รู้จัก “ดีเจจั๊ดจ์” ผู้กล้าวิจารณ์ “ศปภ.โง่เง่า” ,สับ “ประชา พรหมนอก” แก่ , จวกรัฐบาลเลือกคนผิดฝาผิดตัวแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ,สมน้ำหน้าที่โดนประชาชนด่า , เปิดใจไม่หวั่นวิจารณ์ศปภ.จนโดนไล่ออกจากงาน บอกเป็นความในใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์เพราะทำงานไม่ได้ดั่งใจ สุดสงสาร “ปู” ที่เคยช็อบปิ้งกินข้าวกับลูกและสามีใช้เงินไม่มีหมดในชาตินี้ กลับต้องมาทุกข์ใจนอนไม่หลับเพราะเป็นนายกฯ แต่เป็นสิ่งที่ต้องแลกเพราะอยากถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นนายกหญิงคนแรก
โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คกลายเป็นเวทีระบายความในใจของใครต่อใครหลายคนถึงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมรัฐบาล ไล่มาตั้งแต่ตั้งตอนที่ตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย หรือ ศปภ.ใหม่ๆ ที่สื่อสารไม่ตรงไปตรงมาและไม่ชัดเจนจนโดนวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว มีดาราหลายคนใช้โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คพูดคุยถึงปัญหาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น "หนิง ปณิตา พัฒนาหิรัญ" ที่ทวิตเตอร์ว่า “สส.ที่เลือกมาหายไปไหนหมดอ๊ะ ไม่เห็นทำไรได้ซักคน เห็นแต่เอาหน้าโดยการเอาของที่ ปปช.บริจาคไปเป็นของตัวเองว่ามาจากตน กินกันยังไม่พออีกเหรอ” และอีกหลายต่อหลายคนแต่ที่เด็ดสุดเห็นจะเป็น “หนูดี วนิษา เรซ” ผู้อำนวยการโรงเรียนวนิษา ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามผู้แต่งหนังสือ “อัจฉริยะสร้างได้” ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตว่า “ขอพูดอะไรแรงๆ สักก็ ที่วนิษา ครั้งในชีวิตค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้...น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”
“บิลลี่ โอแกน” เองก็มีข่าวว่า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กดุเดือดว่ารัฐบาลไร้ปัญญาแก้ไขน้ำท่วม ไล่ไปร้องไห้ให้ควายดู จนกลายเป็นเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์ แม้ว่าเจ้าตัวจะยังไม่ออกมายอมรับว่าเป็นเฟซบุ๊กของตนเองจริงหรือไม่
ล่าสุด “ดีเจจั๊ดจ์ ธีมะ กาญจนะไพริน” แห่งคลื่น สบาย 90 เอฟเอ็ม ของบริษัทพีดี ครีเอชั่น จำกัด ก็ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ศปภ.ผ่านสถานี และจัดรายการ “จั๊ดจ์จัด” ลงยูทูปด้วยถ้อยคำที่ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แต่งตั้งให้ “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” อดีตอธิบดีกรมตำรวจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมาเป็นผู้อำนวยการศูนย์ทั้งที่ไม่มีความรู้เรื่องน้ำ เพราะเติบโตมาจากการเป็นตำรวจมาทั้งชีวิต พอออกมาแถลงข่าวทีก็อ่านสคริปท์ และสื่อสารไม่รู้เรื่อง แผนที่ที่เอามาประกอบการแถลงข่าวก็ห่วย ไม่มีเงินจ้างทำกราฟฟิกให้ประชาชนเข้าใจหรือไง งานนี้ดีเจจั๊ดเลยจัดหนักว่า “ทั้งแก่ทั้งโง่” น่าจะไปดูการแถลงข่าวและการทำงานของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.ซะบ้าง สรุปสั้นๆ ว่า “โง่เง่า”
ซึ่งภายหลังที่คลิปวิพากษ์วิจารณ์ศปภ.ดังกล่าวถูกเผยแพร่ลงในยูทูปดีเจจั๊ดก็โดนบริษัทพีดีพักงานและถูกไล่ออกในที่สุด เป็นดีเจทำงานบริษัทใหญ่ๆ อยู่ดีๆ ทำไมถึงไปวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมือง อะไรที่ทำให้ดีเจจั๊ดทะลักจุดแตก วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับดีเจจั๊ดให้มากขึ้น ไหนๆ ก็ออกจากงานแล้ววันนี้ขอบอกว่าดีเจจั๊ดจ์จัดหนักแน่...
“เรื่องราวมันเกิดขึ้นเมื่อวันที่11 ตุลาคม วันนั้นผมจัดรายการคนเดียวพี่ธงธง มกจ๊ก(คัชฑาเทพ เอี่ยมศิริ)ดีเจที่จัดคู่กันไม่อยู่ แล้วศปภ.ก็ขอความร่วมมือมายังคลื่นคือต้องตัดรายการเข้าศปภ.วันละ 3 รอบ 10.00 น., 16.00 น. และ 22.00 น. ซึ่งช่วงที่ผมจัดอยู่เป็นช่วง 15.00 -18.00 น. ก็อยู่ในช่วงแถลงข่าวพอดี แต่วันนั้นศปภ.ไม่แถลงข่าวแต่ก็ไม่แจ้งมาว่าจะไม่แถลงข่าว พอผมเปิดไมค์มาก็เลยพูดเหน็บแนมไปนิดๆ หน่อยๆ ประมาณว่าจะแถลงแล้วทำไมไม่แถลง รายละเอียดจำไม่ได้แล้วแต่โดยเนื้อหาก็ประมาณนี้”
“จากนั้นก็มีการพักงานผม โดยที่ไม่มีการเรียกไปเตือนแต่เป็นการโทรศัพท์มาหาผม โดยให้เหตุผลว่าศปภ.กับกองทัพก็ดำเนินนโยบายเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอยู่แล้ว ดังนั้นการที่เราไปว่าเขามันก็ไม่ถูกต้อง ผมก็ช็อกพอสมควรแต่ก็ยอมรับในการตัดสินใจของเขา ผมเองก็เคยจัดรายการวิทยุมาก่อนและก็เคยถูกพักงานเพราะไปพูดถึงเรื่องการเมือง ตอนนั้นจัดอยู่คลื่นแม็ก 103.0 ของอาร์เอส ผมจัดรายการชื่อจั๊ดจัดซึ่งเป็นชื่อเดียวกับที่ลงในยูทูป ตอนนั้นคุณสมัคร สุนทรเวช เสียชีวิตผมก็เปิดเพลงซึ่งมันในยูทูปที่คุณสมัครเคยร้องไว้ เนื้อหาเพลงประมาณว่าคนเราตายไปเอาอะไรไปไม่ได้ชื่อเสียงเงินทองเกียรติยศทำความดีกันไว้เถอะ ก็มีผู้ใหญ่เรียกไปเตือนและก็โดนพักงานไปหนึ่งสัปดาห์และกลับมาจัดรายการต่อ”
“ส่วนครั้งนี้ผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ไม่ได้มากเท่าครั้งนั้นด้วยซ้ำแต่ผมก็โดนพักงาน 3 สัปดาห์กว่า พอสัปดาห์ที่ 4 ก็โทรมาบอกผมว่าจะมีการปรับผังและจะไม่ให้ผมจัดแล้ว ผมก็เสียใจครับแต่ว่าก็คาดเดาเอาไว้แล้วว่าอาจจะเป็นแบบนี้(จริงๆ แล้วบริษัทเขามีกฎห้ามพูดเรื่องการเมืองในขณะจัดรายการหรือเปล่า) เขาห้ามพูดครับแต่ผมเองเคยโทรศัพท์ไปคุยกับเอ็มดีของคลื่นนี้ว่า ถ้าเป็นช่วงของผมขอพูดเรื่องการเมืองบ้างได้ไหม ก็ได้รับคำตอบว่าพูดได้เพราะเขาเชื่อมั่นฝีมือของผมกับพี่ธงธงว่าจะสามารถพูดให้ไม่แรงเกินไปได้ แต่ตรงนี้ผมไม่มีหลักฐานเพราะเป็นการพูดคุยกันส่วนตัว”
“โปรดิวเซอร์เขาก็บอกว่า จั๊ดจ์ต้องเข้าใจนะว่าบริษัทจะต้องดีลงานทั้งภาครัฐและเอกชน บริษัทพีดีนอกจากจะทำรายการวิทยุและโทรทัศน์แล้วก็ยังมีธุรกิจอีเว้นท์ที่จะต้องดิวกับราชการ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นอะไรยังไงก็ควรจะวางตัวเป็นกลางก่อน และเราเป็นสื่อด้านบันเทิงก็ควรจะยืนอยู่ตรงกลางและไม่ควรมีภาพลักษณ์ที่รุนแรงเอียงไปเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”
“สำหรับการทำหน้าที่สื่อผมคิดว่าคิดแบบนั้นมันไม่ถูกต้อง แต่ผมก็เข้าใจในมุมมองของบริษัทนะครับที่จะต้องมองในเรื่องของเม็ดเงินการติดต่องาน แต่สำหรับผมเองผมคิดว่าสื่อสารมวลชนจะต้องนำเสนอข้อมูลให้รอบด้าน และข้อมูลรอบด้านมันก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องยืนอยู่ตรงกลางเสมอไป ถ้ามันได้ผ่านการศึกษาข้อมูลมาอย่างละเอียดแล้วว่ามันเป็นแบบนั้น เราก็ควรจะถ่ายทอดข้อมูลออกไป แต่ในการถ่ายทอดมันมีวิธีจบของข้อความที่เราอยากจะสื่อสารออกไปให้ผู้ฟังเอาข้อมูลของเราไปตัดสินโดยใช้วิจารณญาณของเขาเอง”
“ผมว่าการเป็นสื่อมันไม่ควรจะกลัวในเรื่องของการเมืองและผลักเรื่องการเมืองไปอยู่ไกลตัว ผมว่าการเมืองเป็นธรรมดาของชีวิตคนครับ แต่การเมืองเป็นสิ่งต้องห้ามไม่กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นโดยเฉพาะคนบันเทิงส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นว่าตนเองสนับสนุนฝ่ายไหนหรืออะไรยังไง ผมว่าการที่เราสนับสนุนฝ่ายไหนไม่ได้หมายความว่าเราไม่สามัคคี เพราะเลือกตั้งเราก็ต้องเลือกข้างอยู่แล้ว เราก็ต้องมีข้างที่เราปลื้ม มันเป็นการแสดงความคิดเห็นมากกว่าทำไมเราถึงชอบนโยบายของฝั่งนี้”
แล้ว “จั๊ดจ์” เลือกข้างไหน ?
“ผมขอยืนอยู่ข้างสถาบันพระมหากษัตริย์ครับ อันนี้คือจุดยืนของผม ผมเป็นคนที่รักและเทิดทูนในหลวง ท่านมีคุณูปการต่อประเทศชาติมากมายก่ายกอง ฉะนั้นการเมืองอยากจะเล่นอะไรก็เล่นไปแต่อย่าเล่นถึงพระองค์ท่าน ผมเข้าใจว่ามีคนสนับสนุนเสื้อแดงเสื้อเหลือง ชอบประชาธิปัตย์หรือว่าอยู่พรรคเพื่อไทย หรือว่าจะอะไรก็ตามที แต่ไม่ควรจะล้มล้างระบอบการปกครองที่มีอยู่ในปัจจุบัน คือผมไม่สนับสนุนพวกที่ล้มเจ้าครับ”
“ในยูทูปผมก็มีการพูดถึงมาตรา 112 ที่อยากจะแก้ไขกันเหลือเกิน ผมคิดว่าระบอบการเมืองในปัจจุบันมันดีพอแล้วถ้านักการเมืองมีคุณภาพเล่นการเมืองกันอย่างสะอาดไม่โกง ถ้ามองไปรอบตัวทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมกันเป็นประเทศไทยมันถูกแฝงไปด้วยสัญลักษณ์ ถูกแฝงไปด้วยพระเดชพระคุณ ถูกปลูกฝังไปด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่มันเป็นสิ่งดีงามที่ถ่ายทอดมาโดยสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นที่จะไปล้มล้างไปทำให้พระราชอำนาจของท่านหายไป ถ้าคุณบอกว่าประชาธิปไตยมันจะไม่เต็มใบ แต่ผมว่ามันเต็มใบครับถ้าคุณทำอะไรตามลู่ตามทางที่มันดี ขอแค่คุณอย่าโกงมันเพียงพอแล้ว”
เมื่อปี 2538 ที่เกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่ไม่ต่างจากปัจจุบัน ครั้งนั้นในหลวงทรงมีพระราชวินิจฉัยและพระราชทานแนวพระราชดำริการแก้ปัญหาน้ำท่วมจนประเทศชาติรอดพ้นจากวิกฤติด้วยพระปรีชาสามารถ แต่ในขณะที่รัฐบาลของยิ่งลักษณ์ กลับไปดึงเอานักวิชาการต่างประเทศเข้ามาวุ่นวายในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมไปหมด ทั้งที่เรามีกษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถเก่งในเรื่องน้ำอยู่แล้ว ที่เรามีเขื่อนไว้กักเก็บน้ำ มีโน่นนี่ระบบที่เกี่ยวกับน้ำ ก็เกิดจากโครงการพระราชดำริและพระปรีชาสามารถของในหลวงทั้งสิ้น แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับให้ความสำคัญกับต่างประเทศ แม้แต่สื่อมวลชนเองก็ไม่นำเสนอข่าวเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเมื่อปี 2538 ของพระองค์ให้แพร่หลาย มีแต่ไปตามติดก้นฝรั่งให้ฝรั่งมาวิพากษ์วิจารณ์การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของประเทศไทย เรื่องนี้ “ดีเจจั๊ดจ์” ให้ความเห็นว่า....
“ผมรู้สึกว่าหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่ในหลวงทรงทำไว้ให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะเรื่องน้ำมันชัดเจนอยู่แล้ว เราควรจะน้อมรับเอาพระราชดำริที่เกี่ยวกับเรื่องน้ำมาบริหารจัดการ พระองค์ท่านอยู่กับปัญหาน้ำมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปีแต่นักการเมืองอยู่มา 2 ปีหรืออย่างมากก็ไม่เกิน 8 ปี แต่จริงๆ แล้วอยู่ไม่ถึงสมัยซะด้วยซ้ำ กลับมาลองผิดลองถูกกับประเทศ ทำไมไม่นำเอาแนวทางของในหลวงมาปฏิบัติ ส่วนเรื่องที่เอานักวิชาการต่างชาติมาประเทศไทยเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำโดยเฉพาะนักวิชาการเนเธอร์แลนด์ที่เก่งเรื่องน้ำเอาแนวคิดเขามารวมกับเราได้ก็ดี”
“แม้แต่ข้าราชการของไทยเองก็ดูแลด้านน้ำมานานเขาอยู่กับตรงนี้มานาน กว่าจะขึ้นมาเป็นระดับอธิบดีระดับปลัดกระทรวงเขาต้องทำงานด้านนี้มาแล้วกี่สิบปี เขามีความรู้ความสามารถตรงนี้ดี แต่พอถึงเวลาจะต้องให้เขามาฟังอำนาจการสั่งการจากนักการเมืองที่พึ่งจะมาบริหารประเทศ ผมอยากจะให้นักการเมืองฟังข้าราชการบ้าง และเอาอำนาจที่นักการเมืองมีไปสั่งการให้อำนวยความสะดวกในการทำงานของข้าราชการ”
“อย่างคุณประชาเป็นตำรวจมาตลอดชีวิตอยู่ดีๆ ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมก็พอเข้าใจได้ แต่อยู่ดีๆ เอามาเป็นผู้อำนวยการศปภ.ถามว่ากางแผนที่ออกมาท่านรู้หรือเปล่าอะไรตรงไหน เขื่อนไหนมีกำลังกักเก็บเท่าไหร่ควรจะบริหารเท่าไหร่ ท่านก็อาศัยการอ่านเพิ่มเติมเมื่อตอนที่เข้ามารับตำแหน่ง ท่านอยู่กับตำแหน่งกี่วันล่ะครับ เดือนหรือสองเดือน ? เทียบกับข้าราชการที่ทำงานด้านนี้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เรียนจบมา ใครมันจะมีความรู้ความสามารถกว่ากันล่ะครับ"
เผยเหตุผลที่หยิบยกเรื่องศปภ.มาลงยูทูป และวิพกาษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า “โง่”
“มันเป็นเรื่องที่อยู่ในกระแสและแม้แต่คนธรรมดาที่ดูข่าวก็สามารถบอกได้ว่า ศปภ.มีจุดบกพร่องอะไรบ้างมันชัดเจน มันมีเรื่องให้เราพูดเยอะ ส่วนที่ใช้คำพูดโง่หรือสมน้ำหน้า อยากจะบอกว่ามันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริงในตอนนั้น ซึ่งคำพูดนี้อยู่ในคลิปจั๊ดจัด 2 มันเป็นคลิปที่ไม่ได้คิดอะไรเลย ก่อนทำคลิปที่ 2 ก็ไปคุยกับน้องคนหนึ่งเขาก็บอกจะรออะไรทำไปเลยๆ”
“พอกลับไปถึงบ้านปุ๊บเตรียมประเด็นแค่ครึ่งชั่วโมงก็อัดคลิปเลย มันก็เลยกลายเป็นอีโมชั่นซะเยอะมากเลย อารมณ์นั้นมันคือแบบไม่ได้อย่างใจทำไมไม่ทำแบบนี้ และยิ่งเรามีโอกาสได้ไปลงพื้นที่บ้างอาทิตย์ละครั้ง เราก็ได้ไปเห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐระดับบริหารไม่ได้ทำอะไรเลย คนที่มาทำจะเป็นระดับอบต.อบจ.กำนัน ผู้ใหญ่บ้านอะไรแบบนี้ มันทำให้เห็นถึงประสิทธิภาพของศปภ.จริงๆ ว่ามันไม่ทั่วถึง”
“ตรงนี้มันสะท้อนหลายๆ อย่างในการเลือกคนที่มาทำงานในศปภ.ที่ไปเอาคนที่ทำป่าไม้มาทำ หรือเอาคนที่ดูแลตำรวจมาทำ ผมรู้สึกว่ามันผิดฝาผิดตัวไปหน่อยในการวางตัวเอาคนที่มาดูแลอุทกภัย ผมคิดว่าคนที่จะทำเรื่องนี้ได้ดีกว่าก็คือคนที่อยู่ในกระทรวงเกษตรหรือเกี่ยวกับการบริหารน้ำ หรือไม่ก็กระทรวงมหาดไทย เนื่องจากมหาดไทยเขาถืออำนาจข้าราชการทั่วประเทศอยู่ในมือ มันน่าจะมีอำนาจการสั่งการที่โดยตรงเลย”
“อีกสิ่งหนึ่งที่ศปภ.มีปัญหามากเลยก็คือการสื่อสาร มันสามารถทำอะไรได้มากกว่านั่งหน้าไมค์แล้วพูดไปเรื่อยๆ อธิบายอะไรก็ไม่รู้ชาวบ้านชาวช่องที่ดูอยู่ก็ไม่รู้ว่าพูดถึงเรื่องอะไร คลองอะไรอยู่ตรงไหน น้ำมันมาอยู่ตรงไหนแล้ว กลับกลายเป็นว่าประชาชนต้องมาฝากความหวังกับสื่อมวลชน ต้องมาติดตามข่าวเอาเองเพราะฟังศปภ.แล้วไม่เข้าใจ”
“ซึ่งผมคิดว่าในเมื่อตั้งขึ้นมาเป็นศูนย์แล้วเนี่ยคุณต้องดูแลเรื่องการสื่อสารให้ดี การที่จะแถลงไปเอาคนนอกที่สื่อสารง่ายๆ มานั่งแถลงก็ได้ อาจจะเป็นผู้ประกาศข่าวหรือใครก็ได้ที่สามารถอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ง่ายๆ และก็เอาชาร์ตมาอธิบายให้เห็นภาพ คือความเป็นรัฐบาลมันมีศักยภาพที่จะทำได้ ทำไมจะต้องให้ทีมเด็กๆ รู้สู้ FLOOD มาทำเป็นคลิปที่โด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองไปไกลถึงต่างประเทศ”
“ผมรู้สึกว่าถ้าศปภ.มีวิสัยทัศน์เขาจะต้องปรับปรุงเรื่องการสื่อสารของเขา การแถลงของศปภ.หลังจากผ่านมาเป็นเดือนก็ยังเป็นอีแบบเดิมนั่งแถลงข่าววนไปวนมา จนคนเบื่อไม่อยากดูว่าจะพูดอะไร เพราะคนรู้สึกว่าฟังแล้วอาจจะเป็นข้อมูลที่ผิด หรืออาจจะเป็นข้อมูลที่ถูกก็ยากต่อการเข้าใจ เขาจึงหันไปพึ่งพาสื่อสารมวลชน”
“ศปภ.ควรที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจเหมือนที่สื่อมวลชนทำ อย่างผมไปดูรายหนึ่งของญี่ปุ่นเขาก็พูดถึงเรื่องน้ำท่วมของเรา เขาทำเป็นแผนที่เอาโมเดลขึ้นมาเอาเรือมาตั้ง ตอนนี้กำลังมีการเอาเรือดันน้ำเท่าไหร่ๆ คันกั้นน้ำของกรุงเทพมหานครยาวเท่าไหร่ก็เอาคันมาทำเป็นโมเดลเลย ดูแล้วมันเข้าใจง่าย หรือเอาง่ายๆ เราดูการรายงานสถานการณ์น้ำของอาจารย์เสรี(รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์) ผ่านไทยพีบีเอสเรายังเข้าใจ ตรงนี้คือน้ำ อันนี้คือคลอง วันนี้น้ำเท่าไหร่ลดลงมาเท่าไหร่”
“ซึ่งผมว่ามันไม่น่าจะยากเกินไปสำหรับศปภ. แต่นี่ศปภ.เล่นซีร็อกแผนที่มาใหญ่ๆ แล้วก็เอามือจิ้มไปที่โน่นที่นี่ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้กันว่าไอ้ที่จิ้มๆ นี่มันคืออะไร แล้วก็บอกว่า เดี๋ยวนี้จะผ่านมาตรงนี้ๆ บางทีลากปากกาผ่านมาเลยทั้งอำเภอ ไม่มีการเจาะลงไป ซึ่งไอ้คำว่าตรงนี้ๆ มันคือตรงไหน ช่วยทำให้มันเข้าใจง่ายๆ หน่อยได้ไหมสำหรับคนที่มีความรู้เรื่องแผนที่หรือไม่มีความรู้เรื่องแผนที่ก็ตาม”
“แม้แต่เรื่องของคอลเซ็นเตอร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการขอความช่วยเหลือ กลับทำงานไม่มีประสิทธิภาพผมเคยโทรไปถามทางก็ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง พอโทรไปอีกครั้งเพื่อถามทางก็ไม่ให้คำตอบ บอกว่าที่นี่คือศูนย์ร้องเรียนไม่ใช่ที่ถามทางให้ถามทางหลวงทั้งที่สายแรกให้รายละเอียด ก็ให้เบอร์คอลเซ็นเตอร์ทางหลวงมา แต่โทรไปหาทางหลวง 20 - 30 สายก็ไม่มีใครรับ คือถ้าให้เบอร์คอลเซ็นเตอร์มามันก็ควรจะมีการจัดการที่ดีคุณต้องมีการประเมินให้ได้ว่า วันหนึ่งจะมีคนโทรมากี่สาย ควรที่จะมีพนักงานมานั่งรับสายกี่คน มันเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องจัดการให้ได้”
สรุป การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้ที่ไม่ประสบความสำเร็จเกิดจากองค์ประกอบหลายๆ อย่างงไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเลือกผู้มาบริหาร ศปภ. ที่ผิดฝาผิดตัว การสื่อสารที่ผิดพลาดไม่ตรงไปตรงมาฟังไม่รู้เรื่อง โทรหาคอลเซ็นเตอร์ก็รอเป็นชาติไม่มีคนรับ พอมีคนรับก็บอกข้อมูลผิดอีก คำว่า “โง่เง่า” จึงเป็นบทสรุปของคลิปจั๊ดจ์จัด
“มันก็เป็นคอนเซ็ปต์นะครับ ผมรู้สึกว่าการที่คนเราจะมาเป็นรัฐบาลมันไม่ได้หมายความว่าจะต้องเพอร์เฟคซะหมด แต่ควรจะผ่านมาตรฐานของการเป็นผู้นำคนทั้งประเทศ ไม่ใช่ผิดซ้ำซากทุกวันๆ แบบนี้ จะบอกว่าพึ่งมาบริหารได้ 2 เดือนเองมันไม่ใช่หรอกครับ มันไม่ใช่เรื่องของระยะเวลา ตอนหาเสียงก็บอกว่าพร้อมรับใช้ประชาชน พอมาเป็นรัฐบาลบอกพึ่งมาบริหารงานได้ 2 เดือนเอง อย่างนี้มันใช่เหรอครับ”
“คนที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีมันถืออำนาจหลายๆ อย่าง เขาจะต้องเตรียมตัวรับให้ได้กับสถานการณ์ทุกรูปแบบ เครื่องไม้เครื่องมือมันมีอยู่ตรงไหนบ้างต้องเอาออกมาใช้ให้หมด นายกรัฐมนตรีก็เถอะท่านรู้หรือเปล่าสำนักนายกมันมีกี่กรมกี่กองกี่สำนักงาน ท่านมีแขนมีขาอยู่เท่าไหร่ตรงไหนบ้าง โครงสร้างขององค์กรมันมีอะไรบ้าง ข้อมูลพวกนี้สำหรับคนที่เป็นผู้นำประเทศมันจะต้องรู้ไม่งั้นยอมรับไม่ได้”
“นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องลงไปทำอะไรเองทั้งหมด เพราะมันล้นมือเกินไป การที่ใช้เวลาแค่ 50 วันแล้วก็ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีท่านไม่เคยคลุกอยู่กับการเมืองเลย มันต่างจากนายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ ที่เมื่อก่อนจะเริ่มต้นจากการเป็นสส.การเป็นรัฐมนตรีช่วยจนกระทั่งเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ด้วยความที่ท่านใช้เวลาน้อยมากมาเร็วมากมันทำให้มีปัญหาเรื่องโครงสร้างและการประสานงาน มือไม้มันอยู่ตรงไหนบ้าง ทำให้อะไรหลายๆ อย่างมันสะดุด”
“ปัญหาครั้งนี้เป็นปัญหาที่ใหญ่มาก การทำงานที่ผิดพลาดซ้ำทำให้หลายๆ คนถามหาความรับผิดชอบแต่ผมคงไม่คาดหวังในเรื่องที่จะให้ลาออก เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นใครแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก มันคงยากนะครับ เพราะเห็นแต่โยนไปให้ฝั่งโน้นทีฝั่งนี้ที ไม่แม้แต่จะขอโทษด้วยซ้ำ ซึ่งจริงๆ แล้วคนไทยใจกว้างนะครับ การที่คุณบริหารบางอย่างแล้วผิด แค่ออกมาบอกว่าฉันผิดและฉันจะแก้ไขแบบนี้ๆ ก็พอแล้วไม่ต้องดื้อรั้นโยนไปให้คนอื่น ไม่ต้องถึงกับลาออกแค่รับผิดและก็แก้ไขพอ การที่ใช้โฆษกฝีปากดีขนาดไหนจะเล่นแร่แปลธาตุหรือใช้ชั้นเชิงภาษาใดๆ มันไม่มีประโยชน์ เพราะมันผิดไปแล้ว ใครๆ ก็รู้ว่ามันผิดพลาดไม่งั้นคงไม่เป็นแบบนี้ ก็ควรจะยอมรับ คนไทยรับได้อยู่แล้วเพราะรู้ว่าปัญหาครั้งนี้มันใหญ่”
แล้วการที่ “นายกยิ่งลักษณ์” ออกมาร้องไห้ล่ะ ไม่ได้แสดงถึงความจริงใจเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือ ?
“คือบางทีมันก็บ่อยไปและมันไม่ได้ช่วยอะไรนะครับ เอาจริงๆ แล้วผมรู้สึกสงสารท่านนายกรัฐมนตรีมาก จากเมื่อก่อนมีเงินใช้มากมายไม่มีที่สิ้นสุดไปในชาตินี้ อยู่กับลูกกับสามีไปช็อบปิ้งกินข้าว ไปบริหารงานในองค์กรที่ท่านมีความถนัดเพราะทำมานาน แต่ทุกวันนี้ผมคิดว่าท่านคงไม่ได้มีความสุข คงจะนอนไม่ค่อยหลับ มันเป็นความทุกข์ของชีวิตมนุษย์ที่ไปรับหน้าที่ๆ ไม่เคยทำเลย แต่มันคือสิ่งที่ท่านจะต้องแลกถ้าจะอยากจะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ ได้ชื่อว่านายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย”
“คิดว่าคงจะทุกข์ ก่อนนอนก็ต้องทุกข์ พรุ่งนี้จะต้องแถลงข่าวอะไร จะต้องเกร็งมากๆ จะพูดอะไรผิดหรือเปล่า ในช่วงเย็นจบจากการแถลงข่าวจะต้องโดนด่าอะไรบ้าง ผมว่ามันหนักสำหรับมนุษย์คนหนึ่งที่จะแบกรับไว้ได้ แต่ว่ามันสายไปแล้วที่ท่านจะหันหลังกลับ”
ถึงแม้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่ล้มเหลว แต่ก็มีการกู้หน้าโดยการประกาศเดินหน้านโยบายกู้แหลกเพื่อหาเงินมาแก้ไขปัญหาน้ำท่วมระยะยาว โดยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมระยะยาว ซึ่งรายชื่อคณะกรรมการบางคนที่เข้ามาร่วมนั้นต้องยอมรับว่า กู้หน้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งงานนี้ดีเจจั๊ดจ์บอกว่า...
“ผมว่าวิธีการแบบนี้นิยมใช้กันมากครับ เดี๋ยวก็ตั้งคณะกรรมอันโน้นอันนี้ รัฐบาลชุดที่แล้วก็ตั้งคณะกรรมการแบบนี้ขึ้นมา แต่ถามว่าคณะกรรมการเหล่านี้จะมีอำนาจจริงหรือไม่ เพราะจริงๆ แล้วพอคณะกรรมการเสนอแนวทางอะไรไปอำนาจการตัดสินใจก็อยู่ที่รัฐบาลว่าจะปฏิบัติตามหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลได้จากการตั้งคณะกรรมการครั้งนี้คือทำให้ประชาชนเห็นว่า รัฐบาลได้ทำอะไรลงไปบ้างเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล”
“กับการที่ผมออกมาพูดครั้งนี้ก็ยอมรับครับว่ามันตรงและแรง ผมก็ต้องยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นกับชีวิตผม ฟีดแบคในการทำคลิปก็มีทั้งคนว่าและคนชมผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร ถือซะว่าจะเอาไปปรับในการทำคลิปครั้งต่อไป และนอกเหนือจากการวิพากษ์วิจารณ์จากสิ่งที่ผมคิดแล้ว ผมก็อยากจะให้คลิปนี้สะท้อนตัวตนของผมว่า ผมไม่ได้ทำได้แต่พิธีกรรายการเพลงวัยรุ่น ผมมีมุมมองในเรื่องแบบนี้และผมสามารถทำงานแบบอื่นได้ มันเป็นเหมือนการเปิดตัวเองไปยังสิ่งใหม่ๆ ให้คนอื่นได้รับรู้”
“แต่ถามว่าพอทำอย่างนี้แล้วมีใครมาข่มขู่ไหม ก็บอกตรงๆ ว่ามีบ้าง แต่ผมว่าคนที่เขาจะทำจริงๆ เขาคงไม่มานั่งด่าในอินเตอร์เน็ต ก็คงเป็นเหมือนคนที่นั่งพิมพ์มาตามบ้านตามช่องแต่เขาคงไม่ได้มาทำอะไร แต่คนที่เขาจะทำจริงๆ เขาคงทำเลยไม่มานั่งพูดแบบนี้หรอก ผมรู้สึกเฉยๆ ไม่คิดตัวเองจะไม่ปลอดภัย เพราะผมเป็นแค่ตัวเล็กๆ คำพูดของผมคงไม่ได้มีอิทธิพลอะไรมาก แต่แม่ก็เป็นห่วงเหมือนกัน แม่ไม่อยากให้ทำเลยเพราะเขารู้ว่าชีวิตส่วนตัวมันมีผลกระทบ และผมก็เป็นคนหาเงินหลักๆ ให้กับครอบครัวด้วย แต่แม่เขาก็เคารพในการตัดสินใจของผมในทุกๆ เรื่อง”
“สำหรับเรื่องงานตอนนี้ผมก็ยังอยู่ในช่วงที่คิดว่าจะไปแบบไหนยังไงดี แต่อย่างน้อยๆ ก็ยังมีเพื่อนๆ พี่ๆ นิเทศจุฬาฯ ที่ช่วยให้งานผมในช่วงที่ผมยังไม่มีงาน ก็คงต้องดูเป็นวีคๆ ไปว่าจะยังไงต่อ แต่ก็ยอมรับว่าตอนนี้ก็มีที่ติดต่อมาที่จะให้ไปทำงานพิธีกรเกี่ยวกับเรื่องวิพากษ์วิจารณ์เลย แต่เราก็ต้องมาคิดอีกเพราะว่าผมอาจจะต้องสูญเสียงานบันเทิงที่ผมรัก มันเป็นธรรมดาของคนในประเทศนี้ที่พอคนในวงการหันไปวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมืองแล้วมักจะกลับมาทำงานในวงการบันเทิงไม่ได้ เขาไม่ชอบคนที่เลือกฝั่ง วงการบันเทิงมันเหมือนโดนสาปเป็นวงการที่ไม่สามารถจะมอบความรู้หรือสาระให้คนดูได้มากนัก ไม่สามารถจะไปแตะหรือวิพากษ์วิจารณ์การเมืองได้เลยไม่งั้นคุณก็จะเจอแบบผม”
“นั่นคือสิ่งที่ผมคิดอยู่ว่า จะเลิกวิพากษ์วิจารณ์ให้สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นอดีตลดๆ สิ่งเหล่านี้ลงมา หรือเราจะเปิดตัวเองให้เต็มที่หันมาทำงานอีกด้านที่ไม่ใช่วงการบันเทิงให้มันต่างไปเลย นั่นคือสิ่งที่ผมต้องตัดสินใจ”