“ทราย เจริญปุระ” ออกโรงเคลียร์ตัวเองแบบ “ชัดเจน ตรงไปตรงมา” เป็นครั้งแรกกับ “ทีมเอ็กซ์คลูซีฟ ซูเปอร์บันเทิง ASTV ผู้จัดการออนไลน์” หลังจากมีชื่อเอี่ยวเป็นหนึ่งในกลุ่มนักเขียนที่ต้านกฏหมายมาตรา 112 ซึ่งเธอบอกว่า “เห็นด้วย” กับแนวคิดบางอย่างเพียงเท่านั้น ตลอดการสนทนานานนับชั่วโมง ทรายถอนหายใจยาวออกมาเป็นระยะ และย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เธอไม่ได้อยู่สีไหน ฝ่ายใด” อ่านคำต่อคำจากการเปิดใจของเธอ
* งานเขียนที่สื่อสารออกไปมีผลสะท้อนกลับเข้ามาในชีวิตคุณอย่างไรบ้าง?
“มีแค่ดีบ้าง ไม่ดีบ้างก็ว่ากันไป ผลกระทบมีอยู่ 2 อย่าง เฉยๆ อันนี้เราไม่นับ มันมีชอบกับไม่ชอบ ชอบก็กระทบ ไม่ชอบก็กระทบเหมือนกัน แต่เราเขียนอะไรเราต้องอธิบายได้ว่าเราต้องการสื่ออะไร สิ่งที่เราจะเล่าบางทีอาจจะหนามาก แต่ด้วยงานที่เราจะต้องย่อหั่นอยู่ในพื้นที่จำกัดเราจะเลือกวิธีไหนมาเล่า แต่ไม่ว่าจะเล่าด้วยวิธีไหน ทรายก็สามารถบอกจุดเริ่มต้นไอเดียที่เราคิดจะเขียนเรื่องเรื่องนี้ได้ทั้งนั้น”
*ช่วยยกตัวอย่างบทความที่มีผลกระทบต่อคุณหน่อย?
“ถ้าเป็นเรื่องของสถานการณ์ทางการเมือง การเขียนถึงสีหนึ่งย่อมต้องทำให้อีกสีหนึ่งไม่พอใจ อย่าง ”แดงทำไม ทำไมแดง” ก็จะมีการนั่งตีความกันทีละบรรทัด งานเขียนชิ้นนี้เป็นงานรายสัปดาห์ ฉะนั้นเนื้อหาต่างๆ จะมาจากความพีกในช่วงนั้นๆ สิ่งรอบตัว บรรยากาศ ณ อาทิตย์นั้นๆ เป็นยังไง พอผ่านมา4-5อาทิตย์ก็อาจจะจางๆ หรืออาจจะมีการฉุกคิดขึ้นมาได้ อย่างงานเขียนทุกชิ้นทรายอ้างอิงจากหนังสือ หนังสือที่ทรายเขียน แค่เขียนบทความถึงหนังสืออีกเล่มที่ทรายไม่ได้เขียน ก็เลยเป็นเรื่องของความรู้สึกว่าพอเราอ่านแล้วเราจะรู้สึกยังไง ทรายจะเล่ายังไงออกมา”
“แต่พอทรายเขียนถึงอีกฝั่งหนึ่ง เป็นธรรมดาที่อีกฝั่งหนึ่งย่อมไม่ชอบใจ ทรายมีความรู้สึกว่าโหดร้ายไปหน่อยตรงที่ไม่ได้มีการถามว่าเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม แล้วก็มาตัดสินกันไปใหญ่โตเอิกเกริก บางทีทรายก็เหนื่อยนะ การที่เราจะทำอะไรแล้วจะต้องมานั่งอธิบายทุกเรื่องเป็นไปไม่ได้นะ พอคนเข้าใจผิดแล้วเราต้องเล่าให้เขาฟังเหรอ ทำไมล่ะ หนังสือที่อยู่บนแผงทรายมีสิทธิ์ที่จะหยิบเล่มไหนมาอ่านก็ได้ ถ้ามีเหลืองทำไม ทรายก็ซื้อมาอ่านได้เหมือนกัน"
" เพียงแต่ ณ ตรงนั้นเราทำเรื่องนั้น สำหรับย่อหน้าสุดท้ายที่เป็นย่อหน้าปัญหา เนื่องจากโจทย์ของทรายคือการเขียนถึงหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนั้นพิมพ์ในปีนี้ เป็นการอ้างอิงถึงสิ่งทิ่เกิดขึ้นภายในปีนี้ ทรายไม่รู้ว่าจะยกตัวอย่างยังไงว่าตอนโน้นมีนโยบายปราบยาเสพติดเสียชีวิตไปตั้ง 2 พันศพ ก็ทรายไม่ได้เขียนถึงเรื่องนั้นนี่คะ เลยกลายเป็นว่า อ้าว ไม่แฟร์นี่หว่า ทรายก็เลยรู้สึกว่าหลังๆ นี้ไม่เขียนแล้วกัน มันยากเกินไป ด้วยความอ่อนไหวของช่วงนี้ด้วยที่กำลังจะมีการเลือกตั้ง ก็จะมีความอ่อนไหวในจิตใจค่อนข้างสูง มันก็เลยจะมาพาดพิงถึงงานด้านอื่นๆ ของทรายหรือแม้กระทั่งเรื่องครอบครัว”
*แล้วกรณีล่าสุดที่โดนพ่วงไปเกี่ยวข้องกับการแก้กฎหมายมาตรา112?
“ทรายเชื่อว่าถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ชื่อทราย เรื่องอาจจะไม่ยุ่งยากขนาดนี้ คนก็จะมองว่าเลวจริงๆ เลย แล้วทำไมยังมาเล่นหนังนเรศวร (ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช)ล่ะ คืออย่างนี้ค่ะ มาถามหนูไหมคะหนูไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย มีหลายๆ คนที่มีรายชื่อตรงนั้นก็เขียนอยู่ในมติชนนี่แหละ จริงๆ เรื่องค่ายเราไม่ซีเรียส เวลาที่เราคุยกันก็มีหลากหลายประเด็น ไม่เฉพาะว่าจะเป็นเรื่องของการแก้กฎหมายอย่างเดียว มันเป็นเรื่องของการเข้าใจผิดว่าเราเห็นด้วย ทรายเข้าใจผิด พี่เขาก็เข้าใจผิด พี่เขานึกว่าทรายพูดถึงเรื่องนี้ ทรายก็นึกว่าพี่เขานึกถึงอีกเรื่องก็เท่านั้นเอง”
“แต่พอออกมา ทรายก็อ้าว พี่ ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ก็ถอดชื่อออก โอเค โทษๆ แล้วทรายเพิ่งมารู้ทีหลังว่าซีเรียสกันเหรอ ไม่ใช่ว่าโดนแล้วถึงขอถอด มันมีความเข้าใจผิดบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งก็ช่างมันเถอะ เพราะคนมันก็ผิดกันได้ พี่เขาก็มาขอโทษบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะกลั่นแกล้ง พอมีคนมาถามทรายก็อ้าว ตายแล้วนี่เขาซีเรียสกันเหรอ แค่นั้นเอง จะให้ทรายพูดยังไง ให้เดินออกไปบอกทุกคนเหรอ หรือว่าตั้งโต๊ะแถลงข่าว ซึ่งทรายมองว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นล้วนแต่เกินงามทั้งสิ้น”
*พอมีชื่อมีผลกระทบต่อหน้าที่การงาน หรือว่าเพราะต้องเล่นภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯ หรือเปล่าเลยถอนชื่อออก?
“เป็นเรื่องตลกเลย อย่างท่านมุ้ย ( ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล) ก็บอก เฮ้ย ไอ้ทราย เห็นรึยัง ทรายก็บอกว่าเอาออกแล้วมีที่ไหนล่ะ ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวเขาก็ต้องมาว่าฉัน ทรายก็บอกไปใครเขาจะไปว่าท่านล่ะ จะว่าก็ต้องมาว่าทรายนี่แหละ คือคนในกองฯ หรือแม้แต่ตัวท่านมุ้ยเองก็ทรงทราบว่าไม่ใช่ เราทำงานกันมานานเกินกว่าจะมาแอบปลุกระดมลับๆ จะบ้าเหรอ ตลกจะตาย ถามว่าทรายรับรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ที่กำลังเป็นประเด็นที่พูดถึงอยู่ไหม ทรายรู้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทรายจะต้องแสดงออกว่าทรายเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หรือว่าอยากจะแย้งในมุมนั้นมุมนี้ ตีความมาตรากฎหมายต่างๆ ทรายแค่รับรู้ว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้น จบ”
*ทรายคิดว่ามาตรา 112 มีผลกระทบต่อนักเขียนอย่างไรบ้าง?
“เท่าที่ดูรวมๆ ทรายว่าที่เขาอยากให้แก้เพราะไม่มีขอบเขตที่ระบุแน่ชัด เช่นสมมติว่าเราตีเธอ ถือว่าเราทำร้ายร่างกาย แต่เราตีเธอเลือดออก กลายเป็นพยายามฆ่ารึเปล่า มันไม่แยกข้อไง ดังนั้นการที่เราจะอ้างอิง เช่นสมมติว่าทรายเขียนถึงพระราชประวัติของล้นเกล้า รัชกาลที่ 5 ทรายอ้างอิงได้ไหม? แต่คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนเอาไปใช้อีกว่าจุดที่เขาเอามานำเสนอเป็นไปในแง่ไหน อย่างถ้ามีจดหมายสมัยต้นรัชกาลที่ 6 แล้วทรายอยากเขียนถึงเรื่องนี้ เราควรจะได้อ่านกัน เพราะพระองค์นิพนธ์ด้วยพระองค์เอง เราจะเขียนถึงได้ไหม? คิดว่าได้ไหมล่ะ เราก็ไม่รู้ แล้วจะไปถามใครได้ แล้วจะไปถามยังไง เอาไงดีวะ งั้นไม่เขียนเลยดีกว่าจบ มันเลยกลายเป็นว่าเรื่องดีๆ ก็ไม่มีใครกล้าจะเอามาสื่อต่อ ภาษาราชาศัพท์ก็ยากอยู่แล้วสำหรับมนุษย์คนธรรมดาอย่างเรา คุยกับท่านมุ้ยทรายยังว่ายากเลย”
*คุณเห็นด้วยกับการที่จะแก้ไขมาตราดังกล่าวใช่ไหม?
“เฉยๆ ค่ะ อย่างที่บอกว่าถ้าเราไม่มั่นใจเราก็ไม่เขียน สมมติว่าแก้เราก็ไม่ได้เขียนเรื่องได้เก่งกว่านี้ หรือถ้าไม่แก้เราก็เขียนเรื่องได้เท่านี้ นี่คือสิ่งที่มีผลต่อตัวเรานะ แต่เราไม่สามารถพูดแทนคนอื่นได้ไง เพราะเราไม่รู้ขอบเขตงานของเขา เขาอาจจะมีอะไรในใจที่เขาอยากเขียน แต่เขาเขียนไม่ได้อันนี้เราก็ไม่รู้ แต่ของเรา เราเขียนถึงหนังสือเล่มหนึ่ง แล้วถ้าหนังสือเล่มนี้คนบอกว่าอย่าไปเขียนถึง เราก็เออ ไม่เขียนถึงก็ได้ ก็ไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจอะไร”
*ด้วยความที่คุณทำงานให้มติชนซึ่งชัดเจนว่าแดงด้วยรึเปล่าคนก็อาจจะเข้าใจผิดได้?
“คนจะมองว่ามีการแบ่งค่าย ใช่สิคนพวกนี้สายมติชน แต่ถามหน่อยว่าเขาผิดตรงไหน ทรายอยู่มติชนเพราะมติชนจ้างทราย ทรายก็รับจ้างอะ ในนาทีนี้เอเอสทีวีจ้างก็มาเขียนให้ได้นะ มาจ้างสิ คือทรายทำงานกับเขาแล้วทรายก็ไปขอเขาเขียนเรื่องนี้ โอเคเขาก็ให้ ทรายเขียนหนังสือมาให้เขา 9 ปีแล้วตั้งแต่มันยังไม่มีเรื่องอะไรในสังคมมาก่อน ทุกคนยังขำๆ กันจนมาถึงวันนี้ อ้าว ไม่ขำกันแล้วเหรอวะ ทำไมไม่ขำ ขำกันหน่อยสิ”
“ทรายมักจะบอกว่าบางทีอย่าเพิ่งไปใส่อารมณ์ คือเราเสพทุกอย่างให้เป็นข้อมูลแล้วเดี๋ยวก็เฉลี่ย คุณก็ชั่งน้ำหนักเอา พอเทไปกับข้างหนึ่งแล้วแน่นอนอีกข้างหนึ่งต้องดูแย่กว่า เราไม่มีทางว่าข้างเราแย่อยู่แล้ว เลยเป็นอันตรายต่อคนที่รับข้อมูล พอมาเป็นอย่างนี้ เรื่องบางเรื่องต่อให้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายแต่ถ้ามันส่งผลต่อคนรอบตัว ทรายก็จะไม่พูดถึงแล้ว นี่พูดถึงเรื่องทุกเรื่องบนโลกใบนี้นะคะ แล้วข้อมูลที่ควรจะเป็นความรู้ ควรจะได้เอามาใช้ในการเปรียบเทียบ ชั่งน้ำหนักในการตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะน้อยลงไปซึ่งก็ไม่แฟร์ทั้งกับคนที่ให้ข่าว และคนที่จะรับข่าวนั้นด้วย”
*คุ่น (ปราบดา หยุ่น) ได้มาปรึกษาคุณเรื่องนี้บ้างไหม?
“ไม่ได้มาปรึกษาค่ะ ทุกคนโตๆ กันหมดแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ มีแต่พี่คุ่นโทร.มาขอโทษที่มีชื่อทรายด้วย มันเกิดข้อผิดพลาดขึ้น ซึ่งทรายเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในลิสต์รายชื่อไม่คิดว่าจะมีผลในวงกว้างกระเพื่อมขนาดนี้ โอเค คนเราพลาดกันได้ ก็เอาชื่อออกไม่โกรธกัน มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่ง ทำไมพี่ถึงทำอย่างนี้ พี่รู้ไหมว่าชีวิตหนูอะไรขนาดนั้น เพราะก็ไม่ได้แย่อะไร”
*เรื่องการแก้มาตรา 112 มีผลกระทบต่อคุณมากน้อยขนาดไหน?
“ก็ไม่มีอะไร นอกจากว่ามีคนมาถามแล้วทรายก็ต้องมานั่งบอกแค่นั้นเองว่าเป็นอย่างนี้ๆ พอทรายพูดไปก็จะมีคนบอกว่าไม่เชื่อหรอก แล้วทรายจะไม่รู้ได้ยังไง คือถ้าเป็นอย่างนี้ทรายก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้วไง เรื่องจริงมีแค่นี้พี่จะมาเอาเรื่องจริงกว่าไปได้ยังไงวะ หรือจะเอาเรื่องโกหกก็ได้เดี๋ยวแต่งให้”
*แล้วกับท่านมุ้ยล่ะ?
“ท่านมุ้ยเองก็อ่านมติชน ท่านอ่านแล้วก็โทร.มาถามว่าแกอ่านหนังสือเล่มนี้ (แดงทำไม ทำไมแดง) ด้วยเหรอ เราก็จะคุยกันเป็นปกติ อย่างท่านเองก็เล่นเว็บบอร์ดอะไรต่างๆ ก็จะมาบอก ตอนทรายอกหักท่านก็ล้อสนุกสนาน คือเราทำงานกันมานานจนเหมือนครอบครัวไปแล้ว สำหรับนเรศวรฯ (ตำนานสมเด็จพระนเรศวร)ทรายเจอท่านมุ้ยมาประมาณ 8-9 ปี จริงๆ แล้วท่านเป็นคนที่เคารพความคิดของคนอื่นมากๆ วันหนึ่งท่านก็ถามทรายเลย เฮ้ย เสื้อแดงเปล่าวะ ตกลงเลือกสีไร ทรายก็บอกว่าหนูไม่ใส่สีสด หนูใส่เสื้อดำกับเสื้อหนังไปรบของท่านแค่นี้ จบ”
*ในฐานะที่เราเป็นนักเขียนรู้สึกยังไงบ้างที่ปัจจุบันมีงานเขียนในทำนองลบหลู่สถาบันออกมา?
“ถามว่ารู้สึกยังไง ก็เรื่องของเขาค่ะ เอาจริงๆ เลยนะ ก็แล้วแต่ ใครจะไม่ชอบ ใครจะชอบ ใครจะเชื่อ ใครจะไม่เชื่อ อย่างที่ทรายบอกว่าเขาไม่ผิดที่เขาคิดไม่เหมือนทราย แต่ถ้าเขาผิดกฎหมายก็ไปว่ากัน ก็แล้วแต่เขาก็ต้องไปศึกษามาแล้วแหละว่าสิ่งที่เขาเขียนผิดไหม หรือถ้าเขียนได้แล้วจะเขียนได้แค่ไหน แต่ทรายจะไม่บอกว่ามันเลวมากเพราะมันเขียนเรื่องนี้ เพราะทรายไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้น มันง่ายมากตรงที่อะไรที่ทรายไม่ชอบ ทรายก็ไม่อ่าน เพราะหนังสือทุกอย่างเป็นเงินเป็นทอง ทรายไม่ได้มีเงินเอาไว้จับจ่ายได้ทุกอย่างขนาดนั้น”
*แล้วการเขียนควรจะเสรีถึงขั้นเอาสถาบันมาเขียนได้เลยเหรอ?
“ทรายไม่เคยอ่านไงเลยไม่รู้ว่าเขียนได้ถึงขั้นไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าจะต้องรู้ไปทำไม เอาง่ายๆ หนังสือปาปาราซซีทรายยังไม่เคยอ่านเลย เพราะไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิต แค่นั่งอ่านบทอย่างเดียวก็เหนื่อยแล้ว ไหนจะงานที่ต้องเขียนทุกสัปดาห์อีก เขียนไม่ได้ก็ต้องไปหาเล่มใหม่มาอ่าน แค่นี้อาทิตย์หนึ่งก็หมดแล้วนะ ไหนจะเรื่องของสคริปต์รายการอีก แต่ที่จะอ่านก็พวกอะไรที่ควรจะรู้ อย่างเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม ถ้าจะมาถามว่ามีทั้งหมดกี่พรรคไม่รู้ว่ะ รู้แต่ว่ามีพรรคใหญ่ๆ พรรคเล็กๆ ขอโทษด้วยหนูไม่รู้จริงๆ ทรายว่าทรายก็คงจะรู้เท่าๆ กับมนุษย์ทั่วๆไปแหละ นอกเสียจากอันนี้เป็นสิ่งที่ทรายชอบมากก็จะหามาอ่านเพิ่มอีก”
*คุณรู้สึกยังไงเกี่ยวกับการล้มสถาบัน?
“ทรายไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องล้มหรือว่าอะไร เหมือนว่าเราเกิดมาแล้วและก็ไม่ได้มีผลอะไร เราไม่ได้ไปสักเลขไว้ เราก็มีชีวิตของเรากันไปอย่างปกติ ทรายเองเหมือนคนไทยอีกตั้งหลายๆ ล้านคนบนโลกนี้ที่ไม่เคยเข้าวัง แต่ก็ไม่เห็นมีใครสะเทือนจิตใจอะไรเลยว่าทำไมฉันไม่ได้เข้า เพียงแต่ถ้าทรายจะไม่ชอบ อันนี้ไม่ชอบพูดได้เลยคือคนที่อ้างสถาบันมาใช้แล้วไปหาประโยชน์อื่นๆ ทำสติกเกอร์เรื่อยเปื่อย พิมพ์พระ ทำเสื้อ อะไรต่อมิอะไร ทรายว่าสิ่งที่คุณทำมันยิ่งทำให้คนที่อาจจะมีแนวโน้มไปในความคิดที่ไม่ชอบ มันก็จะยิ่งแย่หนักเข้าไปใหญ่ แล้วคุณทำเพื่ออะไร ผลประโยชน์เหรอ”
*พอมีข่าวต่างๆ รวมถึงคอลัมน์นี้พวกเสื้อแดงอาจจะคิดว่าทรายอยู่ข้างเขา?
“เฮ้อ!...(ถอนหายใจ) แต่ก็จะมีการอ้างอิงอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้วไง อย่างพ่อทรายเคยเป็นทหาร ฝั่งทหารก็จะออกมาบอกว่าทรายเป็นพวกของเรา เอ้า! เป็นอย่างนี้เราจะไม่พูดอะไรเลยในชีวิต เพราะเราพูดอะไรไม่ได้เลย แต่มันเป็นไปไม่ได้ไงที่คนเราจะพูดอะไรไม่ได้เลย มันไม่ได้ มนุษย์ต้องพูดนะ บางทีเราอาจจะพาดพิงอะไรของเราไปเรื่อยเปื่อยเวลาเราพูดกัน จริงๆ แล้วทรายเลือกที่จะมีข้อที่ทรายชอบ และที่ทรายไม่ชอบจากของทั้งสองฝั่ง แล้วมันก็มีข้อที่เขาทำเหมือนกัน แล้วทรายเชื่อว่าถ้าทำเหมือนกันได้ ถ้าจะผิดก็ต้องผิดเหมือนกัน ถ้าจะถูกก็ต้องถูกเหมือนกัน อันไหนที่ไม่เหมือนกันก็ต้องมาแยกเป็นข้อๆ ไป”
*ตอนนี้คุณทำรายการตามรอยพระราชกรณียกิจอยู่ด้วย?
“ใช่ค่ะ ตอนที่ทรายทำคือไปหมู่บ้านม้ง ดอยปุย เป็นเรื่องเกี่ยวกับการศึกษา ก็ยังมีคนที่ยุคนั้นเป็นยุคที่สร้างโรงเรียน ยุคลากซุงมาจากภูเขา เวลาเขาพูดแล้วเขาน้ำตาคลอ ตรงนี้ทรายว่ามันดีกว่าการที่มายืนร้องเพลงกันอีกนะ ถ้าทรายจะอินทรายจะอินกับอย่างนี้ที่เขาเจอแล้วชีวิตเขาเปลี่ยนโคตรๆ ลูกไม่สบายจะตายอยู่แล้วก็ไม่กล้าอุ้มไปไหนเพราะพูดไทยไม่ได้ แล้วไหนจะต้องเดินลงเขาไปอีกเป็นร้อยกิโลฯ พอมีโรงเรียนทำให้เขาพูดภาษาไทยได้ เขาสามารถสื่อสาร ไปหาหมอ ขายของอะไรได้ อยากให้ทุกคนได้เห็นหน้าเขาและสัมผัสด้วยตาตัวเอง”
“ถ้าทรายเป็นผู้ปกครองประเทศสักประเทศหนึ่งประชาชนจะต้องโง่ดักดานมาก เพราะทรายเป็นคนขี้เกียจ แต่เราไม่ใช่ไง เรามีคิงที่คิดถึงคนอื่น คิดว่าประเทศคือหน่วยหนึ่งแล้วมันต้องดีเท่าๆ กัน ดีในแบบของตัวเอง มันมีทางทำให้ดีในแบบของตัวเองได้ซึ่งทรายว่าอันนี้แจ๋ว แต่พอทรายพูดไปเสร็จทรายก็คิดว่าทรายจะโดนหมิ่นรึเปล่า เพราะเอาตัวเองเทียบกับพระองค์ท่าน ทุกวันนี้อยู่ด้วยความหลอนว่าพูดแค่นี้มันผิดเปล่าวะ มันยาก แต่พอมาอยู่ที่หมู่บ้านม้ง ทุกคนพูดถึงในหลวงด้วยภาษาธรรมดา แต่เรียกในหลวงว่าพ่อหลวง แล้วเขาไม่รู้สึกผิดซึ่งทรายว่าโคตรน่าอิจฉาเลยไง ในขณะที่ทรายอยู่ในความรู้สึกว่าพูดแล้วผิดรึเปล่าวะ นอยด์ไปหมดแล้ว”
นี่เป็นเพียงเรื่องราวส่วนหนึ่งที่ “ทราย เจริญปุระ” ตอบคำถามกับ “ทีมเอ็กซ์คลูซีฟ ซูเปอร์บันเทิง ASTV ผู้จัดการออนไลน์”
…..................................................
ที่มา นิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 90 วันที่ 25 มิถุนายน - 1 กรกฎาคม 2554