แน่นอนว่า หลังจาก “ทราย เจริญปุระ” มีชื่อเอี่ยวเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่สนับสนุนให้มีการรื้อกฎหมาย ม.112 ออกมา ย่อมถูกโจมตีจากคนที่จงรักภักดีต่อสถาบัน รวมถึงมีผลกระทบต่อบทบาทการเป็นหนึ่งในนักแสดงภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ว่ายังสมควรได้รับหน้าที่นี้ต่อไปอีกหรือ? ซึ่งกับเรื่องนี้เจ้าตัวก็เคลียร์ชัดตามแบบฉบับของเธอว่า…
“มันเป็นเรื่องตลกเลย อย่างท่านมุ้ย (ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล) ก็บอก เฮ้ย...ไอ้ทราย เห็นรึยัง ทรายก็บอกว่าเอาออกแล้วมันมีที่ไหนล่ะ ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวเขาก็ต้องมาว่าฉัน ทรายก็บอกไปใครเขาจะไปว่าท่านล่ะ จะว่าก็ต้องมาว่าทรายนี่แหละ คือคนในกองหรือแม้แต่ตัวท่านมุ้ยเองท่านก็ทรงทราบว่าไม่ใช่ เราทำงานกันมานานเกินกว่าจะมาแอบปลุกระดมอยู่ลับๆ ไม่ใช่ จะบ้าหรอ ตลกจะตาย ถามว่าทรายรับรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ที่มันกำลังเป็นประเด็นที่พูดถึงอยู่ไหม ทรายรู้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทรายจะต้องแสดงออก ว่าทรายเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หรือว่าอยากจะแย้งในมุมนั้นมุมนี้ ตีความมาตรากฎหมายต่างๆ ทรายแค่รับรู้ว่ามันมีเรื่องนี้เกิดขึ้น จบ”
“ท่านรู้ว่าทรายไม่ได้สนใจว่ามันจะต้องมีหรือจะต้องไม่มีอยู่ในบรรดาพิภพนี้ เพราะอะไรก็ไม่รู้ เอาจริงๆทรายไม่รู้กฎหมายสักมาตรานึง ต่อให้ขับรถไปชนคนตาย ทรายรู้ว่าทรายผิด แต่ทรายไม่รู้ว่าตัวเองผิดกฎหมายมาตราอะไร มันคือสิ่งที่จริงเหรอที่เราต้องรู้ เราต้องท่องมาตรากฎหมายได้ใช่ไหม ถ้าทำอย่างนี้มันผิดมาตราอะไร เพียงแต่ว่าพอเขียนงานทรายก็จะพยายามเขียนไม่พาดพิงใครอยู่แล้ว มันยากที่จะไปถามเอาข้อมูลจากเจ้าตัวโดยตรง ทรายไม่มีสิทธิ์อยู่แล้วไง ทรายก็จะไม่แตะไม่ยุ่ง”
“พอมีข่าวเรื่องล่ารายชื่อ ล่าสุดที่เอามาเกี่ยวกับการแสดงหนังนเรศวร ถามหน่อย ถ้าท่านไม่เปลี่ยนตัวแล้วเขาจะเสียใจไหม จริงๆ นะ นี่ถามจริงๆ ถ้าท่านมุ้ยตอบว่า จะไปเปลี่ยนทรายมันทำไม คนที่เขาเข้ามาคอมเม้นท์จะเสียใจมากไหมที่ท่านไม่เชื่อเขา มันยังไงดีวะ คือทรายไม่รู้จะสะเทือนใจอะไร ทรายเองสะเทือนใจแทนเขาหน่อยๆ ด้วยซ้ำเพราะว่าทรายรู้ว่าท่านเขาไม่เปลี่ยนไง เพราะพี่เล่นคอมเม้นท์โดยที่พี่ไม่ถามผมไง พี่ไม่ถามผม พี่ไม่ถามท่าน พี่เล่นคอมเม้นท์เลย แล้วเดี๋ยวพี่จะผิดหวังเองนะ ผมขอโทษแทนพี่ด้วยจริงๆ เลย คือทรายไม่รู้จะพูดยังไง บางทีมันเซ็งจนตลก บางทีเอากันเข้าไป ลากเรื่องนั้นมาพูดด้วย เอาสิ เอามาอีกมา”
“สำหรับคนบางประเภททรายรู้ว่าคำอธิบายมันไม่มีปะโยชน์อะไรกับเขาเพราะเขาเชื่อไปแล้ว เขาเลือกที่เขาจะเชื่อแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นก็คงจะต้องแล้วแต่ ปล่อยเขาไป ในขณะที่คนบางคนอาจจะพร้อมที่จะฟังคำอธิบาย คนอย่างนี้ทรายยินดีที่จะคุยด้วย แล้วคนอีกประเภทนึงที่รู้อยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งไม่มีความจำเป็นจะต้องมาพูดอะไรกันอีก และท่านมุ้ยก็เป็นคนแบบที่สาม ส่วนคนประเภทแรก อยากปรับกลุ่มก็ไม่เป็นไร เราไม่ว่ากัน มันเรื่องอะไรวะที่ทรายจะต้องมานั่งอธิบายให้คนอื่นรู้ว่าทรายเป็นคนยังไง แล้วทรายก็คิดอย่างนี้ต่อประเด็นเรื่องของน้ำเสียทรายคิดว่ามันแย่มากเลย ทำไมทรายจะต้องพูดทุกเรื่องวะ เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องส่วนตัวได้ไหม”
“ท่านมุ้ยเองท่านก็อ่านมติชนเป็นประจำ ท่านอ่านแล้วก็โทรมาถามว่า แกอ่านหนังสือเล่มนี้ด้วยเหรอ (แดงทำไม ทำไมแดง) แกก็จะถาม เราก็จะคุยกันเป็นปกติ อย่างท่านเองก็เล่นเว็บบอร์ดอะไรต่างๆ ก็จะมีมาบอก ตอนทรายอกหักท่านก็ล้อกันสนุกสนานมีความสุข คือเราทำงานกันมานานจนเหมือนเป็นครอบครัวไปแล้ว สำหรับนเรศวร ทรายเองเจอท่านมุ้ยมาประมาณ 8-9 ปี จริงๆ แล้วตัวท่านเป็นคนที่เคารพความคิดของคนอื่นมากๆ วันนึงท่านก็ถามทรายเลย เฮ้ย...เสื้อแดงเปล่าวะ ตกลงเลือกสีอะไร ทรายก็บอกว่าหนูไม่ใส่สีสด หนูใส่เสื้อดำกับเสื้อหนังไปรบของท่านเนี่ย จบ”
“ท่านเองก็ถามไม่ใช่ว่าจะจี้เพื่อจะเอาคำตอบชนิดบอกมานะ ถ้าตอบผิดไม่ต้องเล่น มันก็ไม่ใช่ขนาดนั้นเราจะตอบอะไรก็ได้ แล้วทรายก็คิดอย่างนั้นจริงๆ ว่ามันไม่เลือกได้ไหม ทรายขอเป็นฮิปปี้ เป็นสายลม แสงแดด เพราะชอบอันนั้นหน่อย ชอบอันนี้หน่อย อยากกินข้าวหลายๆ อย่างไม่ได้เหรอ ทำไมมันต้องเลือกอะไรสักอย่างด้วยเหรอวะ แต่มันก็จะมีบางครั้งที่ท่านบอกว่า เขียนอะไรก็ให้ระวัง ฉันเข้าใจว่าเธอกำลังพยายามบอกอะไร แต่มันไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะเข้าใจด้วย ก็เตือนในแบบผู้ใหญ่มากกว่า”
“อย่างเคสนี้โอเคเรื่องส่วนตัวของทราย มันก็ไม่เป็นเรื่องส่วนตัวอยู่แล้ว แล้วยังจะต้องมาแถลงสิ ถ้าจะให้ฉันเชื่อเธอแถลงข่าวมาสิว่าเธอ...เฮ้ย...เยอะไปไหม โอ๊ะ! ไม่ใช่นิสัยนะ จะบ้าหรอ แล้วยังไง ทำไมทรายจะต้องสปอยคุณขนาดนั้นวะ ในเมื่อคุณเองก็ด่าทรายแล้วด้วย ทรายต้องมานั่งสปอยคุณอีกหรอ เหมือนมีคนมาด่าทรายเสร็จแล้วทรายยังต้องบอกกับเขาว่ากินน้ำไหมอะไรอย่างนี้อีกเหรอ ไม่... ไม่มีทาง คุณร้ายกับเราขนาดนี้แล้วยังจะให้เรามาดีด้วย ไม่มีทาง ถ้าทรายจะโกรธ ทรายก็คงจะโกรธตรงที่บางทีก็ด่ากันถึงพ่อถึงแม่ ทำไมอ่ะ เขามาเกี่ยวอะไรด้วย เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไร เวลาเขียนเขาไม่ได้มาจับมือทรายเขียน พ่อทรายไม่ได้มาเข้าสิง เขาตายไปแล้วจะเอายังไงกับเขาอีก”
“พ่อทรายเองก็เป็นทหารนะ จะเอายังไงกันอีกวะ ทรายก็โอเคบางทีมันมาถึงจุดที่ขำนะ เต็มที่ไปอยากจะทำอะไรก็ลากกันไป ระหว่างนี้เดี๋ยวทรายก็ไปกู้ชาติ ขอตัวไปเล่นหนังก่อน เวลาคุยกันในกลุ่มเพื่อนก็จะแซวกันว่าเดี๋ยวไปกู้ชาติแป๊บนึง ก็คือไปถ่ายหนังนเรศวรแหละ ทรายว่าบางอย่างมันเกินไป การตีความข้ามช็อต 18 ช็อตมากๆ ว่าอ๋อ...เข้าข้างพวกนี้แปลว่าล้มเจ้า ไม่รักในหลวง จะเขียนตรงไหนที่มันตีความกันไปได้ล้ำลึกมาก จริงๆ แล้วคนที่ตีความล้ำลึกพวกนี้น่าจะมาเขียนหนังสือแทนทรายกันทุกคนเพราะว่าเก่งกว่ามาก คือหนึ่งนอกจากจะไม่มีใครถาม”
“แล้วยังไม่มีใครเอะใจบ้างเลยเหรอ ว่าถ้าทรายเป็นจริงๆ ท่านมุ้ยท่านจะไม่รู้ นี่มันคือการดูถูก คือท่านคงไม่เลือกคนที่มีแนวโน้มที่จะเป็นอันตรายต่อสถาบันของท่านเองมาเล่นหนังหรอก นอกจากว่าท่านจะทำหนังแล้ว ท่านเองก็ยังเป็นเจ้าด้วย คือไม่มีใครเอะใจเรื่องนี้กันบ้างเลยเหรอ ทำไมพร้อมใจกันมาว่าเลวๆๆ แต่ก็อย่างที่บอก พอทรายพูดก็แหม...ท่านเขาไม่รู้ไง โอ้ย ถ้าคุณคิดกันอย่างนี้นี่คุณดูถูกท่านมุ้ยกันมากนะ ท่านไม่รู้ จะบ้าเหรอ”
“คุณคิดว่านักแสดงที่เล่นหนังกันมาเป็น 10 ปีขนาดนี้จะไม่รู้ ในกองถ่ายที่เมืองกาญจนบุรี คนที่คิดว่าทรายเลวมากบังอาจมาเล่นนเรศวรได้ไง คุณเคยไปกองละครผมรึเปล่า คุณเคยรู้ไหมว่าเราอยู่กันยังไงเวลาทำงาน บางทีทรายก็สาธุ นิมนต์ เดี๋ยวผมจะเขียนแต่เรื่องดราม่าแล้ว ผมจะไม่เขียนอะไรอย่างนี้อีกแล้ว นี่เรื่องผ่านไปตั้งกี่เดือนแล้วเพิ่งจะมาพูด ถามหน่อยมันแฟร์กับผมไหม ก็ไม่เป็นไรไม่ว่ากัน”
พอถามย้ำว่า เชื่อว่าขบวนการล้มเจ้ามีอยู่จริงไหม? ทรายบอกว่า…
“แบบจริงจัง วางแผน มีสายลับอันนี้ไม่รู้สิ มันยังมีได้อีกเหรอในยุคนี้ แน่นอนเอาเป็นว่าถ้ามีคนชอบ ก็คงจะมีคนไม่ชอบ โลกนี้มันมีอยู่แค่นี้แหละ แต่มันจะมากจะน้อยแค่นั้นเอง แล้วด้วยเหตุผลอะไรซึ่งเราไม่จำเป็นต้องไปรับรู้ ด้วย ทรายเป็นคนอย่างนี้ไง เลยเป็นคนที่โดนตั้งข้อสงสัยอยู่ตลอดเวลา”
“พอเราบอกว่า เราขออยู่ตรงกลางก็ไม่มีใครเชื่อ ทุกคนอยากให้เราอยู่ข้างเขา ปัจจุบันมันต้องเลือกข้าง เอาจริงๆไม่เลือกได้ไหม ไม่ชอบ ก็บอกแล้วไงใส่สีสดไม่ขึ้น ไม่ว่าจะสีอะไรก็ใส่ไม่ขึ้น เข้าใจไหม จะมายุ่งอะไรกับผมจริงๆเลย คือทรายใส่เสื้อดำจนติดแล้ว อาจจะเป็นด้วยชื่อเราอยู่ตามอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด ตามป้าย ตามหนังสือพิมพ์ โดนหมดแล้ว จะให้ทรายทำยังไง ทรายคิดอย่างนี้ไง ว่าเราเลือกมาเป็นดาราเองมันก็ช่วยไม่ได้”
กับการที่มีคนบางกลุ่มคิดล้มล้างสถาบัน เราในฐานะพสกนิกรคนหนึ่งรู้สึกอย่างไร? เจ้าตัวก็ตอบว่า…
“ทรายไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องล้มหรือว่าอะไร มันเหมือนว่าเราเกิดมา แล้วเราก็เห็นแล้ว แล้วมันก็ไม่ได้มีผลอะไร เราไม่ได้ไปสักเลขไว้ มันก็เปล่า เราก็มีชีวิตของเรากันไปอย่างปกติ ทรายเองเหมือนคนไทยอีกตั้งหลายๆ ล้านคน บนโลกนี้ที่ไม่เคยเข้าวัง แต่ก็ไม่เห็นมีใครสะเทือนจิตใจอะไรเลย ว่าทำไมฉันไม่ได้เข้า หรือทำไมฉันได้เข้า มันไม่ได้มีผล ไม่ได้มีประเด็นอะไร”
“เพียงแต่ถ้าทรายจะไม่ชอบคนที่อ้างสถาบันมาใช้ แล้วไปหาประโยชน์อื่นๆ ทำสติ๊กเกอร์เรื่อยเปื่อย พิมพ์พระ ทำเสื้อ อะไรต่อมิอะไร ทรายว่าสิ่งที่คุณทำมันยิ่งทำให้คนที่ยิ่งอาจจะมีแนวโน้มไปในความคิดที่ไม่ชอบ มันก็จะยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่ แล้วคุณทำเพื่ออะไร ผลประโยชน์เหรอ ทรายไม่ชอบไง ไม่ว่าจะกับอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสถาบันธนาคาร หรือวงการมวยโลก ทรายก็ไม่ชอบ คือทำไมคุณต้องไปอาศัยคนอื่นเขา ทำมาหากินกับความรักความศรัทธาของคน มันแย่นะ แล้วก็มาอ้างอำนาจ”
“คุณรู้ว่าทุกคนอิน ความอินกับความศรัทธามันมีมากกว่านั้นไง ความเกรงใจ ก็เลยกลายเป็นไม่กล้าถาม สงสัยเราจะผิดจริงๆ เฮ้ยๆ เขาเอาเสื้อมาเราต้องซื้อไว้ ตอนเสื้อเหลือง คนก็จะพิมพ์เสื้อเหลืองออกมาขายกันใหญ่เลย ขายกันอย่างมีความสุขเบิกบานใจ มีใครเอ๊ะ บ้างไหมว่าตราสัญลักษณ์มันยังไง ไปก็อบมาจากไหน ทรายว่าอย่างนี้มันไม่แฟร์ ถ้าทรายจะไม่ชอบ ทรายไม่ชอบตรงนี้มากกว่า ตัวตนของสถาบันนั้นๆ ไม่ได้มีผลอะไรกับระบบความคิดหรือว่าชีวิต หรืออะไรใดๆ ของทรายทั้งสิ้น มันมีไหมกรมศาสนา ถามหน่อยว่ากรมศาสนามันมีผลอะไรกับชีวิตประจำวันเราไหม”
ส่วนกรณีที่ปัจจุบันมีงานเขียนในทำนองลบหลู่สถาบันออกมามากมาย พอถามความรู้สึกในฐานะที่ “ทราย” เป็นนักเขียนคนหนึ่ง เจ้าตัวก็ตอบแบบชัดเจนตรงไปตรงมาจนบรรทัดสุดท้ายเช่นเดิม
“จะถามว่ารู้สึกยังไง มันก็เรื่องของเขาค่ะ เอาจริงๆ เลยนะ ก็แล้วแต่ ใครจะไม่ชอบ ใครจะชอบ ใครจะเชื่อ ใครจะไม่เชื่อ อย่างที่ทรายบอกว่าเขาไม่ผิดที่เขาคิดไม่เหมือนทราย แต่ถ้าเขาจะผิดกฎหมายก็ไปว่ากัน ก็แล้วแต่เขาก็ต้องไปศึกษาของเขามาแล้วแหละ ว่าสิ่งที่เขาเขียนมันผิดไหม หรือถ้าเขียนได้ แล้วมันจะเขียนได้แค่ไหน แต่ถ้าทรายจะบอกว่ามันเลวมากเพราะมันเขียนเรื่องนี้ คือตัวทรายไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้น มันง่ายมากตรงที่อะไรที่ทรายไม่ชอบ ทรายก็ไม่อ่าน เพราะหนังสือทุกอย่างเป็นเงินเป็นทอง ทรายไม่ได้มีเงินเอาไว้จับจ่ายได้ทุกอย่างขนาดนั้น”
การเขียนงานมันเสรีถึงขั้นเอาสถาบันมาเขียนได้เลยเหรอ?
“ทรายไม่เคยอ่านไง เลยไม่รู้ว่ามันเขียนได้ถึงขั้นไหน ทรายก็ไม่ทราบเพราะทรายไม่เคยอ่าน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องรู้ไปทำไม เอาง่ายๆ หนังสือปาปารัสซี่ทรายยังไม่เคยอ่านเลย เพราะมันไมได้มีผลอะไรกับชีวิต แค่ทรายนั่งอ่านบทอย่างเดียวทรายก็เหนื่อยแล้ว ไหนจะงานที่ต้องเขียนทุกสัปดาห์อีก เขียนไม่ได้ก็ต้องไปหาเล่มใหม่มาอ่าน แค่นี้อาทิตย์นึงก็หมดแล้วนะ ไหนจะเรื่องของสคริปต์รายการอีก แต่ที่จะอ่านก็พวกอะไรที่ควรจะรู้ อย่างเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม ถ้าจะมาถามว่ามีทั้งหมดกี่พรรคไม่รู้ว่ะ รู้แต่ว่ามีพรรคใหญ่ๆ พรรคเล็กๆ ขอโทษด้วยหนูไม่รู้จริงๆ ทรายว่าทรายก็คงจะรู้เท่าๆ กับมนุษย์ทั่วๆ ไปแหละ นอกเสียจากอันนี้เป็นสิ่งที่ทรายรู้ แล้วทรายเองก็ชอบมากอันนี้ก็จะหาอ่านเพิ่มอีก”
พร้อมกันนี้ เจ้าตัวได้เล่าประสบการณ์ที่เคยมีโอกาสร่วมทำรายการ ตามรอยพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บอก รู้สึกอิจฉาชาวเขาที่สามารถพูดถึงในหลวงด้วยภาษาธรรมดาได้ ผิดกับตนเองที่ต้องระวังคำพูดที่จะใช้เอ่ยถึงตลอดเวลาจนทำจิตตก
“ทรายเองได้มีโอกาสทำรายการ ตามรอยพระราชกรณียกิจของท่าน ตอนที่ทรายทำทรายไปหมู่บ้านม้ง ดอยปุย เป็นเรื่องเกี่ยวกับการศึกษา ก็ยังมีคนที่ยุคนั้นเป็นยุคที่สร้างโรงเรียน ยุคลากซุงมาจากภูเขา เวลาเขาพูดแล้วเขาน้ำตาคลอ ตรงนี้ทรายว่ามันดีกว่าการที่มายืนร้องเพลงกันอีกนะ ถ้าทรายจะอินทรายจะอินกับอย่างนี้ที่เขาเจอ แล้วชีวิตเขาเปลี่ยนโคตรๆ ลูกไม่สบายจะตายอยู่แล้ว ก็ไม่กล้าอุ้มไปไหนเพราะพูดไทยไม่ได้ แล้วไหนจะต้องเดินลงเขาไปอีกเป็นร้อยกิโลฯ พอมีโรงเรียนทำให้เขาพูดภาษาไทยได้ เขาสามารถสื่อสาร ไปหาหมอ ขายของอะไรได้ อยากให้ทุกคนได้เห็นหน้าเขาและสัมผัสด้วยตาตัวเอง”
“ถ้าทรายปกครองประเทศเชื่อเลยคงล่มจม พบกับความหายนะ มันเหนื่อยนะ ถ้าเป็นตัวเราก็คงจะขี้เกียจออก แดดร้อนนะ ให้เดินมีทางไหม โอ้ย งั้นไม่ไป จะไปทำไม อย่างเราทุกวันนี้ขับรถถนนเป็นลูกรังเรายังอี๊ เดี๋ยวรถเลอะ ไม่มีคนที่คิดถึงแต่ตัวเองคนไหนหรอกที่จะทำอะไรแบบนี้ได้ แล้วไม่ได้ทำแค่ครั้งเดียว จะให้ทรายพูดยังไง ทรายไม่รู้จะพูดยังไง ในความเป็นสถาบัน มันเป็นสถาบัน ประเทศอื่นๆ เคยมีสถาบันมาก่อน เขาอาจจะมีปัญหาอะไรของเขาอันนั้นทรายไม่รู้ บ้างก็ได้ผู้ปกครองที่ไม่ดี บ้างก็ได้ผู้ปกครองที่ดี หรือบ้างก็ได้ที่ดีแต่ว่าหยวนๆ กันไป หรือว่าได้ไม่ดีแต่ก็อดทนกันไปหน่อย แต่ของเรา เราดี ผู้ปกครองของเราดีมากนะคะ คนที่คิดถึงคนอื่นได้มากขนาดนี้”
“คือถ้าทรายเป็นผู้ปกครองประเทศสักประเทศนึง ประชาชนจะต้องโง่ดักดานมาก เพราะทรายเป็นคนขี้เกียจ ปลูกฝิ่นหรอ โอเคมีอะไรทำแล้วนะ โอเค แต่เราไม่ใช่ไง เรามีคิงที่คิดถึงคนอื่น คิดว่าประเทศคือหน่วยนึงแล้วมันต้องดีเท่าๆ กัน ดีในแบบของตัวเอง มันมีทางทำให้ดีในแบบของตัวเองได้ ซึ่งทรายว่าอันนี้แจ๋ว แต่พอทรายพูดไปเสร็จ ทรายก็คิดว่าทรายจะโดนหมิ่นรึเปล่า เพราะเอาตัวเองเทียบกับท่าน ทุกวันนี้อยู่ด้วยความหลอนว่าพูดแค่นี้มันผิดเปล่า มันยาก แต่พอมาอยู่ที่หมู่บ้านม้ง ทุกคนพูดถึงในหลวงด้วยภาษาธรรมดา แต่เรียกในหลวงว่าพ่อหลวง แล้วเขาไม่รู้สึกผิด ซึ่งทรายว่าโคตรน่าอิจฉาเลยไง ในขณะที่ทรายอยู่ในความรู้สึกว่าพูดแล้วผิดรึเปล่า จิตตกไปหมดแล้ว”
“เพราะตอนนี้คนจะต้องพูดว่า ฉันรู้เรื่องของมาตรา 112 อย่างทะลุปรุโปร่ง ซึ่งจริงๆ แล้วฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฉันรู้นิดๆ แล้ว ฉันก็จิตตกแล้ว มันประสาทเสีย พอทรายไปทำทรายก็อินกับสิ่งที่ทุกคนอิน ว่าชีวิตเราโคตรดีเลยนาทีนี้ เราแฮปปี้เรามีความสุข แล้วยังไง ทรายควรจะต้องมีรีแอคชั่นอย่างอื่นไหมเหรอ หรือว่าทรายห้ามอิน เราดูเป็นคนแรงๆ เราต้องไม่อินกับเรื่องแบบนี้ หรือว่าคนที่ดูแล้วคิดว่าทรายเป็นสายล้มเจ้า ก็จะคิดกันอีกว่า มันแอคติ้งนี่ สรุปคือทำอะไรมันก็ผิดไปหมดใช่ไหมนาทีนี้”
“คือทุกคนอาจจะหลงกันแบบไม่ลืมหูลืมตา ทรายไม่เคยหลงอะไรแบบไม่ลืมหูลืมตา แม้กระทั้งพ่อหรือแม่ทรายจริงๆ ทรายก็ไม่เคยรู้สึกว่าไม่ได้ พ่อแม่ไม่เคยทำอะไรผิดเลยก็ไม่ขนาดนั้น ในความเป็นสถาบันในอดีตกาลผ่านพ้นมา มันอาจจะเคยมีอะไร ทรายไม่รู้ ทรายไม่สน ทรายชอบเป็นคนๆ ท่านดีจะตาย จะไปเอาอะไรกับท่านอีกจะบ้าหรอ ล้มเจ้า ไม่รู้เอาอะไรมาล้มล่ะ แต่เราก็ไม่เคยอ่านเขาก็คงมีเหตุผลอะไรของเขาแหละ”