xs
xsm
sm
md
lg

ชีวิตที่บวกขึ้น 1% ของ "อ้อม สุนิสา สุขบุญสังข์"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

...ก็ใครจะรู้ รู้ว่าเธอมันหลายใจ ไม่บอกให้รู้ แล้วก็ใครจะรู้ได้ เธอคบคนนั้นคนนี้ และยังมีฉันห้อยท้ายไม่รู้จะเอายังไง มันทนไม่ไหว ไม่ไหว...ฯลฯ

...วันนี้ เรา ล้มลง ยังคง ลุกขึ้น ได้ใหม่ ยังคงมีหนทางถ้ายังมียิ้ม สดใส ก้าวไป อย่าหวั่นไหวหวาดกลัวพร้อมทนทุกข์หมองหม่น ผจญ ความมืดหมองมัว ไม่กลัว จะฝันถึงวันใหม่...ฯลฯ


ไม่ง่าย แต่ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากหากจะมีหลายคนเข้าใจได้ในทันทีที่อ่าน 2 ย่อหน้าด้านบนจบว่าเนื้อหาเหล่านั้นคือส่วนหนึ่งของเนื้อเพลง "ถอยดีกว่า" และ "อย่ายอมแพ้" สองบทเพลงที่เป็นองค์ประกอบร่วมสำคัญในการทำให้ผู้หญิงตัวเล็กเสียงเท่ห์คนหนึ่งก้าวขึ้นไปยืนอยู่ในจุดนักร้องยอดนิยมของบ้านเราในยุคหนึ่ง

ชื่อของเธอคือ "อ้อม สุนิสา สุขบุญสังข์"

หากนำเอาพ.ศ.ที่บทเพลงทั้งสองถือกำเนิดขึ้นมา(2533)หักลบออกจากพ.ศ.ปัจจุบัน(2554) ทั้งบทเพลงและตัวคนร้องได้เดินผ่านบนถนนสายบันเทิงมานานเกินว่า 2 ทศวรรษแล้ว

ตลอดห้วงเวลาดังกล่าวเราคงจะได้เห็นบทบาทอันหลากหลายที่เธอแสดงผ่านออกมาทั้งการเป็นนักร้อง, นักแสดง พิธีกร ดีเจ ฯ กันไปแล้ว

วันนี้ "นัดคุย" อาสาพาไปทำความรู้จักกับบางมุมของเธอที่บางคนอาจจะไม่เคยรับทราบกันมาก่อน
...
ย้อนกลับไปเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมา หากพูดถึงค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของบ้านเรา นอกจาก 2 ค่ายอย่าง อาร์เอสฯ แกรมมี่ฯ แล้ว ณ ช่วงเวลานั้นยังมีอีก 2 ค่ายเพลงที่ถือได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่เช่นกัน หนึ่งคือนิธิทัศน์ โปรโมชั่น และสองคือ คีตา แผ่นเสียงและเทป จำกัด (ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น คีตา เรคคอร์ดส และ คีตา เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ ในเวลาต่อมาตามลำดับ)

เฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของคีตาฯ ในเวลานั้นถือได้ว่าคึกคักเป็นอย่างยิ่งเพราะมีศิลปินที่หลากหลายทั้งแนวเพลง อาทิ เฉลียง, หนุ่มเสก, อ๊อฟ พงษ์พัฒน์, เอ็ม สุรศักดิ์, โคโค่แจ๊ซ, มะลิลา บราซิลเลี่ยน, เบิร์ดกะฮาร์ท, ออโต้บาห์น, ที-สเกิร์ต, ทิค แทค โท, ดร.คิดส์, ยู โฟร์, ฝันดี-ฝันเด่น, บิลลี่ โอแกน ฯ รวมถึงการสร้างสีสันด้วยการนำดารามาร้องเพลง อาทิ สันติสุข พรหมศิริ, ชุติมา นัยนา, บุ๋ม ตรีรัก, จารุณี สุขสวัสดิ์, ภัสสร บุณยเกียรติ, แสงระวี อัศวรักษ์, ยุรนันท์ ภมรมนตรี, นฤเบศร์ จินปิ่นเพชร ฯ ซึ่งจนถึงทุกวันนี้หากร้องเพลงฮิตของพวกเขาและเธอขึ้นมาหลายคนต้องร้องอ๋อ

และนั่นก็ให้รวมถึงเธอคนนี้ "อ้อม สุนิสา สุขบุญสังข์"

อดีตนักเรียนชั้นประถมถนอมพิศวิทยา ก่อนจะมาเป็นลูกศิย์ของบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี) จนถึงม.5 เพราะสอบเทียบได้เริ่มบทสนทนากับ "นัดคุย" ว่า เมื่อตอนเด็กๆ เธอใฝ่ฝันอยากจะเป็นหมอ ครั้นโตขึ้นมาก็อยากจะเรียนเศรษฐศาสตร์ ทว่าหลังจากเอ็นทรานซ์ไม่ติดเธอเลยตัดสินใจเลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ฯ ของ ม.กรุงเทพ เพื่อหวังต่อยอดงานบนถนนสายบันเทิงซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ชีวิตช่วงวัยรุ่นตอนต้นของเธอในช่วงนั้นได้มีโอกาสสัมผัส

"เริ่มต้นเลย อ้อมได้เล่นหนังก่อน เรื่องห้าวเล็กๆ เล่นกับพี่เอ อนันต์ ก็คือมีคนชักชวน เขาแคสติ้งกันอยู่ อยากได้เด็กแบบมีบุคลิกง่ายๆ สบายๆ เราก็ไปลองเล่นๆ สนุกๆ แล้วก็เออดันได้ เอาก็เอา เล่นก็เล่น เขาก็ให้เล่นให้ร้องเพลงประกอบหนัง(เพลงรักลึกๆ) แล้วก็มีคนมาชวนให้ทำอัลบั้ม ก็ทำ"

เพียงแค่อัลบั้มชุดแรก "อ้อม สุนิสา สุขบุญสังข์" (เราคือลูกแก้ว) ที่ออกวางแผงในปี 2533 โดยมีเพลงฮิตอย่าง ถอยดีกว่า และ อย่ายอมแพ้ ชื่อของ อ้อม สุนิสา สุขบุญสังข์ ก็ดังเป็นพลุแตกขึ้นมาทันทีด้ายบุคลิกของสาวห้าว/เท่ห์

"ดังมั้ย ก็ดังมั้งไม่รู้อะไรหรอกเพราะเพิ่ง 16 เอง...(หัวเราะ)"

มีคนชวนไปแคสติ้ง ได้แสดงภาพยนตร์ มีคนเห็นแววชวนไปร้องเพลง ออกอัลบั้ม มีชื่อเสียง กลายเป็นคนดัง ดูเหมือนทุกอย่างมันช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว..."มันดูว่าง่าย แต่คนเราไม่รู้ว่ามันเหนื่อยขนาดไหน"

"กว่าจะออกอัลบั้ม อ้อมต้องขับรถไปข้าห้องอัด ต้องอยู่ห้องอัดถึงตีอะไร มันดูเหมือนดังง่าย แต่การทำงานวันนั้นมันยากนะ มันไม่ใช่เข้าห้องอัด 3 ชั่วโมง แล้วอีดิตเสียงผ่านคอมพิวเตอร์อะไรก็ได้ ไม่ใช่ มันต้องร้องให้ได้ ร้องไม่ได้อัดใหม่ ร้องไม่ได้อัดใหม่ บางวัน วันนี้ได้แล้ว อีก 3 วันมาฟังเขารู้สึกว่าไม่ได้ มันไม่ดี อัดใหม่หมด มันต้องแบบนี้"

"เขาเรียกระบบอนาล็อก มันไม่ใช่ดิจิตอลเหมือนทุกวันนี้ เดี๋ยวนี้มันก็สะดวกสบาย ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ถามว่าเรามีความสุขมั้ย ณ วันนี้ อ้อมโคตรมีความสุขเลย เหนื่อย แต่มันก็ฝึกตัวเราเอง ก่อนเข้าห้องอัด ทุกคนซ้อมก่อนออกจากบ้านอยู่แล้ว จะซ้อมที่ในรถ ห้องอัด ที่บ้าน มันซ้อมอยู่แล้ว แล้วแต่ตามแต่ว่าคุณจะถนัดการซ้อมแบบไหน ซ้อมมาให้เต็มที่"

"อ้อมว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้นักร้องเมื่อก่อนร้องเพลงแล้วไม่เพี้ยนนะ เพราะว่าเวลาอัดมันต้องเป๊ะ เนื่องจากเวลาแก้มันไม่ใช่แก้คำนึง สมมติเราต้องอีดิตท่อนที่ร้องเนี่ย ท่อนเนี้ยผ่านแล้ว แต่ท่อนอีกท่อนเพี้ยนนิดนึง เราต้องพยายามทำเสียงเท่าเดิมให้ได้นะ เนื้อเสียง อารมณ์ จะต้องเท่ากับที่เก็บไว้แล้ว บางทีอัดจนเสียงเราไม่ได้ วันรุ่งขึ้นถ้าไม่ได้อีกก็ต้องมีแก้ทั้งเพลง"

"สมัยนี้เพียนคำเดียวดึงเสียงได้ เนี่ยคือวิทยาการ มันง่าย แต่มันก็ช่วยทำให้ทุกอย่างประหยัดเวลา เพราะเดี๋ยวนี้ค่าครองชีพมันแพง จะมาเสียเวลาอยู่ในห้องอัดนานๆ ไม่ไหว แล้วก็การตอบรับบางทีเงินที่มันได้มามันอาจจะไม่ได้มากขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเขาจะมานั่งเสียเวลาแบบเดิมมันก็ไม่ไหว ก็แล้วแต่ ก็เข้าใจเขา"

"แต่ไม่ได้บอกว่าเด็กสมัยนี้ไม่เก่งหรือความตั้งใจความพยายามไม่สูงนะ เขาก็เก่ง เขาก็ตั้งใจ เพียงแต่ว่ายุคสมัยเวลามันต่างกัน ก็เลยอาจจะได้ข้อเสียมานิดนึงคือไม่ได้ซ้อมเยอะ แต่เราเนี่ยพอผ่านห้องอัดมานาน ถ้าต้องยืนนานๆ ได้สบาย"

ไหนจะเรื่องเรียนที่ถือเป็นเรื่องหลัก แถมยังมีเรื่องงานให้ต้องเข้ามารับผิดชอบด้วยวัยเพียง 16-17 เจ้าตัวยอมรับว่าโคตรเหนื่อย! แต่ก็เป็นความเหนื่อยที่มีความสุข..."ตอนนั้นเรียนปีหนึ่งเอง โคตรเหนื่อยเลย ต้องเรียกว่าโคตรเหนื่อย แต่สนุกนะ (หัวเราะ) คือตอนนั้นมันเป็นวัยระรานตาของอ้อมมาก แบบโอยประสบการณ์สนุกๆ"

"ตอนแรกไม่ได้คิดเป็นอาชีพ ไม่ได้คิดเลย ในสมองคิดแค่ว่าประสบการณ์เท่านั้น พอใจแค่ประสบการณ์ กะว่าชุดเดียวเลิกพอแล้ว หาประสบการณ์จบแล้ว จบ...ลืมไปว่าเซ็นสัญญา (หัวเราะ) ไม่ทำก็คิดตังค์เด่ะ มันก็เลยไม่ได้ ประเด็นคือไม่อยากเลิก ประเด็นคือเลิกไม่ได้ง(หัวเราะ) ก็เลยต้องทำต่อ นั่นแหละคือประเด็น ตัวเองเนี่ยชุดเดียว คิดแค่นั้นแหละ"

"เฮ้ยมันเหนื่อยนะ เพราะว่าต้องเรียนด้วย ต้องบินไปเล่นคอนเสิร์ตด้วย ต้องเอาตำราไปอ่าน ไปถึงซ้อม ขึ้นเวทีซ้อม แล้วสมัยก่อนก่อนแสดงต้องมีแห่ด้วย ขึ้นรถแห่ เหนื่อยจัง อายุ 16 -17 ปรับตัวไม่ทัน ไม่มีใครเคยสอน ในห้องเรียนไม่มี เหนื่อย เหวอ ช็อก พอแล้ว รู้แค่ว่าพอแล้วเถอะ พอเทอะ"

ตอนนั้นรู้สึกมั้ยว่าดังมาก?..."มันรู้สึกอยู่แล้ว คือจะพูดว่าไม่รู้สึกก็คงจะสร้างภาพไปหน่อย คือรู้ว่าดัง แต่มากไม่มากไม่รู้ มันรู้ว่าดังขึ้นโว้ยมี คนโทร.มา มีคนมาสัมภาษณ์ มีงานตามให้ทำตลอดเวลา ไม่ได้พักเลย"

นับจากผลงานชุดแรกกระทั่งถึงปัจจุบัน อ้อม สุนิสา สุขบุญสังข์ มีผลงานอัลบั้มเดี่ยวทั้งหมด 5 อัลบั้มด้วยกัน (สุนิสา สุขบุญสังข์ (เราคือลูกแก้ว) - Kita Records/2533, อารมณ์เนี้ย - Kita Records/2535, มนัสจัง - Grammy/2538, เพลงของเรา - Green Beans/2540 และ Sunisa - More Music/2544) โดยเธอเล่าให้ฟังถึงความรู้สึกของการทำงานเพลงที่ผ่านมาว่า...

"กระแสมันก็ลงมาตอน ชุด 2 แล้วก็ขึ้นมาชุด 3 มันก็ขึ้นลงของมันตามจังหวะ มันไม่มีอะไรเท่าชุดหนึ่งอยู่แล้ว เพราะตอนนั้นมันก็เป็นปรากฏการณ์เหมือนกัน หลังจากนั้นมันก็ ขึ้นลงนิดๆ หน่อยๆ ของมัน แต่ว่าไม่เดือดร้อน เข้าที่เข้าทาง เพราะอ้อมไม่ได้อยากจะเอาอะไร"

"พอชุดหนึ่งเสร็จอ้อมเรียนรู้กับมันตอบโจทย์เรื่องประสบการณ์ ที่เหลือคือทำตามน้ำ ก็คือมันเป็นวาระที่ต้องทำ แต่มันก็มีงานที่อ้อมรู้สึกแฮปปี้มากๆ ก็คือได้ทำในสิ่งที่อยากทำอะไรที่อยากทำ อันนั้นจะมีอีกอารมณ์นึง อย่างชุดที่ทำกับมอร์มิวสิค มีพี่เอก แบล็คเฮด เป็นโปรดิวซ์ แล้วก่อนหน้านั้นก็มีพี่แมว จิระศักดิ์ ปานพุ่ม เป็นอะไรที่อ้อมก็ชอบตามช่วงเวลานั้น คือมันชอบพอๆ กัน แต่มันจะมีความชัดเจนกันคนละแบบ"

"ทำกับพี่เอกคือจะสนุกอีกแบบนึง มันก็เป็นตัวของเรา เราคิดอะไรแบบนี้...ตอนของพี่แมวเราก็สนุกนะ แต่มันยังเด็กอยู่ เรายังไม่ได้แสดงออกความคิดเราเต็มที่ว่าเราอยากได้อะไรที่ตรงไหน แต่พอชุดกับพี่เอกเราก็ได้ใส่เพิ่มขึ้นอีกนิก ก็เพลิดเพลิน สนุก...จริงๆ อ้อมมีความรู้วึกว่าเมื่อไหร่ที่เราทำแล้วเราสนุกเราจะไม่รู้สึกผิดหวังกับมัน"

"ถามว่าตอนที่อ้อมมาทำกับแกรมมี่ตอนแรกๆ มาแต่งเป็นผู้หญิง ทำพงทำผมอะไร ถามว่าสนุกมั้ย อ้อมว่าอ้อมสนุกในวิธีคิดนะ อาจจะไม่ได้แฮปปี้กับเนื้อเพลงหรืออะไรไปเสียทั้งหมด แต่มันเออ...ได้เปลี่ยน ซึ่งเมื่อไหร่ที่เรามีความสุขกับงานอันนั้นอ้อมว่าคุ้ม เราอาจจะไม่ชอบตัวเพลงของเราจริงๆ แต่เราอาจจะชอบการทำงาน คนทำงาน เรามีความสุข ตอบโจทย์นะ อย่างน้อยเราควรได้ความสุขกับสิ่งที่เราทำ แล้วมันจะมีแรงที่เราจะทำอะไรไปเรื่อยๆ"

หลังซาจากงานนักร้อง และนักแสดง ในระยะหลังๆ ชื่อของ อ้อม สุนิสา ที่หันมารับหน้าที่ดีเจเป็นงานหลักก็ไม่ค่อยจะปรากฏเป็นข่าวเท่าใดนัก กระทั่งปลายปีที่ผ่านมาได้มีข่าวพาดหัวเกี่ยวกับตัวเธอออกมา ทั้ง 'อ้อม-สุนิสา' นักร้องดีเจ ซุ่มเงียบโกนหัว 'บวชชี', 'แม่ชีอ้อม' แจงบวชเปล่าอกหัก เตรียมสึก 2 ธ.ค.นี้, "อ้อม" ซุ่มเงียบโกนหัวบวชชี แม่ปลื้มลูกแทนคุณ, ซึ้งในรสพระธรรม ''แม่ชีอ้อม'' บวชต่ออีก 15 วัน ฯ

ในขณะที่หลายคนอาจจะรู้สึกอาจจะประหลาดใจต่อข่าวดังกล่าว ทว่าโดยส่วนตัวแล้วเจ้าตัวบอกว่าไม่ใช่เรื่องที่ชวนแปลกใจเลย..."อ้อมไม่แปลกใจตัวเอง ไม่มีอะไรแปลกใจเลย แต่ถ้าคนอื่นอ้อมว่าชวนแปลกใจอยู่นะ แต่มันก็เป็นเพียงสเต็ปแรกที่ว่าชวน แต่อีกมุมเขาก็อาจจะคิดว่ามันเป็นไปได้ เพราะมันเป็นคนแบบนี้ แปลกๆ ประหลาดๆ ไม่ค่อยยุ่งกับใคร (หัวเราะ)"

เหตุผลการบวชไม่มีอะไรมากไปกว่าการอยากลอง?
"อยากรู้เขาอยู่กันอย่างไร อีกอย่างพอเราลองสนใจปั๊บ นิดนึงมันยังสงบใจได้นิดนึง ถ้าไปอยู่ตรงนั้นมันยังจะสงบขนาดไหน ความสนใจคือธรรมะเพียงเสี้ยวเดียวมันก็ทำให้เรารู้ว่าอยู่ได้ดีเนอะ อยู่ง่ายขึ้น นิดหน่อย ใจเบาเป็นบางระยะ มันเป็นเรื่องที่หาซื้อในโรงเรียนไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะเรียนโรงเรียนอะไร โรงเรียนที่ดีที่สุด ปริญญาโท ปริญญาเอกไม่ได้สอนเรื่องความสงบในใจคุณ แต่ธรรมะทำได้ ธรรมะให้คุณได้"

"จนวันนึงจังหวะมันพาไป ก็เออ น่าสนุกดี ลองสักตั้งนึง เราไปเที่ยวอะไรมาได้ตั้งเยอะ ไปนู่น ไปนี่ ลางานไปโน่นมานี่เสียเงินทำไอ้นู่นไอ้นี่ อันนี้ตังค์ก็ไม่ได้เสีย แต่ถามว่าสูญเสียรายได้มั้ย นิดหน่อย คือเวลาจะบวชเนี่ยงานเข้ามาโอ้โห (คนโบราณเขาบอกว่าเป็นมารทดสอบจิตใจ?) เราไม่ได้เรียกว่ามาร เราเรียกว่าเงิน (หัวเราะ) เราไม่เห็นว่ามันจะเป็นมารเลย เขามาเป็นครูนะว่าเราจะแลกมั้ย"

ก่อนหน้าเคยมีอะไรบ่งชี้มาก่อนมั้ยว่าชีวิตนึงเราจะมีโอกาสได้บวชฯ? "...แม่อาจจะแอบคิดนะ เพราะเขาเคยไปดูดวงที่ไหนมาไม่รู้ หมอดูก็บอกว่าระวังนะ ลูกอาจจะบวชตลอดชีวิตอะไรทำนองนั้น

แล้วตอนที่บอกว่าจะบวช คุณแม่รู้สึกอย่างไร?
"ทีแรกเขาเข้าใจว่าไปถือศีลแปดธรรมดา คือตอนนั้นเขากำลังจะไปเที่ยวอินเดีย อ้อมก็ว่าวันนี้ๆ ว่างหรือเปล่า เขาก็บอกทำไม จะไปอินเดีย อ้อมก็อ้าวเหรือ ทีแรกอ้อมจะไม่พูด ก็จะเลื่อนวัน พอเขาถามว่ามีอะไร อ้อมก็บอกจะบวช แม่ก็อ้าว แล้วแม่ต้องไปหรือ อ้อมก็บอกคืออันนี้จะโกนหัวนะ เขาก็อ้าวเหรอ อืมๆๆ แต่อ้อมก็บอกแม่ไปเที่ยวเลย เดี๋ยวอ้อมเลื่อนวัน เพราะว่าเราก็ต้องให้แม่เรามีความสุขด้วย ไม่ต้องไปเปลี่ยน schedule ไม่ต้องกังวล"

"พอได้วันบวชก็มาลาที่ออฟฟิศ บอกโปรดิวเซอร์ ขออนุญาต 3 อาทิตย์ก่อน แต่ไม่ได้แจ้งคนอื่นนะ เขาก็อ้าวเหรอไม่ต้องบอกนะ ถ้าบอกอ้อมบอกเองแล้วกันเพราะตอนนี้ยัง แล้วก็บอกพี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา) แล้วก็ตอนนั้นดิวงานจะทำงานอัลบั้มกับดัง (พันกร บุณยะจินดา) ก็ถามว่ามีอะไรจะต้องโปรโมตอยู่เปล่าเพราะจะไม่สะดวกแล้วนะ"

"แต่ไม่ได้ออกสื่อนะ ทุกคนก็ไม่กล้าก้าวล่วง ทุกคนให้เกียรติหมด เมื่ออ้อมไม่พูดก็ไม่มีใครพูดอะไรเลย แล้วทุกคนก็เข้าใจ ก็อนุโมทนา ไม่มีใครขัดอะไร...ก็ไปบวชที่เสถียรธรรมสถาน ถือศีล 10 ไม่มีเงิน ไม่มีเครื่องหอม ไม่ทานหลังเที่ยง สบายๆ ง่ายๆ เดินเพลิดเพลิน ไม่ต้องล็อคกุฎิ เพราะไม่มีของอะไรให้ขโมย"

รู้สึกสงบขึ้นเลยมั้ย?..."บางช่วง เฮ้ย! ถ้าทันทีเลยมันอุปทานแล้ว บ้า เพ้อ เฮ้ย! คนเราอยู่ทางโลกมา 30 ปี พอบวชใส่ชุดชีแล้วสงบเลย งั้นก็จับคนไม่ดีทั้งโลกมาบวชไปเลยไป แต่เขาเรียกว่า “สัปปายะ” คือมีองค์ประกอบที่เหมาะสมในการปฏิบัติ มีแนวโน้มที่จะช่วยให้จิตใจสงบ"

"แต่อย่าลืมว่าเมื่อคนเราอยู่ไม่ต้องสิ่งเร้าอะไรหรอก ใจตัวเราก็เร้าตัวเอง อยู่คนเดียวเรื่องฟุ้งซ่านน่ะคิดเยอะมากเลยนะ เราสามารถเตลิดไปกับความคิดได้ร้อยแปดเต็มไปหมดเลย อันนั้นก็น่ากลัว หรือเมื่ออยู่กับคนในสังคมร้อยพ่อพันแม่ ต่อให้เป็นชี ต่อให้เป็นพระ หรือเป็นฆราวาส มาเจอกัน ก็ไม่ถูกใจ ก็คิดไม่เหมือนกันไม่ตรงกันได้ เพียงแต่ว่าเราจะจัดการกับอารมณ์นั้นอย่างไรดีกว่า"

ระยะเวลาเดือนกว่าได้อะไรกับมาบ้าง?
"มีการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ จะให้อ้อมตอบแบบความจริงขนาดไหน หากตอบจริงๆ จะโกรธมั้ย...คือถ้าเป็นเมื่อก่อน เจอคนถามอะไรแบบนี้อ้อมอาจจะตอบอะไรที่อีกแบบหนึ่งที่ไม่ใช่แบบนี้ก็ได้ หรือบางทีปากอาจจะตอบ แต่ใจแอบคิดว่า “ถามอะไรวะ” คือใจไม่สงบไง แต่ถ้าเป็นตอนนี้อยากรู้ถามอะไรก็จะตอบ ตอบเท่าที่ตอบได้ แล้วไม่โกหกด้วย มันเหนื่อย (ยิ้ม)"

"อย่างเมื่อก่อนอาจจะตอบ แต่ใจแบบคิดๆๆ อย่างนี้นะ แต่ปากอาจตอบ เดี๋ยวนี้ก็อือ...เรอะ ก็ตอบๆ แล้วก็จบและ แต่ถ้าถามก็จะบอกตรงๆ ว่าเหตุการณ์เดียวกันถ้าจะเทียบกันน่ะ โอ้โห คิดไปถึงไหน ซึ่งมันก็ปวดกบาลเนาะ แต่ตอนนี้มันก็เออ ตอบ อยากรู้อะไรก็จะตอบ อยากถามอะไรก็จะถาม ตอบ ตอบเท่าที่ตอบได้ แล้วไม่โกหกด้วย มันเหนื่อย (ยิ้ม)"

"ถามว่าเมื่อก่อนโกหกมั้ย เมื่อก่อนก็ไม่ได้โกหกนะ แต่ปัญหาก็คือตอนนั้นก็จริงเกิน คือปัญหาไม่ได้โกหกแต่คือมันจะได้ความจริงไปไหนเนี่ย(หัวเราะ) แบบเป็นคนโง่มากกว่า(หัวเราะ) นี่มันจริงเกิน จริงจนโง่ โง่ที่ไม่ลำดับความคิด จริงเกิน จริงจนน่ากลัว บางทีก็รู้สึกตัวนะว่ามันจะจริงไปไหนวะ เพราะบางคนเขาไม่ได้ต้องการความจริงขนาดนั้น"

"จริงๆ ก็แค่ไม่ต้องโกหกแต่ก็ไม่ต้องจริงขนาดนั้นมั้ย แต่ตอนนี้ทุเลาแล้ว ตอบช้า ตั้งสติไว้หน่อย อ้อมว่าอ้อมโง่ที่ว่าเมื่อก่อนอ้อมไม่มีสติ เราเข้าใจว่าเรามีสติไง เราเข้าใจว่าทุกคนมีสติ เพราะเราคิดว่าเราตอบคำถามได้เพราะฉะนั้นเรามีสติ แต่ถ้ามีสติจริงๆ มันต้องไม่ตอบให้คนอื่นเสียใจ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน"

"แต่ก็ได้มานิดเดียวนะ นิดนึง (หัวเราะ) อย่าคาดหวัง ได้มาจี๊ดเดียว แต่ถามว่าได้มั้ย ได้ จากเมื่อก่อนไม่มีสติเลยตอนนี้ก็ได้มา 1% จากร้อยเหลือ 99 น่ะ ดีขึ้นหน่อยนึง"

ไม่เพียงแต่ตัวเองเท่านั้นที่ได้ผู้เป็นมารดาก็ได้เช่นกัน
"ตอนหลังก็เลยกลายเป็นว่าเขาไปเรียนสมาธิ ซึ่งดีนะ แม่ชี พระอาจารย์หลายๆ ท่านเคยพูดว่า สิ่งที่ดีคือการได้ชักนำพ่อแม่ คนที่เรารัก คนที่เราหวังดีเข้าไปในทางนี้ได้ ซึ่งอ้อมก็ดีใจ อ้อมเชื่อนะคะว่าคนเราต่อให้เปลี่ยนไม่ถึง 1 ใน 100 แค่จุด 1 แล้วเปลี่ยนในทางที่ดีนิดเดียวดีกว่ามีความชั่วเท่าเดิมมั้ย เหมือนความชั่วเท่าน้ำเต็มถังถ้ามันจะหย่อนถังหน่อยมันก็อาจจะทำให้หลายๆ คนเกลียดอ้อมน้อยลง"

"แล้วแม่อ้อมก็เข้าวัด อ้อมเชื่อว่าหลายๆ คนเป็นคนดี คิดดี ทำดีไม่ทำชั่ว ไม่เป็นคนเลวแต่ก็ไม่ได้ให้ทานแต่อาจจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้ก็ถือว่าก็ไม่บวกไม่ลบ แต่ว่าอันนี้ถ้าเขาจะไปศึกษาเพิ่มก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แทนที่แม่จะเอาเวลาเรียนเต้นรำ เขาก็เปลี่ยนเอาเวลาไปนั่งสมาธิ คือกิจกรรมอื่นเขาก็ทำอยู่เพียงแต่เขาเพิ่มเวลาตรงนั้นมากขึ้น ถึงมันจะอาทิตย์ละหนหรือสองหนแต่มันก็ทำให้เขามีความสุขขึ้น อ้อมดีใจนะ"

"แล้วแม่อ้อมก็เย็นขึ้น นิดนึง...ดูไม่เยอะแต่เมื่อเย็นใส่กันน่ะ อย่างอ้อมลดลงหนึ่ง แม่ลดลงหนึ่ง ก็เป็น 2 ตัวเลขน้อยนะ แต่มันทำให้ 2 ตรงเนี้ยมันทำให้เราคุยกันนานขึ้นอีกครึ่งชั่วโมง อีกชั่วโมง เฮ้ย! มันมีคุณค่ามากนะ แทนที่เราจะทะเลาะกันได้ทันทีเรายืดเวลาเรื่องที่เราจะทะเลาะกันนานขึ้น หรือเรารู้ตัวว่าเราจะทะเลาะกันแล้ว เราวางโทรศัพท์ใส่กันด้วยความสงบ หรืออ้อมว่า พูดกันไปทะเลาะแน่ อ้อมว่าอ้อมไปดีกว่า ดีกว่าซัดกันลงไปทั้งคู่"

"อ้อมว่าข้อดีของมันอยู่ตรงนี้นะ ถึงมันจะไม่เยอะแต่เรารวมกันน่ะ แล้วถ้าทุกคนในสังคมคิดแบบนี้ล่ะ อ้อมว่ารวมกันแล้วมันเยอะนะ เรื่องที่จะทะเลาะถอยหลังกันคนละนิดๆ ความอัดแน่นมันก็จะบรรเทา ไม่รู้นะอ้อมรู้สึกอย่างนั้น"

คนรอบข้างรู้สึกมั้ยว่าเรามีการเปลี่ยนไป เช่น การพูด การสนทนา?
"อ้อมเป็นคนพูดแบบนี้มานานแล้วนะ แต่พออ้อมบวชหรือสนใจเรื่องนี้มากขึ้นมันอาจจะเป็นคะแนนด้านบวกทำให้เขาปรับทัศนะคติว่าอ๋อ อ้อมพูดเรื่องแบบนี้ เพราะแบบนี้ แบบนี้ แต่จริงๆ อ้อมก็พูดมาพักนึง แต่คนนั้นอาจจะไม่เห็นในแง่นั้น แต่การบวชหรือการเปลี่ยนไปมันอาจจะทำให้ชัดขึ้น แล้วอีกอย่างหนึ่งอาจจะเป็นด้วยว่าตอนนี้เราอาจจะทำมันอยู่ในกิจวัตรบ่อยขึ้น บ่อยขึ้น มันก็อาจจะทำให้คนมองเห็นได้ชัดขึ้น ที่สำคัญคือเราทำมันอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะเราขืนกระแดะทำนะ โอ้ย ไม่ได้หรอก"

"แต่อย่างเวลาอ้อมจัดวิทยุอ้อมก็ยังมีบ้าๆ บอๆ หลุด รั่วของอ้อมไปเรื่อย แต่แทนที่เมื่อก่อนอาจจะหลุดเยอะ อ้อมอาจจะหลุดน้อยลง แต่อ้อมก็ยังเป็นอ้อมอยู่นะ บางวันก็รั่วได้สุดตัว เฮ้ย! ศีลที่บอกว่าได้นี่ดีขึ้น แต่ไม่ได้ว่า เป๊ะ คือเมื่อก่อนผิดชุดใหญ่อยู่ตลอดเวลาเลย เดี๋ยวนี้ก็มีผิดนิดนึง อ่ะ ข้อนี้ยนิดนึง วันนี้ผิดข้อนี้นะ วันนี้ผิดขึ้อนั้น...เออ ผิดแค่ทีละดอก ค่อยๆ พัฒนา แต่ก็ไม่รูว่าจะได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า (หัวเราะ) ไม่ค่อยกล้าพูดเดี๋ยวคนจะคิดว่าดี (หัวเราะ)"

จากทางธรรมไปที่เรื่องทางโลก ซึ่งหากจะว่ากันตรงๆ ในช่วงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเจ้าตัวนี้ หลายคนต่างก็แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว
"ครอบครัว ใครๆ ก็อยากมีครอบครัว แต่ถึงวันนึงเราอาจจะ...คือครอบครัวของเรามันอาจจะไม่ใช่พ่อแม่ลูก อาจจะเป็นเรื่องของเพื่อนกัน คนที่เขาเข้าใจกันก็ได้ วิธีเรียกมันอาจจะเปลี่ยนไป เพราะว่า...ไม่รู้สิ มันบอกไม่ได้ วันเวลามันเปลี่ยนวิธีคิดมันก็เปลี่ยน เราเป็นคนอยากมีคู่คิดมากกว่า คนที่ช่วยคิด ช่วยแชร์อะไรมากกว่า เราต้องการแค่นี้ ช่วยคิด แบ่งปันสุขทุกข์ หรือความคิดเห็นด้วยกันแค่นั้น เพราะฉะนั้นเพื่อนเราตอบโจทย์ได้หลายข้อมากเลย เพื่อนคนนี้ตอบโจทย์ข้อนี้ เพื่อนคนนี้ตอบโจทย์ข้อนี้ บางทีเราอาจจะต้องการแค่นั้นก็ได้"

ไม่อยากอุ้มเด็ก?
"ลูกเพื่อนเต็มเลย (หัวเราะ) แค่นี้ก็อุ้มไม่ทันแล้ว มีหลายวัยให้เลือกด้วย แล้วที่สำคัญเราไม่ต้องเป็นภาระ ว่าอุ๊ยตายเวลามันป่วยจะอย่างไร อย่างเพื่อนพูดเรื่องลูก เนี่ยวันก่อนลูกอ้วกแตก อ้อมก็อ้าวเฮ้ย! แล้วไงพี่แล้วไง แค่จินตนาการก็ตายแล้ว แล้วถ้าเป็นลูกกูล่ะนี่ ตาย กูอ้วกก่อนลูกแน่เลย(หัวเราะ) เฮ้ย! เลี้ยงลูกยากนะ เวลาเราเล่นกับเด็กน่ารัก พอเด็กร้องสัก 5 นาทีอีนี่เดินหนีก่อน"

"เป็นพ่อเป็นแม่ต้องอดทนมากๆ ไอ้เด็กทั้งหลายรู้ไว้เถอะ ตอนแกกว่าจะโตขนาดนี้พ่อแม่ไม่เอาขี้เถ้ายัดก็บุญแล้ว จริงๆ ร้องไห้ห้าทีหูแทบแตก แต่เขายังทนดูแลป้อนข้าวจนโตถึงทุกวันนี้ บางคนยังจะไปทวงของเขาอีกตอนวันเกิด มันน่าเตะให้ขาพับงอเลย พ่อแม่เขาเหนื่อยมามากแล้ว ทำให้เขาสบายใจได้แล้ว ทำกันตั้งแต่เด็กเนี่ยแหละ จริงๆ"

ถามไถ่ถึงอนาคต อดีตนักร้องดังบอกยังมีอะไรที่ตนเองอยากจะเรียนรู้อีกเยอะ..."ตอนนี้ไปเรื่อยๆ พยายามเรียนรู้อะไรไปในแต่ละวัน เรารู้สึกว่าเอ่อมันยังมีอะไรที่ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะมากเลย คือเรามีความรู้สึกว่าคนที่เข้าใจในพุทธศาสนาของตัวเองในความเป็นแก่นแท้ของศาสนาเขาเป็นคนที่โชคดีนะ แล้วก็น่าจะมีความสุขจริง ซึ่งไม่จำเป็นเฉพาะศาสนาพุทธเท่านั้น"

"อย่างรุ่นน้องอ้อมเขาเป็นคนพุทธนะ แล้วก็เปลี่ยนไปนับถือคริสต์ แล้วก็มีความสุข เขาก็ได้เจอในสิ่งที่เขามีความสุข อ้อมเป็นพุทธที่ไม่ค่อยรู้เรื่องพุทธมาก ทุกวันนี้ก็ไม่ได้รู้มากขึ้นเท่าไหร่ แต่พอเข้าใจมากขึ้น อ้อมก็มีความสุข อ้อมเชื่อว่าศานาทุกศาสนาสอนให้คนมีความสุขแล้วก็เป็นคนดี เพียงแต่ว่าเราได้เข้าไปสัมผัสกับมันแค่ไหน"

"อย่างอ้อมแค่กระผีกเดียวเองอ้อมยังรู้สึกว่ามีความสุขขึ้นนะ รุ่นน้องที่เพิ่งเข้าไปเป็นคริสต์ได้ไม่นานเขาก็มีความสุขกัน อ้อมมีความรู้สึกว่า เออ พอเราได้เรียนรู้กันอย่างเข้าใจมันจะมีความสบาย ก็หวังว่าเราจะเข้าใจมากขึ้น และถ้ามีโอกาสแบ่งปันกับใครก็แบ่งปัน จะศาสนาไหนก็ได้ถ้ามันจะทำให้มีความสุขเผชิญกับทุกข์ได้อย่างเบาสบายขึ้น"
กำลังโหลดความคิดเห็น