอกและเหล่าร้าย ซึ่งใครจะดูเอาฮาก็คงได้ความสำราญอย่างเต็มที่เพราะอาหลองแกจัดเต็มทุกฉากโดยเฉพาะกระสุนที่ปลิวกันยังราวกะคั่วข้าวโพดแน่ะ

แต่หลายคนยังติดใจครับ อยากทราบเรื่องพระเครื่องที่กลายมาเป็นชื่อของพระเอกทั้ง 5 คนของเรื่องนี้ อันได้แก่ เดี่ยว สมเด็จ ยอด นางพญา เทิด ยอดธง ดอน ท่ากระดาน และ กริ่ง คลองตะเคียน ว่าพระทั้ง 5 พิมพ์และ 5 กรุนี้มีลักษณะเป็นอย่างไร และที่สำคัญคืออภินิหารทางด้านไหน

สำหรับพระสมเด็จนั้นคงไม่ต้องแนะนำกัน เพราะในคอลัมน์พระของท่านอาจารย์ รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ท่านก็เขียนถึงพิมพ์ต่างๆ อยู่ทุกเล่ม เอากันว่าสำหรับพระเครื่องแล้ว พระสมเด็จคือจักรพรรดิแห่งพระเครื่องที่นำมาห้อยคอทั้งปวงและปลุกเสกโดยพระเถระแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งกลายเป็นตำนานนั่นคือ สมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ซึ่งเราๆท่านๆที่ไม่สามารถหาพระสมเด็จที่ท่านปลุกเสกมาห้อยคอได้ก็ใช้คาถาชินบัญชรที่ท่านผูกขึ้นมาจากนามของพระอรหันต์แทนก็ได้

แต่สำหรับพระองค์อื่นๆ ถ้าไม่ใช่เซียนพระหรือผู้ที่สนใจเรื่องนี้จริงๆ ก็คงนึกไม่ออกว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไรและมีพุทธคุณที่กล่าวขานร่ำลือด้านไหน

แต่ก่อนจะไปถึงพระองค์แรกนั้น ต้นเรื่องของนวนิยายเสาร์ 5 ได้พูดถึงพระภิกษุ 5 รูปที่ก็คงจะมีความเอกอุทางด้านวิชาอยู่มาก ทั้ง 5 รูปนั้นเป็นสหธรรมิกหรือเป็นพระสหายกัน ได้นัดแนะกันโดยยึดเอาฤกษ์ดีคือในวันและคืนเสาร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ซึ่งถือเป็นวันแข็งและปลุกเสกพระอะไรก็แล้วแต่ในวันที่ว่านี้พุทธคุณขององค์พระจะไม่มีวันเสื่อม ภิกษุทั้ง 5 รูปต่างก็มีพระที่ตนเองนับถือกันอยู่คนละองค์ ก็ไล่มาตั้งแต่พระสมเด็จ พระนางพญา พระยอดธง พระท่ากระดาน และพระกริ่งคลองตะเคียน มาปลุกเสกกันข้ามวันข้ามคืนโดยพลังวิชาที่ตัวเองมีอยู่ เมื่อเสร็จและพ้นพลังของวันเสาร์ 5 แล้วพระดังกล่าวก็เกิดความศักดิ์สิทธิ์ชนิดลองได้ขึ้นมา ทั้ง 5 รูปสัญญากันว่าจะเอาพระทั้ง 5 องค์ให้เด็กชายที่มีแวว แล้วจะให้นามสกุลใหม่ของเด็กที่มีแววเหล่านั้นกลายเป็นชื่อของพระเครื่องทั้งห้าที่ปลุกเสกกันในคืนนั้น

พูดมาถึงตรงนี้เซียนพระที่ถ้าอ่านนวนิยายมาถึงตอนนี้ก็คงจะบอกเหมือนกันว่า สงสัยว่าพระที่พระสงฆ์ในเรื่องนำมาปลุกนั้นน่าจะเป็นพระใหม่ที่ออกจากโรงงานและไม่ใช่พระกรุแต่อย่างไร เพราะเป็นพระที่นำมาปลุกโดยพลังของแต่ละท่าน เพราะฉะนั้น ราคาค่างวดในการให้เช่าบูชาจึงไม่มีอะไร ซึ่งก็ตัดปัญหาไปได้ว่า ทำไมเด็กอย่างเดียว ถึงได้พระสมเด็จซึ่งมีมูลค่าหลักล้านมาครอบครอง… คำตอบก็อยู่ตรงที่ว่าพระนั้นในสายตาของนักค้าพระอาจจะตีเก๊ไปเลยก็ได้ เพราะ เข้ากล้องแล้วดูว่า ไม่ถึงยุค ผิดพิมพ์ ผิดเนื้อ อะไรทำนองนี้ล่ะครับ

อย่างไรก็ตาม ผู้แต่งนวนิยายนี้นั้นต้องการให้ตัวละครในเรื่องไปปราบเหล่าร้ายที่คิดไม่ดีกับประเทศเป็นหลัก เพราะฉะนั้น พระพิมพ์ที่นำมาปลุกจึงเน้นไปทางพระเครื่องที่มีประวัติในเรื่องของความบู๊ หนังเหนียว แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี ยิง และฟัน แทง ไม่เข้า มากกว่าจะเน้นเรื่อง เมตตา โภคทรัพย์ มหาเสน่ห์ กันโรคภัยไข้เจ็บ หรือ โชคลาภ อย่างที่พระในยุคตลาดหุ้นรุ่งเรืองหรือค่านิยมในปัจจุบันชื่นชอบ

องค์ที่อยากแนะนำต่อจากพระสมเด็จก็คือ พระกริ่งคลองตะเคียน ซึ่งงานนี้ไม่ใช่พระกริ่งเนื้อโลหะอย่างที่เราๆคุ้นเคย แต่พระกริ่งคลองตะเคียนเป็นพระกรุที่ขึ้นบริเวณคลองตะเคียน จังหวัดพระนครศรีอยุธยานี่เอง ส่วนใครเป็นคนสร้างนี้ยังเถียงกันอยู่ แต่นักเล่นพระบอกว่า น่าจะเกิดสมัยอยุธยาตอนปลาย โดยดูจากลักษณะการจารยันตร์ในเนื้อพระ ลักษณะของพระกริ่งคลองตะเคียนนั้นทำมาจากดินผสมว่านและใบลาน พิมพ์พระด้านหน้านั้น เห็นก็ต้องรู้ว่าได้อิทธิพลมาจากพระคงเมืองเหนือแน่ๆ แต่สร้างเอกลักษณ์ของตัวเองด้วยการทำให้ข้างในกลวงและบรรจุเม็ดกริ่งที่ว่ากันว่าทำจากเม็ดพุทธรักษา พอเขย่าจะมีเสียงดังกรุกๆ ไม่ได้กังวานแบบพระกริ่งเนื้อโลหะ แต่เสียงแบบนี้แหละครับ เขาว่าเป็นพระที่โดดเด่นมากในเชิงบู๊คือ ด้านคงกระพันหนังเหนียวชนิดที่เรียกว่า ไปตีกับใครแมลงวันไม่ได้กินเลือดกันเลยทีเดียว และด้วยเอกลักษณ์ที่ตรงยอดพระดูแหลมๆ คล้ายกงเล็บเหยี่ยวหรือเล็บครุฑ ท่านก็ว่าพระกริ่งนี้ยังเจ๋งในการจัดการกับพิษงูด้วย เพราะงูจะถูกสยบหรือถ้าใครโดนงูกัดก็เอาพระท่านอุดที่แผลก็จะได้ผลขึ้นมา แต่ถึงยุคนี้แล้วคงไม่มีใครอุตริทำเช่นนั้น เพราะ ส่วนใหญ่พระท่านอยู่ในเลี่ยมทองหรือตลับทองทั้งสิ้น มูลค่าขนาดเจ้าของยินดีที่จะขับรถพาคนถูกงูฉกไปรับเซรุ่มที่โรงพยาบาลให้ดีกว่าจะเอาพระท่านมาฝนแก้พิษนะครับ

ส่วนที่นายเทิด ได้รับไปนั้น เรียกว่าพระยอดธง ซึ่งพระยอดธงนั้นก็ไม่ได้มีเอกลักษณ์ทางด้านพิมพ์แต่อย่างไร เพราะ สิ่งที่เซียนเขาเรียกว่าพระยอดธงเกิดจาก “เดือย”ตรงปลายก้นขององค์พระมากกว่าซึ่งเดือยดังกล่าวนั้นสามารถเอาไปเสียบบนยอดธงในสมัยก่อนเวลาที่กองทัพไทยจะไปรบกับศัตรูของชาติ ความเชื่อในเรื่องพระยอดธงว่าเหนียว และแคล้วคลาด สามารถปกป้องชีวิตของคนที่นับถือนั้นมีมากจริงๆ เพราะ หลายคนเชื่อว่าพระยอดธงนั้นท่านไม่ได้ปกป้องแค่คนคนเดียวที่ห้อยพระ แต่ด้วยเหตุที่องค์ท่านอยู่บนธงชัยของกองรบนั้น มันแปลความหมายได้อย่างเดียวว่า พลังพุทธคุณของท่านนั้นปกป้องกันทั้งกองทัพทีเดียว พระยอดธงจึงมีความหมายเช่นนี้ แม้ว่าพระยอดธงนั้นจะถูกมือผีขุดพบเจอมากมายแถวๆ อยุธยา ก็คงเพราะสมัยก่อนเป็นสมรภูมิไทยรบพม่าเป็นหลัก พอรบเสร็จก็ฝังลงกรุตามวัดต่างๆเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป แต่กระนั้นกรุพระยอดธงที่เขาว่าสุดยอดเจ๋งก็คือ กรุวัดไก่เตี้ย ที่ปทุมธานีครับ ซึ่งมีทั้งเนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อนาก แถมขนาดก็มีหลายขนาด ส่วนตัวผมเชื่อว่าจะเป็นเนื้ออะไรก็คงแผ่พลังป้องกันได้ดีไม่แพ้กัน แต่ยุคทองแพงถ้าเลือกได้ก็ต้องหาองค์ที่เป็นทองไว้ก่อน อิอิอิ

อีกองค์ก็คือ พระมหาอุดหยุดกระสุนและคงกระพันชนิด “ลองได้”มาตั้งแต่สมัยคุณปู่ นั่นคือ พระที่นายดอน ได้ไป อันได้แก่พระท่ากระดาน ซึ่งเป็นพระกรุเนื้อตะกั่วผสมเหล็กด้วยพิมพ์ที่เป็นเอกลักษณ์ที่เขาว่า ตาแดง เกศคด พระท่ากระดานขึ้นมาเป็นที่รู้จักจากกรุตามวัดร้างในตำบลท่ากระดาน จังหวัดกาญจนบุรีอันได้แก่ วัดเหนือ วัดกลาง และวัดใต้ ตั้งแต่ปี 2440 ศิลปะขององค์พระนั้นบอกได้ว่าเป็นศิลปะยุคอู่ทอง ขณะที่ปี 2496 ก็มีการพบกันอีกในบริเวณที่เป็นเขื่อนศรีนครินทร์ในปัจจุบัน แต่ลักษณะพิมพ์และส่วนผสมขององค์พระยังได้ลักษณะเหมือนกรุเก่าที่เคยพบนั่นคือ เป็นพระตะกั่วที่คลุมไปด้วยสนิมแดง บุคคลที่นิยมพระท่ากระดานนั้น ตอนเด็กๆผมเห็นหลายคนเคยห้อยกันอยู่ กล่าวได้ว่าเกือบทุกคนอยู่ในอาการซ่าชะมัดยาด เคยถามเขาว่าทำไมถึงมีอาการอย่างนั้นเขาบอกว่าห้อยแล้วคึก แน่นอนว่าเพราะความเชื่อในเรื่องพุทธคุณก็อาจจะมีส่วนที่ทำให้คนเหล่านั้นออกอาการดังกล่าว และเหตุด้วยเป็นพระศิลปะอู่ทอง เพราะฉะนั้น คนเหล่านั้นก็จะอ้างเสมอด้วยว่า พระของเขายังโดดเด่นในเรื่องโชคลาภและโภคทรัพย์ตามชื่อศิลปะอู่ทอง…สนนราคาของพระท่ากระดานแท้ๆ นั้นแพงระยับทีเดียว ก็เพราะเสียงร่ำลือในเรื่องลองได้นั่นเอง

สุดท้ายก็คือพระของนายยอด ซึ่งเป็นพระที่มีพุทธคุณแปลกออกจากพระองค์อื่นๆ ที่พูดมา เพราะมีส่วนผสมของเรื่องเมตตา มหาเสน่ห์ เหมาะสำหรับผู้หญิงห้อยยิ่งนัก พระดังกล่าวก็คือ พระดินเผาพิมพ์สามเหลี่ยมที่เรียกว่า พระนางพญา ซึ่งดังที่สุดก็ต้อง นางพญาพิษณุโลก กรุวัดนางพญาซึ่งนางพญาที่พูดก็หมายถึงพระวิสุทธิกษัตรี อันเป็นพระมเหสีของพระมหาธรรมราชาพระองค์ท่านได้สร้างเอาไว้ ใครที่เคยดูเรื่องพระนเรศวร หรือย้อนไปสมัยพระสุริโยทัยฉบับท่านมุ้ยก็คงจะนึกออก และพระนางก็คือเสด็จแม่ของพระนเรศวรมหาราชนั่นเอง

พระนางพญานั้นโด่งดังมาตั้งแต่สมัยโบราณมากแล้วจากการแตกกรุขึ้นมาในปี 2444 และพ่อเมืองพิษณุโลกนำทูลเกล้าฯถวายต่อองค์รัชกาลที่ 5 ด้วยศักดิ์ศรีของผู้สร้างที่อยู่ในระดับนางพญาของหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทำให้เสียงร่ำลือเกี่ยวกับพุทธคุณของพระนางพญานั้นครบถ้วนครับตั้งแต่ แคล้วคลาด คงกระพัน ขนาดระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่สองยังเอาชีวิตผู้ห้อยไม่ได้ ทั้งยังทำให้ชีวิตรุ่งเรือง เจริญก้าวหน้า โภคทรัพย์ก็มี และสุดท้ายเพราะผู้สร้างเป็นที่รักใคร่ของอาณาประชาราษฎร์ องค์พระก็เลยมีพุทธคุณทางด้านเมตตามหานิยมพ่วงมาด้วย ซึ่งก็ทำให้พระนางพญา กรุเก่าๆ เหล่านี้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในพระเบญจภาคีที่ราคาสุดยอดแพงในปัจจุบันนี้ครับ
สมเด็จฯ
นางพญาฯ
ยอดธง
ท่ากระดาน
คลองตะเคียน
กำลังโหลดความคิดเห็น