“มาร์ค มาร์คุซ” นายแบบดัง โร่แจ้งความที่สน. ห้วยขวาง เอาเรื่องแม่เลี้ยงแอบอ้างหลอกเงินญาติไปจ่ายค่าหมอให้พ่อ ทั้งที่ไม่เป็นเรื่องจริง ซ้ำยังอุ๊บอิ๊บเอกสารสำคัญของพ่อไป หวั่นเอาไปทำธุรกรรมการเงิน บอก ที่แจ้งความเพราะอยากปกป้องชื่อเสียงของพ่อที่เสียชีวิตไปแล้ว
ถึงกับต้องโร่ขึ้นโรงพักเลยทีเดียว สำหรับนายแบบชื่อดัง “มาร์ค มาร์คุซ” หลังเจ้าตัวโดนแม่เลี้ยงบุกอาละวาดกลางงานศพพ่อ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ส.ค.ที่ผ่านมา แถมก่อนหน้านี้ยังแอบอ้างไปหลอกเรี่ยไรเงินจากเพื่อนฝูงและญาติๆ ของพ่อว่า จะเอาไปเป็นค่ารักษาพยาบาลในช่วงที่พ่อป่วย ซึ่งไม่เป็นเรื่องจริง เพราะแม่เลี้ยงไม่ได้รับผิดชอบในส่วนนั้น อีกทั้งยังพบว่าเอกสารสำคัญของพ่อหายไปหลายอย่าง ทวงถามไปก็ไม่ยอมเอามาคืน จึงเกรงว่าแม่เลี้ยงคู่กรณีจะเอาไปทำธุรกรรมการเงินโดยพลการ หวั่นจะมีปัญหาตามมาภายหลัง และต้องการยืนยันว่าตนไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยในทุกๆ กรณี จึงตัดสินใจให้ตำรวจเข้ามาช่วยจัดการให้
โดยในวันนี้(25 ส.ค.) หนุ่มมาร์คได้เดินทางมาแจ้งความไว้ที่ สน. ห้วยขวาง โดยมีเพื่อนสนิท “มาริสา แอนนิต้า” มาให้กำลังด้วย ซึ่งเจ้าตัวได้เล่าถึงชนวนเหตุให้ฟังว่า….
“บังเอิญมีเหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาครับ(21 ส.ค.) คืองานศพคุณพ่อ แล้วก็มีแฟนเก่าพ่อมาอาละวาด ซึ่งผมก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ซะทีเดียว แต่เท่าที่ฟังมา หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นที่โรงพยาบาลมันมีอะไรไม่ชอบมาพากลนิดหน่อย แล้วมาตอนนี้ก็มีการใช้ชื่อคุณพ่ออ้างอิง ไม่ว่ากับเพื่อนเขาหรือว่าอะไร สำหรับผู้หญิงคนนี้ผมรู้จักเขามาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว และก็เคยเจอเขาครั้งเดียว ก็เหมือนเขาเคยโทรมาแล้วก็อีเมล์มาครั้งหนึ่ง แต่เขาก็ได้เลิกกับคุณพ่อไปหลายปีที่แล้ว”
“เพราะฉะนั้นผมไม่รู้ว่า ช่วงเวลาที่ผมอยู่โรงพยาบาลแล้วไม่ได้ออกมาเจอผู้คน มันมีการใช้ชื่อนี้ไหม ผมก็อยากจะให้ชัวร์ว่าระหว่างที่คุณพ่ออยู่ที่โรงพยาบาลเนี่ย ได้มีการเอาชื่อไปใช้หรือเปล่า หรือว่าถ้ามีการเอาชื่อไปใช้ หรือนำไปเรี่ยไรเงิน หรือพูดอะไรที่เป็นเท็จขึ้นมา ให้มีหลักฐานขึ้นมาว่า ไม่ได้มาจากคุณพ่อ และก็ไม่ได้มาจากผมแน่นอน”
“วันงานศพพ่อเขาก็พูดว่าพ่อเป็นคนไม่ดี ซึ่งผมก็สะเทือนใจมากในวันนั้นนะครับ แล้วก็มีเพื่อนๆ บางคนเขาโดนประมาณว่า ขอเงินค่ารักษาพยาบาลไป ซึ่งเป็นเรื่องจริงมากน้อยแค่ไหนผมก็ไม่ทราบ แต่ว่าผมแค่อยากป้องกันแล้วก็แก้ไข ส่วนที่เขาว่าคุณพ่อก็จะมีประมาณว่า คุณพ่อไม่เคยดูแล แต่ความจริงแล้วเขาเป็นแฟนที่เลิกกันไปแล้ว แค่นั้นเอง แต่ผมสงสารท่าน ในฐานะที่ผมเป็นลูกก็ไม่อยากให้ชื่อเสียงเขาเสีย เพราะตอนนี้เขาก็ไปแล้ว ผมก็พยายามทำดีที่สุดแล้ว แล้วอย่างเดียวที่จะยังอยู่ได้ก็คือชื่อเสียงของเขา”
“อย่างที่บอกไปสิ่งที่เขานำไปแอบอ้างก็มีบ้างครับ ผมก็ไม่แน่ใจว่าอะไรบ้าง มันก็เล็กๆ น้อยๆ ก็มีประมาณว่า เรื่องค่ารักษาของพ่อ เขาก็ไปบอกเพื่อนพ่อว่า เขาเป็นคนรับผิดชอบ ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง ตอนนี้ผมพยายามทำเอกสารทุกอย่างให้คุณพ่ออยู่ครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่สถานทูต แต่ผมก็บอกเพื่อนๆ คุณพ่อไว้แล้วว่า เดี๋ยวเราคงต้องคุยกันเป็นเรื่องเป็นราว เพราะว่ามันก็มีหลายเรื่องที่เข้ามาเกี่ยวข้อง”
บอก ได้มีการพูดคุยกับแฟนเก่าพ่อมาหลายรอบแล้ว แต่ตกลงกันไม่ลงตัวจึงจำเป็นต้องให้ตำรวจจัดการ
“การพูดคุยก่อนหน้าที่จะมีงานศพก็อยู่โรงพยาบาล คือก็พูดกันหลายร้อยรอบแล้วนะครับ แล้วคือว่ากระเป๋าเอกสารเนี่ย มันก็มาไม่ครบซะที ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ก็ยืนร้องไห้อยู่ข้างพ่อ มาจนกระทั้งวันสุดท้าย ถามว่าผมโกรธไหม ผมโกรธนะครับ ที่มีคนมายืนด่าพ่อ มาตะโกนอยู่ในงานศพในวันเผาของพ่อ ทั้งๆ ที่ไฟมันเพิ่งจะลุก เพราะฉะนั้นแค่เราเสียกันไปก็เสียใจพอแล้ว”
“วันเผาที่เขามา ก็มีปากเสียงกันครับ แต่ผมมัวแต่ร้องไห้ ก็เลยออกมาได้ยินตอนท้ายๆ แล้วก็ยังงงอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะได้ยินเหมือนเสียงทะเลาะกันหนักมากเลย แล้วก็มีพี่ๆ มาบอกให้ผมออกไปจากตรงนี้ไปก่อน แต่ผมก็บอกว่าไม่เป็นไร ฟังไปให้จบดีกว่า แล้วซักพักเขาก็พูดอะไรออกมาสักอย่าง เขาก็ดึงผมออกไปเลย ผมคิดว่าเขาต้องพูดอะไรร้ายแรงสักอย่าง แล้วก็รู้สึกว่าต้องไม่มีอะไรไม่ดี เขาถึงดึงเราออกไปขนาดนั้น”
ส่วนเรื่องคดีตอนนี้ก็แค่ลงบันทึกประจำวันไว้ก่อน รวมถึงเรื่องตรวจสอบทรัพย์สินก็กำลังดำเนินการตรวจสอบ
“ส่วนเรื่องทรัพย์สินเอกสารของคุณพ่อ เท่าที่ทราบมาอยู่ไม่ครบเลยครับ มันก็มีอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ขาดๆหายๆ ไป ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่ามีอะไรบ้าง แล้วพอผมได้คุยกับคนรอบข้าง แล้วก็แฟนคุณพ่อมันก็กลายเป็นว่ามันมีอะไรซักอย่างหายไป เช่น บัตรเครดิตก็หาย ตอนนี้ยังไม่มีการเช็คยอดนะครับ เพราะผมยังเช็คไม่ได้ วันนี้ก็แค่มาลงบันทึกประจำวันไว้ก่อน แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้นมาเนี่ย ก็ให้รู้เลยว่ามันไม่ได้มาจากผม ส่วนเรื่องเงินทองทรัพย์สินยังไม่ทราบว่ามีอะไรหายไปบ้าง ตอนนี้กำลังดำเนินการอยู่ครับ”
“วันนี้ก็แค่จะบอกว่าถ้ามีอะไรใช้ชื่อผม หรือชื่อพ่อผม มันก็เป็นตัวยื่นยันว่ามันไม่ได้มาจากผม และคุณพ่อผมจริงๆ เพราะว่าเราใช้ปากเปล่าไม่ได้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ก็เลยมาลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานก่อน ส่วนเรื่องที่ผมจะตรวจสอบนั้นก็มีครับ แล้วมันก็มาเป็นเรื่องในวันเผาว่าเขาจะไม่ยอมให้ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”
ไม่อยากให้เรื่องถึงทนาย เพราะอยากให้เรื่องจบด้วยดี
“ผมมาลงบันทึกประจำวัน ส่วนขั้นตอนต่อไปทางตำรวจเขาจะดำเนินการต่อเอง ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรต่อไป ตอนนี้ก็พยายามฟังคำแนะนำจากคนอื่น ผมหวังว่าเรื่องนี้คงไม่ต้องใช้ทนายครับ เพราะก็อยากให้จบๆ ไปเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกไหม เพราะผมก็เป็นลูกที่เหลือคนเดียวของพ่อแล้ว”