xs
xsm
sm
md
lg

เส้นทางอันโลดโผนของราชินีนักบู๊ “เปิ้ล จารุณี”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“เปิ้ล จารุณี สุขสวัสดิ์” ที่เมื่อเอ่ยชื่อนี้ใครๆ ก็จะจำภาพของเธอได้กับบทบาทนางเอกสาวนักบู๊ ความกล้าบ้าบิ่นที่เจ้าตัวเคยฝากผลงานไว้กับภาพยนตร์เรื่องต่างๆ ในอดีต ซึ่งผลงานภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงให้เจ้าตัวเป็นเรื่องแรกนั่นก็คือเรื่อง “สวัสดีคุณครู” และมาเป็นนางเอกเต็มตัวในเรื่องที่สอง "รักแล้วรอหน่อย" คู่กับ “สรพงศ์ ชาตรี” ส่วนภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จและทำรายได้อย่างสูงคือภาพยนตร์ “บ้านทรายทอง” เมื่อปี2523 ซึ่งทำเงินไปถึง 7 ล้านบาท นับว่าเป็นนางเอกที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการภาพยนตร์ไทย และทำให้เจ้าตัวเป็นที่ต้องการของบรรดาผู้สร้างภาพยนตร์ในทันที อีกทั้งจุดเด่นของ "เปิ้ล จารุณี" นั้นขึ้นชื่อได้ว่าเป็นนางเอกที่สามารถเล่นได้ทุกบทบาท ทั้งแนวดราม่า บทบู๊ บทนางเอกแก่นแก้ว จนเป็นที่ถูกอกถูกใจกับแฟนๆ ละครในสมัยนั้น

ทั้งนี้ทาง “รายการเปิดหมดเปลือก” ทางช่อง Super บันเทิง จึงขอย้อนเส้นทางชีวิตวัยเด็กก่อนจะโด่งดังเป็น “ราชินีนักบู๊” ที่กว่าจะมายืนจุดสูงสุดของวงการบันเทิงได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะเคยเจออุบัติเหตุหนักๆถึง 2 ครั้งซ้อนจนทำให้หวิดเป็นอัมพาตตลอดชีวิต

“นับตั้งแต่เราเขียนจดหมายไปสมัครงานเราอยากได้งาน เพื่อที่จะมาช่วยครอบครัวเรา เพราะตอนนั้นครอบครัวเรายากจนก็เลยได้เขียนใบสมัคร บวกกับความคะนองและอายุก็ยังน้อย ตอนนั้นเรามีเพื่อนหลายคนและรูปที่เรามีก็เป็นรูปรวมเราก็เอามาตัดแบ่ง และก็เอารูปนี้ไปสมัคร ไม่มีการไปถ่ายในสตูเหมือนตอนนี้เลย และสมัยก่อนมันยากมากต้องวิ่งหารูปจากเพื่อนๆที่เขาได้รูปมา เพราะเราไม่มีกล้องก็เลยต้องไปขอตัดแบ่งมา”

“และเราก็ได้ส่งรูปไปเขาก็จะเห็นหน้าเราไม่ค่อยชัดและคนที่เป็นเจ้าของสังกัดก็ตามไปดูประวัติของเรา พอเขาดูแล้วเขาก็ทิ้ง แต่พอเขาเลือกทั้งหมดใน2พันกว่าคนที่ส่งเข้าไป มันก็ไม่มีคนที่เขาต้องการ เขาก็เลยกลับมาหาคนที่เขียนประวัติมาว่าเตะต่อยได้ เราเขียนบอกไปเลย และนี่ก็อาจจะเป็นที่มาของฉายาราชินีนักบู๊ก็ได้ และเราก็ได้โชว์เขาด้วยว่าเตะต้นกล้วยขาดเลย แต่เราก็ไม่เชิงเป็นสาวห้าวนะเพราะสมัยก่อนจะมีแต่หนังเตะต่อยแบบนี้เยอะ และเราเองถ้ามีโอกาสดูหนังกลางแปลง ก็จะเป็นอารมณ์แบบพระเอกควงปืนประมาณนี้ แล้วเราก็ยังเด็กเวลาดูเราก็จำมาแบบนั้น”

“พอเจ้าของสังกัดเขาจำได้ว่ามีเด็กที่มีความสามารถเตะต่อยได้ เขาก็ไปรื้อประวัติและก็เรียกมาเป็นครั้งแรก แต่ครั้งนั้นก็มีคนอื่นมานั่งรออยู่หลายคนเหมือนกัน เขาก็ให้เราไปกับช่างภาพ ก็ให้เรายิ้ม ให้ดูทั้งด้านหน้าและด้านข้างให้ทำหน้าโมโห และเขาก็ให้กลับ เราก็คิดว่า เรียกมาแค่นี้เองเหรอสงสัยไม่ได้แน่เลย เราก็ถอดใจไปแล้ว และต่อมาอีกเดือนนึงก็มีจดหมายมาและบอกว่า เที่ยวนี้ให้พาผู้ปกครองไปด้วย เพราะตอนนั้นเรายังอายุไม่ถึง15 วันนั้นเราก็พายายนั่งรถสองแถวไปและก็ไปนั่งที่เดิม และคนที่มาสัมภาษณ์เราก็พูดว่า บริษัทต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ นานาไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายที่จะต้องปั้นหน้าของคนสัมภาษณ์เขาดุมากเลยนะ และเขาก็บอกรายละเอียดว่าหนังเรื่องนี้จะใช้เวลาถ่ายทำ4เดือน และเราจะได้เงินสี่หมื่นบาท พอได้ยินเราก็ตาโตเลย เพราะเราผ่านงานลำบากมาตลอด และก็ได้อย่างเต็มที่เลยเดือนละ700บาท”

“และเมื่อก่อนเงิน700บาทเราแบ่งเป็นสามส่วน เป็นค่าเช่าบ้านช่วยแม่ เก็บไว้เรียนหนังสือ และก็ใช้ของตัวเอง แต่พอเรามาได้1หมื่นบาทใน4เดือน เงินมันเยอะมาก เราก็ดีใจและรีบบอกให้ยายเซ็นก็เลยมาเป็นการเริ่มต้นกับงานแสดงในหนังเรื่อง สวัสดีคุณครู”

ผลงานแจ้งเกิดคือเรื่องสวัสดีคุณครู บอกเป็นนางเอกคนแรกๆ ที่แหวกแนวไม่เรียบร้อย

“ถ้าพูดถึงเรื่องที่แจ้งเกิดเลยก็น่าจะเป็นเรื่องสวัสดีคุณครู เป็นเรื่องแรกเลย แต่ไม่ได้พูดถึงรายได้ ถ้ารายได้เยอะจริงๆ ก็จะเป็นเรื่องบ้านทรายทอง เป็นเรื่องที่ทำรายได้สูงสุดในตอนนั้น และนางเอกสมัยนั้นก็จะเปรียบเหมือนโอชินในหนังเกาหลี ที่ผู้หญิงจะต้องเป็นช้างเท้าหลัง จะต้องยอมตลอดเวลาจะเป็นมาตั้งแต่คุณเพชรา เชาวราษฎร์ คุณอรัญญา นามวงศ์ จนกระทั่งก่อนหน้าเราคือคุณเนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ ซึ่งก่อนหน้าเราก็ยังจะเป็นอย่างนั้น ตอนนั้นคุณเนาวรัตน์ก็จะเล่นเรื่องแผ่นดินของเรา จะเล่นแบบถูกกดขี่ทางอารมณ์ที่ผู้หญิงจะเป็นผู้รองรับ และต่อมาอยู่ๆ ก็จะเป็นเราเข้ามาซึ่งดูแปลกตาไป ก็จะเป็นบทที่แก่นแก้วขึ้นมา”

“สำหรับเปิ้ลคิดว่าปีแรกเหมือนมีเราที่เป็นนักแสดงวัยรุ่นขึ้นมามันเป็นบทที่ร่าเริงสดใส จากนั้นประมาณปีกว่าหรือสองปี น่าจะเป็นปี2522 เราก็ได้รับบทที่แตกต่างออกไปรวมไปถึง รับบทพจมานในเรื่องบ้านทรายทองด้วย และสมัยก่อนนางเอกที่เป็นลูกครึ่งมีน้อยเลยเป็นที่แปลกตา และเราก็ได้รับบทสลักจิตในภาพสาวลูกครึ่ง และในปีเดียวกันเราก็มาเล่นเรื่องเสือภูเขา คนก็จะเห็นว่าคนนี้เล่นสลักจิตมาก่อน ที่เป็นบทเศร้าๆ ดราม่า และอยู่ดีๆ ไม่นานก็กลับมาควงมีดวิ่งข้ามภูเขา และก็เล่นละครบ้านทรายทองรับบทเป็นผู้หญิงหยิ่งทะนงรักศักดิ์ศรี รักความยุติธรรม ใครห้ามมาเอาเปรียบ ทั้งนี้ก็เลยเรียกว่าเราปฏิวัติความเป็นหญิงขึ้นมา จากโศกเศร้ากลับกลายเป็นสู่เพื่อตัวเองขึ้นมา อันนี้ก็อาจไปโดนความในใจของผู้หญิงหลายๆ คน”

“อาจเป็นไปได้ว่าที่เราโดนใจหลายๆ คนเป็นเพราะคนอื่นเขาไม่เล่นค่ะ(หัวเราะ) อย่างที่บอกเมื่อกี้ว่าเรื่องเสือภูเขาเราต้องวิ่งข้ามภูเขา แล้วต้องวิ่งจริงๆ แต่มาสมัยนี้การแสดงก็ง่ายขึ้น อย่างสมัยก่อนต้องทำจริงๆหมด เราก็ต้องทุ่มเทกับการฝึก อย่างการควงมีดไปสลับไปมาสองมือ ซึ่งก็ต้องมีรุ่นพี่มาช่วยสอน และเราก็ต้องฝึกตอนนั้นและก็ต้องทำภาพให้ได้เดี๋ยวนั้น มันเลยก็เหนื่อย ต้องทุ่มเทและใช้พลังงานมาก ซึ่งตอนนั้นก็จะเป็นจุดเปลี่ยนจากภาพของผู้หญิงที่เรียบร้อยๆ มาเป็นผู้หญิงที่แข็งแรงขึ้น และสมัยนั้นผู้หญิงเขาก็ยังไม่คิดเหมือนเรา เขาก็จะทำงานสบายๆ กัน แต่เราก็ไม่ถึงกันเทียบเท่าผู้ชายหรอกนะ แต่มันก็เหนื่อย และทุลักทุเลมาก”

“เห็นเราเล่นเข้าป่า ขึ้นเขาขนาดนี้ เรื่องค่าตัวก็จะพูดยากเพราะเรายังอยู่ในสังกัด สังกัดเก็บเงิน และเราก็ได้เงินเป็นเงินเดือนอยู่ระยะหนึ่ง เพราะฉะนั้นจะพูดยาก หนึ่งยุคสมัยก็ต่างกัน ค่าของเงินก็ต่างกันรวมถึงสภาพของสังคมก็ต่างกัน แล้วเป็นช่วงที่มีสังกัดขั้นมาใหม่ๆ เราก็จะเป็นคนหนึ่งในสังกัด อย่างไปออกงานนะเราต้องขึ้นรถแห่ไปรอบเลย เหนื่อยค่ะ แต่ไม่ได้เงินเพราะเราเป็นเด็กสังกัด แต่สมัยนี้ออกงานกันจนรวยเลยถึงกับซื้อรถซื้อบ้านได้เลย แต่โชว์ตัวตอนนั้นก็อยู่ในช่วงโปรโมทหนัง แต่ช่วงหลังๆมาไปโชว์ตัวก็ได้เงิน แต่สังกัดเก็บอยู่ดี เรื่องแบบนี้พูดยากเพราะมันก็เป็นแบบนี้มาตลอด”

ถึงแม้จะเล่นหนังมาร่วม 200เรื่องแต่ก็มีปัญหาเรื่องหนี้สิน เพราะต้องดูแลครอบครัวเป็นส่วนใหญ่

“เรื่องหนี้สินเป็นเรื่องธรรมชาติ(หัวเราะ) แต่มันก็เริ่มมาจากที่เราไม่ได้เก็บเงินเอง และเราก็เป็นคนอยู่ง่าย แต่ก็ไม่ถึงกับมัธยัสถ์ ไม่ประหยัดมาก ต้องบอกว่างานนักแสดงต่างจากงานธรรมดานิดนึง เพราะการที่อยู่ในสังกัดเราก็ไม่สามารถไปซื้อของเซ็นทรัล โรบินสันได้ และเราก็ต้องวานคนอื่นทำให้เราเสียเงินมากกว่าคนอื่น สมมุติว่าเรามีเวลาอยู่ชั่วโมงนึง เราไม่มีเวลาที่จะพิถีพิถันอะไรมากมาย ก็ต้องรีบเอามาใช้งาน เรื่องพวกนี้มันเป็นช่องโหว่ของนักแสดง แต่สำหรับตัวเราจริงๆ ก็ยังง่ายๆ เหมือนเดิม”

“เราจะไม่มีปัญหาเรื่องฟุ่มเฟื่อย ส่วนใหญ่เงินจะออกไปในทางเหมือนๆกันทุกๆคนนะค่ะ เพราะว่าเราก็มีคนที่ตัวเองรัก ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่คุณยายและครอบครัว และเราก็จะใช้เงินไปในการดูแลครอบครัวส่วนใหญ่ และเรื่องการไม่วางแผนการใช้เงินก็มีส่วน เพราะเราเข้ามาในวงการบันเทิงตั้งแต่อายุ14 และเราก็ไม่ได้อยู่กับครอบครัว เรื่องที่จะมาวางแผนการใช้เงินเป๊ะๆ มันก็จะไม่เก่งเหมือนกับคนอื่น”

โหมถ่ายทำหนังจึงเป็นเหตุทำให้เกิดอุบัติเหตุ ถึง 2ครั้งติดๆ หวิดเป็นอัมพาต ยังไม่ทันหายดีนายทุนก็เร่งให้มาถ่ายหนังต่อ

“ช่วงนั้นมันยังเด็กอยู่ยังอายุน้อยให้ทำอะไรก็ทำได้ เคยอดนอน3วัน3คืนโดยไม่เคยหลับแม้แต่งีบเดียว เราก็ต้องทำ อีกอย่างสังกัดวางแผนงานไว้ให้ด้วยว่าทุกๆ เดือนเราต้องไปรับใบคิว และบ้านเราก็อยู่ใกล้ๆ กับบริษัท พอสิ้นเดือนได้ใบนัดแล้วเราก็เดินข้ามไป แล้วเราก็ดูใบคิวของเรา มันก็จะออกมาเป็นกลางวันกลางคืนๆ เราก็ตกใจว่า กลางวันกลางคืนเกือบทุกวันเลย และถามว่ากลางวันคิวตั้งแต่ 7โมงเช้าจนถึง6โมงเย็น และคิวกลางคืนตั้งแต่ทุ่มนึงจนถึง6โมงเช้า เราก็ตกใจว่าเราจะเอาเวลานอนมาจากไหน”

“พอหลังจากถ่ายบ้านทรายทองเสร็จ ก็จะเอ๋อๆ เป็นหุ่นยนต์ แลก็กลายเป็นจารุณีคิวทอง ฉายานี้ไม่ได้ตั้งเองนะคะ คนอื่นเขาตั้งให้แต่ตอนนั้นเราก็ไม่คิดอะไร คิดแต่ว่าทำยังไงจะทำให้ครอบครัวเราดีขึ้น และเราก็จะมีภาพในใจให้เป็นแรงบันดาลใจ เรียกง่ายๆ ว่าเราก็มีแรงผลักดันอยู่ตลอดเวลา และเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยจริงๆ เลยก็จะเป็นเรื่องที่เกิดอุบัติเหตุเรือชนสะพานจากหนังเรื่องลูกสาวกำนัน”

“ยุคนั้นก็ไม่มีสตั้นท์แมน แต่เหตุที่มันเกิดก็คือทักษะที่เราไม่มีความชำนาญอยู่ ตอนนั้นเราถ่ายไปแล้วเที่ยวนึง แต่ภาพก็ยังไม่ได้จะสังเกตุว่า ภาพที่ลงข่าวก็ยังจะเบลอๆ และครั้งที่สองก็เลยขอให้เร็วกว่าครั้งที่แล้วเพราะว่าหนีผู้ร้ายมา และเราก็สบายใจว่าครั้งเมื่อกี้ก็ขับได้แล้ว พอครั้งนี้ให้ขับเร็ว เราก็เร็วเลย แต่อย่างที่บอกไปแต่แรกว่าเราก็ไม่ได้มีทักษะตั้งแต่แรก พอเร่งไปแล้วมันก็ร่อน และเราก็คุมสถานการณ์ไม่ได้ เหมือนตอนหัดขี่มอเตอร์ไซค์พอบอกให้เบรกเราก็ยิ่งบิดให้เร็ว”

“จากอุบัติเหตุในครั้งนั้นอาการบาดเจ็บของเราก็จะมีหน้าแถบนึงกระแทก และมีตรงจมูกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับหัก หลายๆ คนก็มองว่าไปเสริมจมูกมา ถ้าเสริมจริงจะเอาให้สูงกว่านี้ และก็ต้องเข้าผ่าตัด5ครั้ง จากที่กระดูกแหลกหมดและพอจะหาย คุณหมอก็มาดูๆ แล้วก็เอาเขาห้องผ่าตัดอีก เพราะว่ามันไม่ต่อกันมันขาดหมดเลยต้องใส่เหล็กอยู่4อัน ก็เกือบพิการต้องขอบคุณคุณหมอ ตอนนั้นก็คิดว่าจะไม่กลับมาเหมือนเดิมแล้ว เพราะตอนนอนอยู่ในที่นอนก็ไม่สามารถลุกเข้าห้องน้ำ หรือเดินได้”

“แต่ช่วงที่เราป่วยอยู่ ก็ต้องกลับมาทำงาน เพราะหนังที่เราถ่ายทำอยู่เรื่องที่เกิดอุบัติเหตุ มันจะต้องพากย์อยู่ตลอดเวลา และจะต้องรีบกลับไปทำให้จบ และอีกหลายเรื่องที่ยังไม่จบด้วย เพราะผู้จัดสมัยก่อนเขาก็จะกู้เงินเพื่อที่จะมาทำหนังกัน ไม่มีนายทุนเหมือนตอนนี้ เขาก็จะมากดดันเรา เพราะฉะนั้นก็ต้องทำและทางสังกัดก็จะมากดดันเราอีกด้านหนึ่ง และเหมือนผีซ้ำด้ามพลอยเรายังนอนหน้าเยินอยู่เลย พระเอกที่ถ่ายด้วยกันก็ดันมาเสียชีวิต”

“คราวนี้พระเอกที่เล่นด้วยกันเสียชีวิต ครั้งนี้ต้องถ่ายใหม่ทั้งเรื่องเลย เพราะต้องเปลี่ยนพระเอกใหม่ และเราที่จะต้องพักสามเดือนใส่เฝือกก็ต้องเอาเฝือกออก และก็ไปถ่ายใช้วิธีบังมุมกล้องเอา หน้าบังเยินร้อยเย็บอยู่เลย ส่วนอุบัติเหตุครั้งที่สองก็ยังหนักอยู่ เพราะหลังหัก หมอสรุปเลยว่าเป็นอัมพาต และหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไป พูดง่ายๆ ก็คือเราหมดประโยชน์ไปเลยทันที ทีนี้จะเป็นส่วนของเรื่องที่เราต้องทิ้งงานไว้ให้คนอื่นเดือดร้อน เพราะจารุณีไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว เพราะตั้งแต่เอวลงไปเราไม่รู้สึกเลย กระดูกมันหักในส่วนที่เป็นการควบคุมการทำงานส่วนล่างหมดเลย ขนาดหมดเอาเข็มมาจิ๋มจนมิดเลือดออกก็ยังไม่รู้สึก”

“พอทุกคนทราบว่า เราเป็นอัมพาตแน่ๆ แล้ว เขาก็ห่วงตัวเองกัน กลัวตัวเองจะเดือดร้อน แล้วต้องหานางเอกใหม่ต้องทำหนังให้จบ และควรจะทำอย่างไรกับหนังของเขา และเขาก็จะลืมเราไป รวมไปถึงวิธีการพูดกับเราก็จะเปลี่ยนไป จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย ทำให้เราหมดแรง และเจ็บใจยิ่งกว่าเจ็บกายอีก แต่เราก็ต้องคิดว่าเราจะทำอย่างไรที่จะพยุงตัวเองขึ้นมาทำงาน และดำเนินชีวิตต่อไปให้ได้ ”

เคราะห์ซ้ำยังมีอาการป่วยจากโรคไทรอยด์อีกส่งผลทำให้ตัวบวม

“เรื่องอาการป่วยครั้งนี้เราไม่เข้าใจเพราะบวม บวมจนใต้ตาห้อย คางย้อยไปเลย รูปหน้าเปลี่ยนไปเลย บวมถึงขนาดว่าเสื้อที่เราถอดไว้เมื่อคืนยังใส่ไม่ได้เลย แต่พอเราได้โทร.หาหมอ หมอก็อธิบายให้ฟังหมอก็บอกว่าได้บอกเราแล้ว ว่าเราจะท้วมขึ้นหน่อยนึง จากการดื่มรังสีเข้าไปรักษาไทรอยด์ของเรา เพราะคุณหมอบอกว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่คุณหมอไม่ได้บอกถึงรายละเอียด”

“ ตัวยาตัวนี้เขาเรียกว่า น้ำแร่101 เป็นวิธีรักษาไทรอยด์ ยาตัวนี้จะมีหลายชุด เล็ก กลาง และใหญ่ แต่คุณหมดไม่ได้บอกเราว่าใช้ชุดไหน แต่มาทราบทีหลังว่าคุณหมดจัดชุดใหญ่ให้ เขาบอกว่ามันดูแลง่ายว่าเมื่อถูกทำลายไปแล้ว คุณก็กินฮอร์โมนแทนเอาแต่ไม่ได้บอกว่าเราจะต้องมาเจอแบบนี้ และหลังจาก5-6เดือนก็ดีขึ้น แต่ระหว่างนั้นเราก็ต้องไปถ่ายให้มันจบเรื่อง และพอทิ้งระยะไปสักพัก มันก็กลับมาบวมแบบนี้อีกเราก็ไม่รู้จะหาวิธีรักษาได้อย่างไร”

จากพลังของความรักความผูกพันที่แฟนคลับมีให้ ทำให้มีกำลังใจสู้ต่อ

“เราเชื่อตรงนี้มากเลยค่ะ ว่าพลังของความรักความผูกพันจะดูได้จากจดหมายและคนที่มาเยี่ยมเรา และหลายๆ ทางที่เขาจะสามารถสื่อถึงเราได้ บางครั้งก็มีการสวดมนต์ให้กันเหมือนกับตอนนั้นที่มีคุณบิ๊กD2Bประสบอุบัติเหตุ แต่ตอนนั้นเราก็ได้พลังจากตรงนี้ และเราก็ไม่รู้จะเชื่ออะไร และคิดว่าเป็นปาฎิหารย์เพราะจากที่ไม่รู้สึกอะไรมาดีได้ขนาดนี้ แต่ตอนนั้นคุณหมอก็ไม่พูดถึงว่าจะไม่กลับมาใช้งานได้อีกนะ ทางคุณหมอยังคิดว่าเราอายุยังน้อยอยู่ โอกาสฟื้นฟูยังเยอะ และคุณหมอก็หาวิธีต่างๆทั้งฝังเข็ม และกายภาพบำบัด เป็นประจำทุกๆ เช้า และคุณหมอก็บอกว่าถ้าเราทำกายภาพบำบัดอย่างเต็มที่แล้ว และเราสามารถปัสสาวะได้เองนิดหน่อย ก็แสดงว่าดีขึ้นแล้ว และต่อมาอีกเดือนนึงเราก็ปัสสาวะเองด้วย ก็เฮกันยกใหญ่ และช่วงเวลาที่เราป่วยคนที่ดูแลเราในสังกัดก็เขามาดู ”

บอกทุกคนต้องเจอกับช่วงตกต่ำขอชีวิต แต่ให้คิดซะว่าเป็นการเปลี่ยนแปลง

“ตรงนี้เปิ้ลคิดว่า ชีวิตและโลกนี้คือการเปลี่ยนแปลง และทุกๆคนก็ต้องเจอสภาพแบบนี้ แต่เราเป็นนักแสดง ก็อาจจะมีการพูดถึงชีวิตและเอามาเปรียบเทียบกัน แต่เปิ้ลคิดว่าทุกๆ คนก็ต้องเจอการเปลี่ยนแปลงเหมือนกันหมด การที่เราเคยอยู่ในจุดที่สูงสุดและกลับมาอยู่ในจุดที่ต่ำสุด แต่ ณ ตอนนี้เราไม่คิดแบบนั้นนะ เปิ้ลคิดว่าเรายังเป็นคนที่มีลมหายใจอยู่ชีวิตมันยังไม่จบ ใครจะไปรู้วันนี้พรุ่งนี้เราอาจจะประสบความสำเร็จมากกว่า30ปีที่แล้วก็ได้ เรื่องแบบนี้มันไม่มีใครบอกได้ และเปิ้ลมองว่าเรื่องทุกๆ เรื่องมันเป็นการเปลี่ยนแปลงและตัวเราก็ต้องปรับให้ทัน”

พูดได้ว่าชีวิตของตัวเองยิ่งกว่าละครน้ำเน่า

“ใครบอกหนังไทยน้ำเน่า เปิ้ลเถียงสุดใจขาดดิ้น ชีวิตของมนุษย์โดยเฉพาะประเทศไทยหนักที่สุด หมายถึงว่าชีวิตมีการผกผันซับซ้อนมาหลายแง่มุม ยิ่งกว่านิยายหลายๆเรื่องที่เอามาเขียนอีก เราก็เคยเผลอๆไปมองในจุดที่เราตกต่ำไปบ้าง ชีวิตเราก็มีช่วงที่เราอ่อนแอบ้าง มันก็หนักๆเลยแค่ครั้งเดียว เพราะเป็นคนที่มีอะไรมากระทบจิตใจ ก็จะเป็นเรื่องเป็นราวเยอะนิดนึง จะเป็นการกระทบกระเทือนมากกว่าร่างกายอีก”

อยู่ในวงการมา 34ปี ไม่คิดว่าจะมีใครเป็นเพื่อนแท้นอกจากตัวเอง

“เรื่องนี้เปิ้ลว่า เปิ้ลให้คำจำกัดความของคำว่าเพื่อนดีกว่าอย่าพูดเป็นตัวบุคคลเลย เลปิ้รักเพื่อนคนนี้มากที่สุด เป็นคนที่เราพึ่งพาได้ตลอดเวลา และก็เป็นคนที่เห็นอกเห็นใจเรามากๆ ก็คือคนในกระจก นั่นคือตัวเราเอง และถ้าเราคิดที่จะเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง และจะเป็นเพื่อนกันตัวเองได้ และมีสุภาษิตที่ว่า คนที่อยู่ในกระจก เป็นเพื่อนที่ดีที่สุด นั้นคือตัวเรา และเมื่อเราเข้าใจกระบวนการตรงนี้ เราสามารถเป็นเพื่อนกันตัวเองได้และต้องรักเขามากๆ เราก็สามารถที่จะเป็นเพื่อนกันคนอื่นได้ ใครที่ไหนเขาจะมาดีกับเราไปซะทุกอย่าง”

ชีวิตครอบครัวไม่ได้อบอุ่น ขาดความรักจากแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงดูมา

“สำหรับเรื่องครอบครัวที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่แรก คือเมื่อเราไม่เข้าใจกันกับคุณแม่ และเรื่องนี้มีน้องเป็นตัวแปร และเราก็เรียกหาความยุติธรรม เรื่องพวกนี้แหละที่เรารู้สึกว่าไม่รู้จะทำอะไร ไปเพื่ออะไร และก็เหมือนกันเราไม่ได้รับความรัก เพราะเราไม่ได้อยู่กับครอบครัว เพราะฉะนั้นถึงไปทุ่มเทให้กับแฟนคลับมาก เพราะพวกเขาเข้ามารักเราและเราเห็นได้ชัดๆ เลยเราเห็นมากว่า ที่แม่ไม่ได้อยู่กับเรากว่า15ปี แล้วแม่จะมาบอกวันนี้ว่ารักเรา เราก็รู้ว่าแม่มีบุญคุณกับเราเพราะเขาคลอดเรามา แต่กับแฟนๆซึ่ง เขาตามมาดูแลเราทุกที่ เรื่องนี้ไม่ได้บอกว่าแฟนคลับดีกว่าแม่นะ”

“และทางครอบครัวสำหรับตัวแม่เองเขาก็แสนจะลำบาก และเขาก็มีเหตุผลของเขา และการที่เขาไม่ได้เลี้ยงดูเรามาและเขาจะมาเรียกร้องอะไรจากเรา เขาก็ไม่กล้าพูดง่ายๆว่าแต่ละคนก็มีมุมเป็นของตัวเอง ก็เลยทำให้ไม่เข้าใจกันเราเองเราก็ไม่รู้ตัวว่าการกระทำบางอย่างก็จัดอยู่ว่าขาดความอบอุ่น แต่มาวันนี้ก็ไม่แล้ว จริงๆ เราต้องรู้จักมองมุมอื่น นอกจากจะมองแต่ตัวเราคนเดียว”

กว่าจะตามหาพ่อบังเกิดเกล้าจนพบต้องใช้เวลานาน บอกพ่อมาเติมเต็มชีวิต

“การที่เราออกมาตาหาคุณพ่อ เพราะเราออกมาตามหาคุณพ่อตั้งแต่อายุ16แล้ว ที่เราพยายามตามหา เพราะเราเจอรูปและเจอชื่อแต่ชื่อเขียนผิด ก็เลยตามยากและเราก็รู้อีกอย่างก็คือรู้ที่ทำงาน พอเราได้ไปถ่ายหนังต่างประเทศ อย่างเรื่อง รัตนาวดี ได้ไปถ่ายที่ฝรั่งเศส เราก็ไปตามหาที่สถานทูตและถามสมาคมคนไทยที่อยู่ในนั้นก็ไม่มี เพราะเราเช็คไปที่ ที่อยู่แล้วก็ไม่มี และเราก็พยายามอยู่ระยะหนึ่ง และก็หมดความตั้งใจไป และก็กลับมาตามอีกครั้งตอนถ่ายละครเรื่อง คือหัตถาครองพิภพ แล้วสุดท้ายก็มีคนช่วยสืบหาจนได้พบกับคุณพ่อ ตอนนั้นท่านก็อายุ70กว่าแล้ว”

“มันเต็มตั้งแต่แว้บแรกที่ได้เจอ ส่วนพ่อเขาตื่นเต้นกว่าเราอีก ตอนแรกเขาก็ไปแอบดูก่อน พอเราเข้ามาในโรงแรมนั่งกันเรียบร้อยแล้ว เขาก็ค่อยๆ ออกมา เพราะใครก็ไม่รู้อยู่ๆ มาบอกว่าเป็นลูก และตอนที่เขาไปจากแม่เขาก็ไม่รู้ว่าแม่ท้อง และพอเขามานั่นปุ๊บ เราก็มองเขาแบบไม่ละสายตาเลยว่านี่ตา จมูก ออกมาจากในรูปที่เราเคยเห็นเลย เราก็ขอแค่เจออย่างในจดหมายที่เราเคยเขียนไปบอกเขาว่าเราอยากกอด แค่นี้ก็เติมเต็มเราแล้ว และพอเราคุยกันแล้วเขาก็พาไปบ้านเขาและเราก็ลืมเขาก็ถามว่าไหนบอกว่าอยากกอดฉัน และเราก็ไม่จบแค่นั้นเพราะคุณพ่อเป็นคนดีเราก็สัญญากันว่าในหนึ่งปี เราจะเจอกันสองครั้ง และตอนที่ฝรั่งเศสหนาวมากเขาก็มาอยู่กับเรา แต่ก็ต้องไปพักโรงแรมเพราะเราไม่มีที่จะเทคแคร์เขา ”

หันไปเอาดีด้านธุรกิจเสริมความงาม จนไม่มีเวลาให้กับงานบันเทิง

“ส่วนงานในวงการคิดถึงมากๆ เลย งานแสดงถือว่าเป็นชีวิตเลยเพราะวงการบันเทิงให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นจารุณีมา แต่ด้วยเหตุที่ว่ามันผันไปตามจังหวะเวลาและเรื่องราวที่เข้ามาชีวิตเราต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังคงคิดถึงอยู่ตลอดถ้ามีเวลาที่ตรงกันก็พร้อมรับงานค่ะ”

“ตอนนี้ธุรกิจก็ไปได้สวยเพราะเราทำธุรกิจนวัตกรรมสุขภาพความงาม มาพูดถึงเรื่องความงามทุกคนก็มีแต่เรื่องที่ต้องดูแลตัวเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนักเรื่องเบาปวดตัวชาแขนชาขา ไปจนถึงเบาหวานความดันสารพัดโรคเราก็สามารถดูแลช่วยเหลือกันได้ ตรงนี้ก็กลายเป็นว่าคนรอบตัวเราที่จะมาใช้บริการ เป็นสมาชิกหรืออยากศึกษา รวมไปถึงเรื่องความสวยความงามไปด้วย”

“ตอนแรกสำหรับความเป็นลูกผู้หญิงแล้ว เราไม่ได้ดูแลตัวเองเท่าไหร่ก็เรียกได้ว่าหย่อนเลย เพราะเอาใจทุ่มเทไปกับเรื่องการทำงานมากกว่า พึ่งจะมาดูแลตัวเองตอนที่เราไม่สบายมากๆ เราก็พึ่งมาเห็นตัวเองว่า เราไม่ได้ดูแลตัวเองขนาดนี้เลยเหรอ นอกจากมีโรคประจำตัวที่ทำให้บวมแล้ว ก็ยังกังวลว่าจะทำอย่างไรให้ริ้วรอยพวกนี้หายไป พี่เพิ่งมาได้สติตอนอายุ40กว่าถือว่าช้าไปมาก”

“ขนาดได้บัตรฟรีที่เขาให้ทำเสริมสวยต่างๆ ราคา4-5หมื่นเขาให้เราฟรีๆ แต่เวลาเราได้ไปทำเราก็จะนึกไปถึงเรื่อง เช็คที่ยังไม่ผ่านเลยก็คิดว่าไม่ไหวนะ เราทำไม่ได้ ตกลงก็ได้ไปทำครั้งเดียวและก็นิดเดียวเอง เราก็เลยจะไปคิดในเรื่องที่มันจำเป็นกว่านี้ เพราะเราไม่ไหวจริงๆ มันทรมานใจ”

“ตอนนี้ธุรกิจที่เราทำอยู่ยังไม่สามารถครอบคลุมไปทั้งเรื่องสุขภาพและความงามนะ ในเรื่องของบางโรคที่ต้องใช้ยา ต้องเข้าไปใช้เครื่องมือแพทย์ในโรงพยาบาล เราอาจจะถนัดที่จะรักษาแบบปัจจุบันที่ควบคู่ไปกับคุณหมอ ตอนนี้ธุรกิจนี้ก็เป็นอาชีพหลักแต่การแสดงก็ยังรับนะคะ(หัวเราะ)”









กำลังโหลดความคิดเห็น